จากเกมการแข่งขันระหว่างทีมชาติไทยชุด 19 ปีกับเวียดนามในฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน พบว่าเด็กไทยร่างกายไม่เหมือนนักกีฬากล้ามเนื้อความหนาแข็งแรงยังไม่ดี และค่อนข้างด้อยกว่าเด็กเวียดนามมาก สังเกตภายนอกได้จาก ความหนาของหัวไหล่ หน้าอก ต้นแขน และลำตัว ทำให้พละกำลังในการวิ่งเพรสซิ่ง ทุกการปะทะ การกระโดดเบียดเพื่อแย่งบอลเด็กไทยจะเสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบ แสดงว่าเด็กเวียดนามชุดนี้มาถูกทางเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อแบบนักกีฬารวมถึงโภชนาการ การบอดี้เวทมันไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อปิดครับ ปัจจุบันโค้ชบอลเด็กไทย ครูผู้ฝึกสอน หรือแม้กระทั้งประธานสโมสรฟุตบอล ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ จึงปลูกฝังเด็กว่าไม่ควรทำ หรือยังไม่จำเป็นต้องทำ พวกการโหนบาร์ การวิดพื้น การซิตอัพ รวมถึงการว่ายน้ำ พวกนี้ถ้าฝีกตั้งแต่อายุ 13 14 15 นอกจากจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อประสิทธิภาพดี ยังทำให้ไหล่กว้างขึ้น แถมช่วยให้สูงขึ้นได้อีกด้วย หรือการเวทเทรนนิ่งด้วยอุปกรณ์ก็สามารถทำได้ เด็กฝรั่ง รวมถึงในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เขาเริ่มฝึกกันตั้งแต่ 13 14 ปี อย่าง เซอร์จิโอ้ รามอส หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ พวกนี้ไม่ได้ฝึกแบบธรรมดาแต่ฝึกเวทค่อนข้างหนักกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันทุกคนมีการเวทเทรนนิ่งหมด และนี่คือยุโรปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
ดังนั้น ด้วยผลผลิตที่เราเห็นผ่านฟุตบอลเยาวชนรุ่น 19 ปี พวกอะคาเดมี่ในไทยที่ผลิตนักเตะชุดนี้กำลังมาผิดทาง ทั้งโรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี, สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด, สโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด, สโมสรชลบุรี ทั้งในเรื่องของโภชนาการและการสร้างกล้ามเนื้อให้นักฟุตบอล ซึ่งคิดว่าจะเป็นการปลูกฝังเรื่องวินัยส่วนตัวของนักเตะเองด้วย ควรยอมรับความจริงกลับมาคุยกันและหาทางแก้ไข บินไปดูงาน เวียดนาม PVF เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อีกรอบนึง ว่าเขามีวิธีการวางโปรแกรมพัฒนาร่างกาย โภชนาการและปลูกฝังเด็กยังไง หรือจะบินไปเลสเตอร์ก็ได้ดูการเทรนร่างกายของเด็ก 13 14 เขา หรืออาจจะมีการบังคับหากโภชนาการ การสร้างกล้ามเนื้อร่างกายของเด็กคนใดไม่ได้มาตรฐานที่กำหนด จะไม่ได้ไปต่อกับอะคาเดมี่ หรือไม่ถูกเรียกติดทีมชาติชุดเยาวชน จะต้องกลับไปพัฒนาให้ดีก่อน เพื่อเป็นผลดีต่อทีมชาติไทย