สวัสดีค่ะ ขอเริ่มเรื่องเลยนะคะ ปัจจุบันนี้เราเป็นพนักงาน outsource ที่บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งค่ะ สัญญาจ้างงาน 1 ปี ตอนนี้เราทำงานที่นี่มาเข้าสู่เดือนที่ 7 และเรากำลังคิดทบทวนกับตัวเองว่าจะตัดสินใจลาออกดีหรือไม่ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้เราจะอธิบายเป็นข้อๆไปนะคะ
- เราเริ่มทำงานที่นี้เนื่องจากในตอนนั้นเราอยู่ในช่วงว่างงาน เงินเก็บไม่เหลือ หว่านใบสมัครไปทั่ว สัมภาษณ์มาหลายครั้งและไม่ผ่าน (ติดที่การเดินทาง,ทักษะความสามารถ,ประสบการณ์ ฯลฯ) จนที่ทำงานปัจจุบันโทรติดต่อมาว่าสนใจใบสมัครเราและเห็นว่าเราสามารถตกแต่ง photoshop ตัดต่อวิดีโอได้ เลยนัดสัมภาษณ์ ซึ่งเราเห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไรเผื่อสัมผ่านก็จะได้มีงานทำเลย เลยตัดสินใจสัมภาษณ์และก็สัมผ่าน - ไปเซ็นสัญญาเริ่มงาน (ในตอนสัมภาษณ์ พี่เขาให้เงินเดือนเรา 12xxx แต่ตอนนั้นเราเรียกไป 13xxx พี่เขาก็โอเค)
**ซึ่งตอนสัมภาษณ์พี่ที่สัมเรา (และเป็นเจ้านายคนปัจจุบัน) บอกลักษณะงานที่ทำคือการทำ PR มีการจัดห้องประชุม ออกไปเดินซื้อของบ้าง ไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง เรามองว่ามันน่าสนใจและก็บอกจุดประสงคืของตัวเองไปว่าปัจจุบันกำลังเรียนภาษาจีนเพิ่มอยู่ และทางเขาก็บอกว่าทำงานกับพี่ส่วนใหญ่ได้ไปเที่ยวตปท.กันทั้งนั้น บางคนอยู่เป็นสิบๆปีเลยก็มี...
- พอเราได้ทำงานปุ๊บ อะช่วงเดือนสองเดือนแรกมันยังมีการวางตัวไม่ถูกบ้าง ไม่รู้จะคุยกับใครบ้าง ยังเข้าสังคมไม่เป็น ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งแปลกปลอมของที่นี่ แต่ก็พยายามมองโลกในแง่ดีเหมือนตอนเขียนข้อดีในใบสมัครว่ามันอาจจะแค่เป็นช่วงแรกๆแหละ ต่อไปมันอาจจะดีขึ้นก็ได้ บอกกับตัวเองให้อดทนๆๆๆ ต้องผ่านมันไปให้ได้ ... เราทำงานในตำแหน่ง HR เป็นในส่วน PR ประชาสัมพันธ์งานด้านสื่อในองค์กร ซึ่งต้องใช้ทักษะด้านการตกแต่งรูป ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ การใช้ Photoshop การตัดต่อวิดีโอ บลาๆๆ ซึ่งเราไม่ได้จบสายนี้มา เราจบประวัติศาสตร์ แต่เพราะชอบและทำได้ก็เลยตัดสินใจมาทำ
โดยเราอยู่ในทีม 4 คน มี เจ้านาย พี่อีกสองคน และเรา เจ้านายกับพี่อีกคนนึงจะไม่ค่อยเข้าออฟฟิศ (ขอแทนว่าพี่ A) ทำให้เราอยู่กับพี่อีกคนนึง ขอแทนว่า พี่ C นะคะ ก็พี่ C จะคอยอยู่กับเราตลอด นั่งโต๊ะติดกัน มีอะไรไม่สงสัยเรื่องงานเราสามารถถามได้ งงตรงไหนถามได้ ซึ่งเราดูลักษณะบุคลิกของพี่ C เราว่าเราน่าจะเข้ากับเขาได้ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ เรากับพี่เขาลึกๆยังมีความอึดอัดใจต่อกันอยู่ อีกทั้งเจ้านายก็เอาแต่เรียกพี่ C จนเรารู้สึกว่าเหมือนตัวเองไม่มีความสำคัญภายในทีม บางครั้ง พี่ C ก็ทำแทนเราบ้าง ต้องบอกก่อนว่า เราพยายามเรียนรู้งานอย่างมากที่สุด พยายามหาช่องทางให้ตัวเองมีบทบาท มีประโยชน์ต่อการทำงานร่วมกัน แต่อาจจะเป็นเพราะส่วนนึงเรายังเป็นน้องใหม่ พี่เขาคงเห็นว่าเรายังไม่รู้อะไรก็เลยยังสั่งอะไรไม่เต็มที่ ก็เลยจะให้พี่ C ทำ หรือให้เราดูเป็นตัวอย่างซะมากกว่า
จนมาเดือนที่ 4 เราติดโควิด กินเวลาไปเกือบสองอาทิตย์เพราะติดวันหยุดยาว พี่เขาก็ได้ส่งกล่องห่วงใย ที่มียารักษาอาการโควิดให้ อีกทั้งเจ้านายก็หาโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ จากที่เราจะใช้สิทธิประกันสังคม และเขาจะให้เรานอนโรงพยาบาล แต่เราไม่สะดวกไป (เพราะเราอยู่กับพ่อสองคนกลัวว่าจะไม่มีใครคอยดูแลแก) ก็เลยบอกหมอผ่านโทรศัพท์ว่าขอรักษาตัวที่บ้าน (ซึ่งเรามารู้ภายหลังว่าพี่เขาต้องการให้เราไปอยู่เป็นเพื่อนกับพนักงานอีกคนนึงที่ไม่มีเพื่อนนอนโรงพยาบาลด้วย) ในตอนนั้นเรารู้สึกซาบซึ้งใจมาก และรู้สึกผิดที่ตอนนั้นตัวเองมาคิดจะลาออก ทั้งๆที่พี่เขาก็ดีขนาดนี้ เราเลยพับเก็บความคิดลาออกไว้และตั้งใจทำงานต่อไป...
เข้าสู่เดือนที่ 5 เดือนนี้มีโปรเจคใหญ่มาก และต้องมีการเตรียมงานล่วงหน้ากันสองอาทิตย์ และช่วงอาทิตย์ก่อนจัดงานเราอยู่ดึก กลับประมาณ 2-3 ทุ่ม หนักสุด 3 ทุ่ม กับค่าโอทีไม่เท่าไหร่ ก็ทนๆไปจนงานจัดเสร็จ
แล้วก็มาเดือนที่ 6 ที่ผ่านไปไม่นาน ตอนนี้เรารู้สึกว่าปัญหาหลายๆอย่าง ความสงสัยอะไรต่างๆ มันเริ่มชัดขึ้น ตอนนั้นเราให้คำพูดกับตัวเองว่า 'ถ้าผ่านไปสี่เดือนแล้วอะไรๆมันยังเหมือนเดิมก็ควรจะพิจารณาตัวเองได้แล้วนะ' คำพูดนี้ย้อนเข้ามาในหัว พร้อมกับความรู้สึกหม่นๆที่เกิดขึ้นภายในใจของเรา เรายังคงมีความรู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้าของที่นี่ ยังรู้สึกเข้าสังคม เข้าอะไรกับเขาไม่ได้ อย่างพี่ C ที่ห่างกันแค่ปีเดียว เขาก็มีเพื่อนอายุเท่ากันซึ่งนั่งอยู่คนละโซน พักกลางวันก็จะไปกันสองคน เราเคยไปกับพี่ๆเขานะ แต่รู้สึกว่ามันไม่ได้อะ เหมือนเขาไม่ได้อยากให้เราอยู่ตรงนั้น พักหลังๆเราก็เลยแยกตัวออกไปซื้อข้าวคนเดียวแล้วก็รีบขึ้นมาข้างบน กินข้าวเงียบๆ หรือในช่วงที่พี่ๆเขาพูดเล่น คุย สนทนากัน เราพยายามจะสนใจในหัวข้อที่พี่ๆเขาพูด และก็พยายามถาม พยายามพูดให้ตัวเองมีส่วนร่วม แต่มันก็ไม่ได้ เรารู้สึกว่ามันไม่เป็นตัวเองที่ทำแบบนั้น มันดูเสแสร้งไปถ้าพยายามสนใจในสิ่งที่เราไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่ ซึ่งช่วงแรกๆพี่ในแผนกก็พูดกันว่าน้องอะต้องปรับตัวให้เข้ากับพวกพี่นะ อะเราก็พยายามแล้ว แต่ความพยายามของเรากลับกลายเป็นจุดที่ไม่น่าสนใจ และจากนั้นเราก็เงียบมาตลอด จะมีคุยก็แต่เรื่องงาน ถามงาน ถามความคิดเห็นในงาน ซึ่งตัวเราไม่ได้อยากจะคุยแค่เรื่องงาน เราอยากคุยสัพเพเหระเรื่องอื่นๆบ้าง แต่มันเหมือนจะติดที่ความสนใจร่วมกัน ยกตัวอย่าง พี่เขาสนใจดารา ศิลปินเกาหลี ซีรี่ย์วาย คอนเสิร์ต เราก็สนใจนะแต่ไม่ได้สนใจดาราคนนี้ ศิลปินเกาหลีคนนี้ แต่เราไม่สนใจซีรี่ย์วาย ทีนี้พอเราพยายามจะพูดหรือถามในบางประเด็น มันก็จะดูฝืนๆอะ ซึ่งเราก็รู้ว่าพี่เขาก็น่าจะดูออก ก็เลยทำให้เวลาเราถาม เขาก็จะตอบแบบส่งๆ ไม่ได้มีบทสนทนาอะไรต่อจากนั้น... บางครั้งความเงียบก็ทำให้เราอึดอัดมากเหมือนกัน ทุกครั้งที่มีการพูดคุยที่นอกเหนือจากงานเกิดขึ้น เราเป็นเพียงคนเดียวที่พูดอะไรกับใครเขาไม่ได้เลย อาจจะเพราะบุคลิกของเราหรือเปล่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่เขาก็ถามว่าชอบดาราเกาหลีคนไหนเป็นพิเศษไหม เราก็บอกชอบ (ขอเอ่ยชื่อนะคะ) จีซู Blackpink แต่หลังจากนั้น การคุยเรื่องศิลปินเกาหลีพี่เขาจะคุยกับคนที่สนิทแล้วมากกว่า
อีกเรื่องคือคำพูด ที่เราแอบตงิดในใจ... ปกติเราชอบกินข้าวคลุกน้ำพริก ใส่ปลาทู กุนเชียง จะมีร้านป้าคนหนึ่ง แต่ปกติเราก็ไม่ได้กินบ่อย แต่ช่วงหลังๆ จะมีพี่คนนึงในแผนก เขาชอบทักเราที่เราคิดไปว่ามันเชื่อมโยงกับฐานะทางบ้านของเรา ยกตัวอย่างเช่น 'อ้าววันนี้น้องไม่กินข้าวคลุกหรอ' 'น้องเขาชอบกินมาม่า' ฯลฯ อันนี้ยกตัวอย่างนะคะอาจจะยังไม่เห้นภาพ แต่เรารู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา เรารู้ว่าตัวเองเราว่าเราเป็นยังไง เราอาจจะไม่ชอบแต่งตัว หรือแต่งตัวแบบนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะพูดกับเรายังไงก็ได้ ตั้งแต่นั้นมันเลยก่ออคติในใจเราอยู่ลึกๆค่ะ ทำให้เวลาเราติดต่อประสานงานหรือทำงานร่วมกับพี่คนนี้ เราจะมีความรู้สึกแปลกๆทุกครั้ง บางครั้งคุยดี แต่บางครั้งเวลาถามหรือเราจะชวนคุย เขาจะไม่ค่อยตอบ ตอบเหมือนกันแต่บอกว่าให้ดูเอา (หรือเราถามโง่ไปหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ)
ในส่วนของเจ้านาย เรายังรู้สึกว่าวางตัวเองไม่ถูก บางครั้งเวลาถามงานก็จะได้รับการตอบห้วนๆกลับมาหรือให้ไปถามพี่ C ก่อนหน้านั้นโทรมาสั่งงานอธิบายรายละเอียดงานที่ทำให้พี่ C ฟัง แล้วให้พี่ C มาบอกเราอีกที ซึ่งบางครั้งเรารู้สึกว่าพี่ C เข้าใจ แต่เข้าใจคนละอย่างกับที่เจ้านายบอกพอเราทำส่งเจ้านายก็ไม่ถูกใจ แต่ช่วงหลังที่สั่งงานผ่านเราโดยตรงก็ใช้คำสั้นๆ ไม่อธิบายรายละเอียดหรือส่งมาเป็นภาพ เว็บไซต์ เป็นไอเดียให้ เราก็ต้องถามรายละเอียดเหล่านั้นกับพี่ A
บางครั้งเวลาสั่งอาหาร กินข้าว กินน้ำ เจ้านายก็จะให้ความสนใจพี่ C ว่าเอาอันนั้นไหม เอาอันนี้ไหม ส่วนเราที่ทุกครั้งเวลาที่เจ้านายเลี้ยงอะไรก็จะรู้สึกเกรงใจทุกครั้ง พอมาเจอการกระทำแบบนี้เราก็ไม่อยากอยู่ตรงนั้นเลยค่ะ เราไม่ได้รู้สึกอิจฉาพี่ C ที่จะโดนปฏิบัติแบบนั้น เราเข้าใจเพราะเขาก็ทำงานร่วมกันมานานเป็น 3-4 ปี จะมาเทียบกับเราที่เป็นน้องใหม่มาทำงานได้แค่ 6-7 เดือนแบบนี้ไม่ได้เลย มันไม่เหมือนกัน เราไม่ได้น้อยใจนะคะ อีกอย่างพี่ A ก็ดูจะสนิทกับพี่ C อยู่แล้วเพราะเขาต้องโคงานร่วมกัน เวลาอยู่ร่วมกัน 4 คน (มีเจ้านาย พี่ A พี่ C และเรา) ก็รู้สึกอัดอัด ไม่สบายใจพอๆกันอยู่ทำงานร่วมกับพี่ๆในออฟฟิศเลยค่ะ เราคิดว่าทำงาน 4 คน แล้วเราจะผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองได้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่ใช่เลย เรารู้สึกว่า.. ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่มีที่สำหรับเรา ที่ๆเราจะมีบทบาท มีความสำคัญ หรือมีความกลมกลืนกับพวกเขามากกว่านี้ ลืมบอกไปค่ะว่า เราเป็นน้องใหม่คนเดียวที่เข้ามาทำงานที่นี่ เพื่อนๆอายุเท่าเราไม่มีเลย (มีแต่อยู่คนละแผนกคนละชั้นคนโซนกันไปเลย - คุยได้แต่ทางไลน์) เรายอมรับว่าเหงามากค่ะ เหงามาหลายเดือนแล้ว และรู้สึกว่าเหมือนตัวเองจะเริ่มเป็นโรคซึมเศร้ากลายๆ ลองทำแบบทดสอบวัดโรคซึมเศร้าก็ได้คะแนน 12 อยู่ในระดับกลางๆ เราคิดว่าความที่เราจะอยู่แบบอึดอัดไม่สบายใจต่อไปแบบนี้อีกไม่นานเราได้ประสาทกินแน่ๆค่ะ แต่ถ้าจะให้ลาออกตอนนี้ก็ยังไม่มีงานมารอรับ ยังไม่รู้ว่าตัวเองออกไปจะทำอะไร แต่ถ้าให้อยู่ต่อก็ไม่อยากอยู่ คิดว่าที่นี่มันไม่ใช่ที่ของเราอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งถ้าออกไปมันต้องเป็น ท็อกออฟเดอะทาวน์ของแผนกแน่ๆค่ะ อีกอย่างก็ค่อนข้างเกรงใจเจ้านายอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาดีกับเรามากนะคะ แต่เรานึกถึงยูกยา โรงพยาบาลที่เขาหาให้ ข้าวที่เขาเลี้ยง ของที่เขาให้ แล้วมันก็... ตัดสินใจลำบาก ;--;
หรือทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะบุคลิกเราหรือคะ ภายนอกเราดูชิว ดูน่าจะเป็นคนเข้าหาง่าย แต่เอาเข้าจริง เราเป็นพวก Introvert ไม่ได้อยากเอาความเป็นอินโทรเวิร์ตมาอ้างว่าเป็นแบบนี้แล้วเข้ากับคนอื่นไม่ได้ แต่เพราะเรารู้ว่าตัวเองเป็นแบบนี้ แล้วเราก็พยายามแล้ว พยายามปรับตัว พยายามพูดคุย แต่เรารู้ว่ามันไม่ได้อะ มันไม่ใช่ ฝืน เสแสร้ง ไม่จริง เรารู้สึกแบบนั้นค่ะ... พอเงียบก็กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเราเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงไรงี้ เราไม่อยากให้เขามองเราในภาพลักษณ์แบบนั้นคะ เราควรจะทำอย่างไรต่อไปดีคะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
อยากลาออกแต่ยังลังเล, ปัญหาชีวิตหรือนิสัยส่วนตัว ขอคำปรึกษาค่ะ
- เราเริ่มทำงานที่นี้เนื่องจากในตอนนั้นเราอยู่ในช่วงว่างงาน เงินเก็บไม่เหลือ หว่านใบสมัครไปทั่ว สัมภาษณ์มาหลายครั้งและไม่ผ่าน (ติดที่การเดินทาง,ทักษะความสามารถ,ประสบการณ์ ฯลฯ) จนที่ทำงานปัจจุบันโทรติดต่อมาว่าสนใจใบสมัครเราและเห็นว่าเราสามารถตกแต่ง photoshop ตัดต่อวิดีโอได้ เลยนัดสัมภาษณ์ ซึ่งเราเห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไรเผื่อสัมผ่านก็จะได้มีงานทำเลย เลยตัดสินใจสัมภาษณ์และก็สัมผ่าน - ไปเซ็นสัญญาเริ่มงาน (ในตอนสัมภาษณ์ พี่เขาให้เงินเดือนเรา 12xxx แต่ตอนนั้นเราเรียกไป 13xxx พี่เขาก็โอเค)
**ซึ่งตอนสัมภาษณ์พี่ที่สัมเรา (และเป็นเจ้านายคนปัจจุบัน) บอกลักษณะงานที่ทำคือการทำ PR มีการจัดห้องประชุม ออกไปเดินซื้อของบ้าง ไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง เรามองว่ามันน่าสนใจและก็บอกจุดประสงคืของตัวเองไปว่าปัจจุบันกำลังเรียนภาษาจีนเพิ่มอยู่ และทางเขาก็บอกว่าทำงานกับพี่ส่วนใหญ่ได้ไปเที่ยวตปท.กันทั้งนั้น บางคนอยู่เป็นสิบๆปีเลยก็มี...
- พอเราได้ทำงานปุ๊บ อะช่วงเดือนสองเดือนแรกมันยังมีการวางตัวไม่ถูกบ้าง ไม่รู้จะคุยกับใครบ้าง ยังเข้าสังคมไม่เป็น ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งแปลกปลอมของที่นี่ แต่ก็พยายามมองโลกในแง่ดีเหมือนตอนเขียนข้อดีในใบสมัครว่ามันอาจจะแค่เป็นช่วงแรกๆแหละ ต่อไปมันอาจจะดีขึ้นก็ได้ บอกกับตัวเองให้อดทนๆๆๆ ต้องผ่านมันไปให้ได้ ... เราทำงานในตำแหน่ง HR เป็นในส่วน PR ประชาสัมพันธ์งานด้านสื่อในองค์กร ซึ่งต้องใช้ทักษะด้านการตกแต่งรูป ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ การใช้ Photoshop การตัดต่อวิดีโอ บลาๆๆ ซึ่งเราไม่ได้จบสายนี้มา เราจบประวัติศาสตร์ แต่เพราะชอบและทำได้ก็เลยตัดสินใจมาทำ
โดยเราอยู่ในทีม 4 คน มี เจ้านาย พี่อีกสองคน และเรา เจ้านายกับพี่อีกคนนึงจะไม่ค่อยเข้าออฟฟิศ (ขอแทนว่าพี่ A) ทำให้เราอยู่กับพี่อีกคนนึง ขอแทนว่า พี่ C นะคะ ก็พี่ C จะคอยอยู่กับเราตลอด นั่งโต๊ะติดกัน มีอะไรไม่สงสัยเรื่องงานเราสามารถถามได้ งงตรงไหนถามได้ ซึ่งเราดูลักษณะบุคลิกของพี่ C เราว่าเราน่าจะเข้ากับเขาได้ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ เรากับพี่เขาลึกๆยังมีความอึดอัดใจต่อกันอยู่ อีกทั้งเจ้านายก็เอาแต่เรียกพี่ C จนเรารู้สึกว่าเหมือนตัวเองไม่มีความสำคัญภายในทีม บางครั้ง พี่ C ก็ทำแทนเราบ้าง ต้องบอกก่อนว่า เราพยายามเรียนรู้งานอย่างมากที่สุด พยายามหาช่องทางให้ตัวเองมีบทบาท มีประโยชน์ต่อการทำงานร่วมกัน แต่อาจจะเป็นเพราะส่วนนึงเรายังเป็นน้องใหม่ พี่เขาคงเห็นว่าเรายังไม่รู้อะไรก็เลยยังสั่งอะไรไม่เต็มที่ ก็เลยจะให้พี่ C ทำ หรือให้เราดูเป็นตัวอย่างซะมากกว่า
จนมาเดือนที่ 4 เราติดโควิด กินเวลาไปเกือบสองอาทิตย์เพราะติดวันหยุดยาว พี่เขาก็ได้ส่งกล่องห่วงใย ที่มียารักษาอาการโควิดให้ อีกทั้งเจ้านายก็หาโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ จากที่เราจะใช้สิทธิประกันสังคม และเขาจะให้เรานอนโรงพยาบาล แต่เราไม่สะดวกไป (เพราะเราอยู่กับพ่อสองคนกลัวว่าจะไม่มีใครคอยดูแลแก) ก็เลยบอกหมอผ่านโทรศัพท์ว่าขอรักษาตัวที่บ้าน (ซึ่งเรามารู้ภายหลังว่าพี่เขาต้องการให้เราไปอยู่เป็นเพื่อนกับพนักงานอีกคนนึงที่ไม่มีเพื่อนนอนโรงพยาบาลด้วย) ในตอนนั้นเรารู้สึกซาบซึ้งใจมาก และรู้สึกผิดที่ตอนนั้นตัวเองมาคิดจะลาออก ทั้งๆที่พี่เขาก็ดีขนาดนี้ เราเลยพับเก็บความคิดลาออกไว้และตั้งใจทำงานต่อไป...
เข้าสู่เดือนที่ 5 เดือนนี้มีโปรเจคใหญ่มาก และต้องมีการเตรียมงานล่วงหน้ากันสองอาทิตย์ และช่วงอาทิตย์ก่อนจัดงานเราอยู่ดึก กลับประมาณ 2-3 ทุ่ม หนักสุด 3 ทุ่ม กับค่าโอทีไม่เท่าไหร่ ก็ทนๆไปจนงานจัดเสร็จ
แล้วก็มาเดือนที่ 6 ที่ผ่านไปไม่นาน ตอนนี้เรารู้สึกว่าปัญหาหลายๆอย่าง ความสงสัยอะไรต่างๆ มันเริ่มชัดขึ้น ตอนนั้นเราให้คำพูดกับตัวเองว่า 'ถ้าผ่านไปสี่เดือนแล้วอะไรๆมันยังเหมือนเดิมก็ควรจะพิจารณาตัวเองได้แล้วนะ' คำพูดนี้ย้อนเข้ามาในหัว พร้อมกับความรู้สึกหม่นๆที่เกิดขึ้นภายในใจของเรา เรายังคงมีความรู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้าของที่นี่ ยังรู้สึกเข้าสังคม เข้าอะไรกับเขาไม่ได้ อย่างพี่ C ที่ห่างกันแค่ปีเดียว เขาก็มีเพื่อนอายุเท่ากันซึ่งนั่งอยู่คนละโซน พักกลางวันก็จะไปกันสองคน เราเคยไปกับพี่ๆเขานะ แต่รู้สึกว่ามันไม่ได้อะ เหมือนเขาไม่ได้อยากให้เราอยู่ตรงนั้น พักหลังๆเราก็เลยแยกตัวออกไปซื้อข้าวคนเดียวแล้วก็รีบขึ้นมาข้างบน กินข้าวเงียบๆ หรือในช่วงที่พี่ๆเขาพูดเล่น คุย สนทนากัน เราพยายามจะสนใจในหัวข้อที่พี่ๆเขาพูด และก็พยายามถาม พยายามพูดให้ตัวเองมีส่วนร่วม แต่มันก็ไม่ได้ เรารู้สึกว่ามันไม่เป็นตัวเองที่ทำแบบนั้น มันดูเสแสร้งไปถ้าพยายามสนใจในสิ่งที่เราไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่ ซึ่งช่วงแรกๆพี่ในแผนกก็พูดกันว่าน้องอะต้องปรับตัวให้เข้ากับพวกพี่นะ อะเราก็พยายามแล้ว แต่ความพยายามของเรากลับกลายเป็นจุดที่ไม่น่าสนใจ และจากนั้นเราก็เงียบมาตลอด จะมีคุยก็แต่เรื่องงาน ถามงาน ถามความคิดเห็นในงาน ซึ่งตัวเราไม่ได้อยากจะคุยแค่เรื่องงาน เราอยากคุยสัพเพเหระเรื่องอื่นๆบ้าง แต่มันเหมือนจะติดที่ความสนใจร่วมกัน ยกตัวอย่าง พี่เขาสนใจดารา ศิลปินเกาหลี ซีรี่ย์วาย คอนเสิร์ต เราก็สนใจนะแต่ไม่ได้สนใจดาราคนนี้ ศิลปินเกาหลีคนนี้ แต่เราไม่สนใจซีรี่ย์วาย ทีนี้พอเราพยายามจะพูดหรือถามในบางประเด็น มันก็จะดูฝืนๆอะ ซึ่งเราก็รู้ว่าพี่เขาก็น่าจะดูออก ก็เลยทำให้เวลาเราถาม เขาก็จะตอบแบบส่งๆ ไม่ได้มีบทสนทนาอะไรต่อจากนั้น... บางครั้งความเงียบก็ทำให้เราอึดอัดมากเหมือนกัน ทุกครั้งที่มีการพูดคุยที่นอกเหนือจากงานเกิดขึ้น เราเป็นเพียงคนเดียวที่พูดอะไรกับใครเขาไม่ได้เลย อาจจะเพราะบุคลิกของเราหรือเปล่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่เขาก็ถามว่าชอบดาราเกาหลีคนไหนเป็นพิเศษไหม เราก็บอกชอบ (ขอเอ่ยชื่อนะคะ) จีซู Blackpink แต่หลังจากนั้น การคุยเรื่องศิลปินเกาหลีพี่เขาจะคุยกับคนที่สนิทแล้วมากกว่า
อีกเรื่องคือคำพูด ที่เราแอบตงิดในใจ... ปกติเราชอบกินข้าวคลุกน้ำพริก ใส่ปลาทู กุนเชียง จะมีร้านป้าคนหนึ่ง แต่ปกติเราก็ไม่ได้กินบ่อย แต่ช่วงหลังๆ จะมีพี่คนนึงในแผนก เขาชอบทักเราที่เราคิดไปว่ามันเชื่อมโยงกับฐานะทางบ้านของเรา ยกตัวอย่างเช่น 'อ้าววันนี้น้องไม่กินข้าวคลุกหรอ' 'น้องเขาชอบกินมาม่า' ฯลฯ อันนี้ยกตัวอย่างนะคะอาจจะยังไม่เห้นภาพ แต่เรารู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา เรารู้ว่าตัวเองเราว่าเราเป็นยังไง เราอาจจะไม่ชอบแต่งตัว หรือแต่งตัวแบบนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะพูดกับเรายังไงก็ได้ ตั้งแต่นั้นมันเลยก่ออคติในใจเราอยู่ลึกๆค่ะ ทำให้เวลาเราติดต่อประสานงานหรือทำงานร่วมกับพี่คนนี้ เราจะมีความรู้สึกแปลกๆทุกครั้ง บางครั้งคุยดี แต่บางครั้งเวลาถามหรือเราจะชวนคุย เขาจะไม่ค่อยตอบ ตอบเหมือนกันแต่บอกว่าให้ดูเอา (หรือเราถามโง่ไปหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ)
ในส่วนของเจ้านาย เรายังรู้สึกว่าวางตัวเองไม่ถูก บางครั้งเวลาถามงานก็จะได้รับการตอบห้วนๆกลับมาหรือให้ไปถามพี่ C ก่อนหน้านั้นโทรมาสั่งงานอธิบายรายละเอียดงานที่ทำให้พี่ C ฟัง แล้วให้พี่ C มาบอกเราอีกที ซึ่งบางครั้งเรารู้สึกว่าพี่ C เข้าใจ แต่เข้าใจคนละอย่างกับที่เจ้านายบอกพอเราทำส่งเจ้านายก็ไม่ถูกใจ แต่ช่วงหลังที่สั่งงานผ่านเราโดยตรงก็ใช้คำสั้นๆ ไม่อธิบายรายละเอียดหรือส่งมาเป็นภาพ เว็บไซต์ เป็นไอเดียให้ เราก็ต้องถามรายละเอียดเหล่านั้นกับพี่ A
บางครั้งเวลาสั่งอาหาร กินข้าว กินน้ำ เจ้านายก็จะให้ความสนใจพี่ C ว่าเอาอันนั้นไหม เอาอันนี้ไหม ส่วนเราที่ทุกครั้งเวลาที่เจ้านายเลี้ยงอะไรก็จะรู้สึกเกรงใจทุกครั้ง พอมาเจอการกระทำแบบนี้เราก็ไม่อยากอยู่ตรงนั้นเลยค่ะ เราไม่ได้รู้สึกอิจฉาพี่ C ที่จะโดนปฏิบัติแบบนั้น เราเข้าใจเพราะเขาก็ทำงานร่วมกันมานานเป็น 3-4 ปี จะมาเทียบกับเราที่เป็นน้องใหม่มาทำงานได้แค่ 6-7 เดือนแบบนี้ไม่ได้เลย มันไม่เหมือนกัน เราไม่ได้น้อยใจนะคะ อีกอย่างพี่ A ก็ดูจะสนิทกับพี่ C อยู่แล้วเพราะเขาต้องโคงานร่วมกัน เวลาอยู่ร่วมกัน 4 คน (มีเจ้านาย พี่ A พี่ C และเรา) ก็รู้สึกอัดอัด ไม่สบายใจพอๆกันอยู่ทำงานร่วมกับพี่ๆในออฟฟิศเลยค่ะ เราคิดว่าทำงาน 4 คน แล้วเราจะผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองได้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่ใช่เลย เรารู้สึกว่า.. ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่มีที่สำหรับเรา ที่ๆเราจะมีบทบาท มีความสำคัญ หรือมีความกลมกลืนกับพวกเขามากกว่านี้ ลืมบอกไปค่ะว่า เราเป็นน้องใหม่คนเดียวที่เข้ามาทำงานที่นี่ เพื่อนๆอายุเท่าเราไม่มีเลย (มีแต่อยู่คนละแผนกคนละชั้นคนโซนกันไปเลย - คุยได้แต่ทางไลน์) เรายอมรับว่าเหงามากค่ะ เหงามาหลายเดือนแล้ว และรู้สึกว่าเหมือนตัวเองจะเริ่มเป็นโรคซึมเศร้ากลายๆ ลองทำแบบทดสอบวัดโรคซึมเศร้าก็ได้คะแนน 12 อยู่ในระดับกลางๆ เราคิดว่าความที่เราจะอยู่แบบอึดอัดไม่สบายใจต่อไปแบบนี้อีกไม่นานเราได้ประสาทกินแน่ๆค่ะ แต่ถ้าจะให้ลาออกตอนนี้ก็ยังไม่มีงานมารอรับ ยังไม่รู้ว่าตัวเองออกไปจะทำอะไร แต่ถ้าให้อยู่ต่อก็ไม่อยากอยู่ คิดว่าที่นี่มันไม่ใช่ที่ของเราอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งถ้าออกไปมันต้องเป็น ท็อกออฟเดอะทาวน์ของแผนกแน่ๆค่ะ อีกอย่างก็ค่อนข้างเกรงใจเจ้านายอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาดีกับเรามากนะคะ แต่เรานึกถึงยูกยา โรงพยาบาลที่เขาหาให้ ข้าวที่เขาเลี้ยง ของที่เขาให้ แล้วมันก็... ตัดสินใจลำบาก ;--;
หรือทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะบุคลิกเราหรือคะ ภายนอกเราดูชิว ดูน่าจะเป็นคนเข้าหาง่าย แต่เอาเข้าจริง เราเป็นพวก Introvert ไม่ได้อยากเอาความเป็นอินโทรเวิร์ตมาอ้างว่าเป็นแบบนี้แล้วเข้ากับคนอื่นไม่ได้ แต่เพราะเรารู้ว่าตัวเองเป็นแบบนี้ แล้วเราก็พยายามแล้ว พยายามปรับตัว พยายามพูดคุย แต่เรารู้ว่ามันไม่ได้อะ มันไม่ใช่ ฝืน เสแสร้ง ไม่จริง เรารู้สึกแบบนั้นค่ะ... พอเงียบก็กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเราเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงไรงี้ เราไม่อยากให้เขามองเราในภาพลักษณ์แบบนั้นคะ เราควรจะทำอย่างไรต่อไปดีคะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ