ในแต่ละประเทศก็มีประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดแตกต่างกันไป แต่ประเทศไทย(อาจมีบางประเทศแต่ผมไม่รู้จัก)โดยเฉพาะคนรุ่นหลังบางคนเริ่มปล่อยวางและไม่ยึดติดประวัติศาสตร์แล้ว เช่น ตอนกรุงศรีแตก ยุคล่าอาณานิคม สงครามโลก ฯลฯ เพราะมองว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ควรปล่อยวางและเดินหน้าต่อไป แถมบางคนก็ยังทำมีมล้อประวัติศาสตร์กันอย่างสนุกสนานอีกด้วย
แต่ทว่าบางประเทศที่ผมเคยเจอก็ไม่ได้ปล่อยวางแบบคนไทย เช่น เกาหลีเหนือที่ยังเกลียดชังอเมริกาเพราะมองว่าจะมายึดประเทศตัวเอง ทั้งที่มันจบสงครามเย็นไปนานแล้ว หรือเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากอย่างคนดำในอเมริกาช่วงBlack Lives Matterที่บางคนยังรู้สึกแย่กับประวัติศาสตร์ช่วงที่ตัวเองโดนคนขาวจับไปเป็นทาสอยู่(ซึ่งถ้าเทียบกับไทยก็ใกล้เคียงช่วงกรุงศรีแตกครั้งแรกมั้งครับ และเหตุการณ์ช่วงนี้คนไทยรุ่นหลังก็ลืมกันหมดแล้ว ใครที่ยังอินกับช่วงกรุงศรีแตกก็อาจจะโดนมองแปลก ๆ ได้) และอาจจะยังมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่ปล่อยวางประวัติศาสตร์ แต่ผมอาจจะยังศึกษาไม่มากพอ
และเพราะแบบนี้เองเลยทำให้ผมสงสัยว่าทำไมบางประเทศถึงไม่ยอมปล่อยวางประวัติศาสตร์ของตัวเองหรอครับ และการไม่ปล่อยวางประวัติศาสตร์มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร และบริบทของประวัติศาสตร์แต่ละประเทศมันต่างกับไทยอย่างไรถึงทำให้บางคนปล่อยวางยากหรอครับ
ทำไมบางประเทศถึงไม่ยอมปล่อยวางประวัติศาสตร์ของตัวเองหรือครับ
แต่ทว่าบางประเทศที่ผมเคยเจอก็ไม่ได้ปล่อยวางแบบคนไทย เช่น เกาหลีเหนือที่ยังเกลียดชังอเมริกาเพราะมองว่าจะมายึดประเทศตัวเอง ทั้งที่มันจบสงครามเย็นไปนานแล้ว หรือเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากอย่างคนดำในอเมริกาช่วงBlack Lives Matterที่บางคนยังรู้สึกแย่กับประวัติศาสตร์ช่วงที่ตัวเองโดนคนขาวจับไปเป็นทาสอยู่(ซึ่งถ้าเทียบกับไทยก็ใกล้เคียงช่วงกรุงศรีแตกครั้งแรกมั้งครับ และเหตุการณ์ช่วงนี้คนไทยรุ่นหลังก็ลืมกันหมดแล้ว ใครที่ยังอินกับช่วงกรุงศรีแตกก็อาจจะโดนมองแปลก ๆ ได้) และอาจจะยังมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่ปล่อยวางประวัติศาสตร์ แต่ผมอาจจะยังศึกษาไม่มากพอ
และเพราะแบบนี้เองเลยทำให้ผมสงสัยว่าทำไมบางประเทศถึงไม่ยอมปล่อยวางประวัติศาสตร์ของตัวเองหรอครับ และการไม่ปล่อยวางประวัติศาสตร์มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร และบริบทของประวัติศาสตร์แต่ละประเทศมันต่างกับไทยอย่างไรถึงทำให้บางคนปล่อยวางยากหรอครับ