เมื่อจอยมีบอดี้การ์ด
ดรัสวันต์
4
สักครู่ จอยเริ่มคลายจากอาการร้องไห้ มีเสียงเคาะประตู ฮุสเซนส่งเสียงขออนุญาตเข้ามาในห้อง
มาดามชาเรสธาเป็นคนเดินไปเปิดประตู จอยรีบเช็ดน้ำตา เขาจะเข้ามาทำไม จอยไม่มีอะไรจะพูดด้วยและยังไม่อยากเห็นหน้าเขา
ฮุสเซนเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าจอย
“ผมขอโทษ” เขากล่าวด้วยท่าทางเดือดร้อน รู้สึกผิด
จอยเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเขาหอบผ้านวมผืนใหญ่มาให้ด้วย
“ทำไมไม่บอกว่าผ้าห่มของคุณไม่พอ”
“ก็ฉันคิดว่าหมู่บ้านนี้คงยากจนมาก คงมีผ้าห่มไม่พอหรอก”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมมีหน้าที่ดูแลพวกคุณ ขาดเหลืออะไรก็ต้องบอก”
จอยเมินหน้า พลางคิดในใจว่าเป็นความผิดของจอยซิท่า ที่ไม่ได้บอกเขา
ดูเหมือนเขาจะอ่านความคิดจอยออก จึงออกตัวว่า
“ผมเองก็บกพร่องที่ไม่ได้เช็กว่าผ้าห่มของคุณอุ่นพอหรือเปล่า คืนนี้ ห่มผืนนี้ไปก่อนนะ” เขาเดินเอาผ้านวมมาวางให้ที่เตียงจอย “พรุ่งนี้ผมจะหาซื้อผืนใหม่มาให้”
“แล้วผืนนี้ของใครกัน”
ฮุสเซนนิ่งเฉยไม่ตอบ
“หวังว่าฉันคงไม่ได้ไปเบียดเบียนใครนะ”
เขาส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วหันไปทางมาดามชเรสธา
“ผ้าห่มของมาดามพอหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีปัญหาหรอก เสื้อหนาวที่ฉันเอามาหนามาก”
จอยรู้ว่ามาดามไม่มีปัญหาหรอกกับความหนาวขนาดนี้เพราะที่เนปาลหนาวกว่านี้หลายเท่า
จอยนึกเอะใจบางอย่าง จึงถามว่า
“แล้วที่คุณจะลงทุนซื้อผ้าห่มผืนใหม่มาให้ แสดงว่าเราจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน อย่างนั้นหรือ”
“นั่นน่ะซิ เมื่อไหร่จะได้กลับ” มาดามชเรสธาถามขึ้น เป็นประเด็นที่ฮุสเซนถูกเราสองคนถาม
ทุกวัน
เขาถอนหายใจ สีหน้าหนักใจ
“ผมพยายามติดต่อสำนักงานใหญ่ตลอดเวลา ได้คำตอบเมื่อไหร่ ผมจะรีบแจ้งโดยเร็วที่สุด แต่ระหว่างนี้ อะไรที่เป็นความสะดวกสบายของพวกคุณที่ผมสามารถจัดหามาให้ได้ ช่วยกรุณาบอกด้วย”
เขาออกไปแล้ว จอยเดินไปที่เตียงดึงผ้านวมออกมาคลี่ดู นึกสงสัยว่าเป็นผ้านวมจากที่ไหนหรือว่าของใคร อดจะก้มลงดมกลิ่นไม่ได้ สะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้
กลิ่นอาฟเตอร์เชฟจางๆ คุ้นจมูก ทำให้จอยรู้สึกวาบในใจ รึว่าเป็นผ้าห่มของเขา มิน่าเขาถึงไม่ยอมบอกแต่แรกว่าเป็นของใคร ความคิดต่อมาคือ คืนนี้เขาจะต้องนอนหนาวหรือไม่ ในเมื่อเขาต้องสละผ้าห่มให้จอย
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าจอยยังไม่ได้คืนเสื้อแจ็กเก็ตให้เขา ถ้าเขาไม่มีผ้าห่ม เขาคงต้องการเสื้อตัวนี้ จอยจึงเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องเขา
พอเขาเปิดประตู จอยยื่นเสื้อให้เขา
“ฉันเอาเสื้อมาคืน คืนนี้สงสัยว่าผ้าห่มคุณคงไม่พอ คุณคงต้องใช้เสื้อตัวนี้”
ฮุสเซนรับไปพร้อมกับมองจอยอย่างแปลกใจที่ทำไมจอยเดาได้ว่าผ้านวมผืนนั้นเป็นของเขา
“ขอบคุณนะคะ” จอยกล่าวแล้วหันหลังจะกลับห้อง แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ “อ้อ เย็นนี้ฉันไม่ทานอาหารเย็นนะ ขอแค่น้ำชาร้อนๆ สักกระติกหนึ่ง” จอยจะทานชาร้อนกับคุ๊กกี้แทนข้าว
“แค่ชาร้อนหรือ”
“ใช่ ฉันจะทานกับคุกกี้”
“นั่นไม่ใช่อาหารสักหน่อย” เขาทำหน้าดุ “จอย คุณทานน้อยแบบนี้ ร่างกายจะสู้กับอากาศหนาวได้อย่างไร”
จอยยกไหล่
“ก็ฉันมีผ้านวมแล้วไง”
จอยตื่นขึ้นมาในตอนเช้าอย่างสดชื่นกว่าทุกวันเพราะได้หลับเต็มอิ่มเป็นครั้งแรก ผ้านวมผืนนั้นช่วยให้จอยอบอุ่นไม่ต้องนอนหนาวอีกต่อไป
ที่โต๊ะอาหาร ฮุสเซนมารออยู่แล้ว
อาหารเช้าวันนี้เต็มโต๊ะไปด้วย โรตี คุกกี้ แครกเกอร์ ขนมปังสารพัดชนิดที่วางเรียงรายให้จอยเลือกทานกับกาแฟ ดูก็รู้ว่าเขาพยายามเอาอกเอาใจเต็มที่ เขาคงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับอาหารที่จอยบ่นเบื่อแต่เขาควรจะเห็นใจจอยบ้างไม่ใช่หรือ
มาดามชเรสธาเอง ก็ใช่ว่าจะพึงพอใจกับสภาพที่เราอยู่นัก เพียงแต่ท่านเป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้ใจร้อนและความอดทนต่ำอย่างจอย อีกอย่างหนึ่ง สภาพความเป็นอยู่และอาหารการกินที่เนปาลกับที่นี่ก็ใกล้เคียงกัน เธอไม่ต้องปรับตัวมากเท่าจอย
“วันนี้เป็นวันหยุด คุณอยากจะไปเที่ยวที่ไหนหรือทำอะไรรึเปล่า”
ไม่รู้ซิ จอยนึกไม่ออก มีที่ไหนน่าเที่ยวด้วยหรือ อยากกลับบ้านเท่านั้น
“คุณโทร.ไปถามที่สำนักงานหรือยังว่าจะให้เรากลับเมื่อไหร่” ช่วยไม่ได้ที่จอยต้องตั้งคำถามซ้ำซาก จิตใจจอยหมกมุ่นอยู่แต่เพียงว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน
“วันนี้เป็นวันหยุด คงติดต่อใครไม่ได้”
ไม่มีคำตอบเช่นเคย จอยพาลอิ่มอาหารแล้วออกไปเดินเล่นที่สนามรอบบริเวณที่พัก มีพันธุ์ไม้หลายอย่างที่คล้ายเมืองไทย มีต้นมะนาวด้วยแต่หน้าแล้งอย่างนี้ ไม่มีลูกมะนาวให้เห็น
ฮุสเซน เดินมาหา
“ผมขอโทษ ที่ไม่สามารถทำให้คุณอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายกว่านี้”
เราสบตากัน มีความจริงใจอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น
“โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ถ้าคุณจะให้เราทำอาหารอย่างที่คุณชอบ ช่วยอธิบายวิธีทำ ให้พ่อครัวเขาปรุงอาหารชนิดนั้นให้คุณได้นะ”
ให้พ่อครัวปรุงอาหารชนิดที่เราชอบอย่างนั้นหรือ จอยนิ่งคิดว่าอยากทานอะไรดี แล้วถ้าอยากทานแกงเขียวหวานล่ะ จะต้องอธิบายกันยุ่งยากแค่ไหนพ่อครัวถึงจะทำได้
จริงซิ จอยนึกออกแล้ว ทำไมจอยไม่ขอให้เขาจัดหาวัตถุดิบมาให้จอยทำกับข้าว ทำเองง่ายกว่าอธิบายให้พ่อครัว
“เอาอย่างนี้ กลางวันนี้ฉันขอเป็นเจ้าภาพทำกับข้าวเลี้ยงพวกคุณเอง เชิญผู้จัดการกับครอบครัวด้วยนะ” จอยเริ่มสนุกแล้วล่ะที่นี้ จอยชอบทำกับข้าวและทำอร่อยอีกต่างหาก ไม่อยากคุยเลย
“จดรายการมาแล้วกันว่าต้องการอะไรบ้าง ผมจะให้คนไปซื้อ”
ทำอะไรดี จอยอยากทานไข่เจียว ผัดเผ็ด ยำแซ่บๆ เอ แต่จะมีของหรือ
“ขอฉันไปดูที่ตลาดเองดีกว่าเพราะไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรขายบ้าง”
ฮุสเซนอึกอักอยู่เป็นครู่ ทำท่าลำบากใจแต่คงไม่อยากขัดใจ
“ถ้ายังงั้นก็ต้องไปตอนนี้เลย ก่อนที่ตลาดจะวาย”
สักครู่เราจึงออกเดินไปตลาดกัน โดยมีผู้จัดการธนาคารนำเราไป จอยแต่งตัวรัดกุมและมีผ้าคลุมผมด้วย เพราะที่ตลาดมีผู้คนมากมาย จอยควรแต่งตัวให้เหมาะสม
ที่ตลาดมีคนมากกว่าที่จอยคาด แม้จะเป็นตลาดเล็กๆ ที่มีแค่สิบแผงแต่คนมากขนาดนี้ ก็ทำให้เกิดการเบียดเสียด พอจอยเดินเข้ามาในตลาด ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดชะงักสายตาทุกคู่พุ่งมาที่จอย ทำให้เริ่มใจไม่ดีและพยายามระวังตัวมากขึ้น
ผู้จัดการเดินนำหน้าในขณะที่ฮุสเซนคอยระวังหลังให้จอย ไม่ใช่แค่ผู้คนที่มาจับจ่ายแต่ยังมีเด็กจรจัดทั้งเด็กเล็กเด็กโตและขอทาน ที่สนใจใคร่รู้พากันเบียดเสียดเข้ามาเพื่อดูจอยใกล้ๆ จนถึงกับผลักกัน
เมื่อจอยมีบอดี้การ์ด (4)
สักครู่ จอยเริ่มคลายจากอาการร้องไห้ มีเสียงเคาะประตู ฮุสเซนส่งเสียงขออนุญาตเข้ามาในห้อง
มาดามชาเรสธาเป็นคนเดินไปเปิดประตู จอยรีบเช็ดน้ำตา เขาจะเข้ามาทำไม จอยไม่มีอะไรจะพูดด้วยและยังไม่อยากเห็นหน้าเขา
ฮุสเซนเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าจอย
“ผมขอโทษ” เขากล่าวด้วยท่าทางเดือดร้อน รู้สึกผิด
จอยเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเขาหอบผ้านวมผืนใหญ่มาให้ด้วย
“ทำไมไม่บอกว่าผ้าห่มของคุณไม่พอ”
“ก็ฉันคิดว่าหมู่บ้านนี้คงยากจนมาก คงมีผ้าห่มไม่พอหรอก”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมมีหน้าที่ดูแลพวกคุณ ขาดเหลืออะไรก็ต้องบอก”
จอยเมินหน้า พลางคิดในใจว่าเป็นความผิดของจอยซิท่า ที่ไม่ได้บอกเขา
ดูเหมือนเขาจะอ่านความคิดจอยออก จึงออกตัวว่า
“ผมเองก็บกพร่องที่ไม่ได้เช็กว่าผ้าห่มของคุณอุ่นพอหรือเปล่า คืนนี้ ห่มผืนนี้ไปก่อนนะ” เขาเดินเอาผ้านวมมาวางให้ที่เตียงจอย “พรุ่งนี้ผมจะหาซื้อผืนใหม่มาให้”
“แล้วผืนนี้ของใครกัน”
ฮุสเซนนิ่งเฉยไม่ตอบ
“หวังว่าฉันคงไม่ได้ไปเบียดเบียนใครนะ”
เขาส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วหันไปทางมาดามชเรสธา
“ผ้าห่มของมาดามพอหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีปัญหาหรอก เสื้อหนาวที่ฉันเอามาหนามาก”
จอยรู้ว่ามาดามไม่มีปัญหาหรอกกับความหนาวขนาดนี้เพราะที่เนปาลหนาวกว่านี้หลายเท่า
จอยนึกเอะใจบางอย่าง จึงถามว่า
“แล้วที่คุณจะลงทุนซื้อผ้าห่มผืนใหม่มาให้ แสดงว่าเราจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน อย่างนั้นหรือ”
“นั่นน่ะซิ เมื่อไหร่จะได้กลับ” มาดามชเรสธาถามขึ้น เป็นประเด็นที่ฮุสเซนถูกเราสองคนถาม ทุกวัน
เขาถอนหายใจ สีหน้าหนักใจ
“ผมพยายามติดต่อสำนักงานใหญ่ตลอดเวลา ได้คำตอบเมื่อไหร่ ผมจะรีบแจ้งโดยเร็วที่สุด แต่ระหว่างนี้ อะไรที่เป็นความสะดวกสบายของพวกคุณที่ผมสามารถจัดหามาให้ได้ ช่วยกรุณาบอกด้วย”
เขาออกไปแล้ว จอยเดินไปที่เตียงดึงผ้านวมออกมาคลี่ดู นึกสงสัยว่าเป็นผ้านวมจากที่ไหนหรือว่าของใคร อดจะก้มลงดมกลิ่นไม่ได้ สะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้
กลิ่นอาฟเตอร์เชฟจางๆ คุ้นจมูก ทำให้จอยรู้สึกวาบในใจ รึว่าเป็นผ้าห่มของเขา มิน่าเขาถึงไม่ยอมบอกแต่แรกว่าเป็นของใคร ความคิดต่อมาคือ คืนนี้เขาจะต้องนอนหนาวหรือไม่ ในเมื่อเขาต้องสละผ้าห่มให้จอย
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าจอยยังไม่ได้คืนเสื้อแจ็กเก็ตให้เขา ถ้าเขาไม่มีผ้าห่ม เขาคงต้องการเสื้อตัวนี้ จอยจึงเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องเขา
พอเขาเปิดประตู จอยยื่นเสื้อให้เขา
“ฉันเอาเสื้อมาคืน คืนนี้สงสัยว่าผ้าห่มคุณคงไม่พอ คุณคงต้องใช้เสื้อตัวนี้”
ฮุสเซนรับไปพร้อมกับมองจอยอย่างแปลกใจที่ทำไมจอยเดาได้ว่าผ้านวมผืนนั้นเป็นของเขา
“ขอบคุณนะคะ” จอยกล่าวแล้วหันหลังจะกลับห้อง แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ “อ้อ เย็นนี้ฉันไม่ทานอาหารเย็นนะ ขอแค่น้ำชาร้อนๆ สักกระติกหนึ่ง” จอยจะทานชาร้อนกับคุ๊กกี้แทนข้าว
“แค่ชาร้อนหรือ”
“ใช่ ฉันจะทานกับคุกกี้”
“นั่นไม่ใช่อาหารสักหน่อย” เขาทำหน้าดุ “จอย คุณทานน้อยแบบนี้ ร่างกายจะสู้กับอากาศหนาวได้อย่างไร”
จอยยกไหล่
“ก็ฉันมีผ้านวมแล้วไง”
จอยตื่นขึ้นมาในตอนเช้าอย่างสดชื่นกว่าทุกวันเพราะได้หลับเต็มอิ่มเป็นครั้งแรก ผ้านวมผืนนั้นช่วยให้จอยอบอุ่นไม่ต้องนอนหนาวอีกต่อไป
ที่โต๊ะอาหาร ฮุสเซนมารออยู่แล้ว
อาหารเช้าวันนี้เต็มโต๊ะไปด้วย โรตี คุกกี้ แครกเกอร์ ขนมปังสารพัดชนิดที่วางเรียงรายให้จอยเลือกทานกับกาแฟ ดูก็รู้ว่าเขาพยายามเอาอกเอาใจเต็มที่ เขาคงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับอาหารที่จอยบ่นเบื่อแต่เขาควรจะเห็นใจจอยบ้างไม่ใช่หรือ
มาดามชเรสธาเอง ก็ใช่ว่าจะพึงพอใจกับสภาพที่เราอยู่นัก เพียงแต่ท่านเป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้ใจร้อนและความอดทนต่ำอย่างจอย อีกอย่างหนึ่ง สภาพความเป็นอยู่และอาหารการกินที่เนปาลกับที่นี่ก็ใกล้เคียงกัน เธอไม่ต้องปรับตัวมากเท่าจอย
“วันนี้เป็นวันหยุด คุณอยากจะไปเที่ยวที่ไหนหรือทำอะไรรึเปล่า”
ไม่รู้ซิ จอยนึกไม่ออก มีที่ไหนน่าเที่ยวด้วยหรือ อยากกลับบ้านเท่านั้น
“คุณโทร.ไปถามที่สำนักงานหรือยังว่าจะให้เรากลับเมื่อไหร่” ช่วยไม่ได้ที่จอยต้องตั้งคำถามซ้ำซาก จิตใจจอยหมกมุ่นอยู่แต่เพียงว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน
“วันนี้เป็นวันหยุด คงติดต่อใครไม่ได้”
ไม่มีคำตอบเช่นเคย จอยพาลอิ่มอาหารแล้วออกไปเดินเล่นที่สนามรอบบริเวณที่พัก มีพันธุ์ไม้หลายอย่างที่คล้ายเมืองไทย มีต้นมะนาวด้วยแต่หน้าแล้งอย่างนี้ ไม่มีลูกมะนาวให้เห็น
ฮุสเซน เดินมาหา
“ผมขอโทษ ที่ไม่สามารถทำให้คุณอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายกว่านี้”
เราสบตากัน มีความจริงใจอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น
“โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ถ้าคุณจะให้เราทำอาหารอย่างที่คุณชอบ ช่วยอธิบายวิธีทำ ให้พ่อครัวเขาปรุงอาหารชนิดนั้นให้คุณได้นะ”
ให้พ่อครัวปรุงอาหารชนิดที่เราชอบอย่างนั้นหรือ จอยนิ่งคิดว่าอยากทานอะไรดี แล้วถ้าอยากทานแกงเขียวหวานล่ะ จะต้องอธิบายกันยุ่งยากแค่ไหนพ่อครัวถึงจะทำได้
จริงซิ จอยนึกออกแล้ว ทำไมจอยไม่ขอให้เขาจัดหาวัตถุดิบมาให้จอยทำกับข้าว ทำเองง่ายกว่าอธิบายให้พ่อครัว
“เอาอย่างนี้ กลางวันนี้ฉันขอเป็นเจ้าภาพทำกับข้าวเลี้ยงพวกคุณเอง เชิญผู้จัดการกับครอบครัวด้วยนะ” จอยเริ่มสนุกแล้วล่ะที่นี้ จอยชอบทำกับข้าวและทำอร่อยอีกต่างหาก ไม่อยากคุยเลย
“จดรายการมาแล้วกันว่าต้องการอะไรบ้าง ผมจะให้คนไปซื้อ”
ทำอะไรดี จอยอยากทานไข่เจียว ผัดเผ็ด ยำแซ่บๆ เอ แต่จะมีของหรือ
“ขอฉันไปดูที่ตลาดเองดีกว่าเพราะไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรขายบ้าง”
ฮุสเซนอึกอักอยู่เป็นครู่ ทำท่าลำบากใจแต่คงไม่อยากขัดใจ
“ถ้ายังงั้นก็ต้องไปตอนนี้เลย ก่อนที่ตลาดจะวาย”
สักครู่เราจึงออกเดินไปตลาดกัน โดยมีผู้จัดการธนาคารนำเราไป จอยแต่งตัวรัดกุมและมีผ้าคลุมผมด้วย เพราะที่ตลาดมีผู้คนมากมาย จอยควรแต่งตัวให้เหมาะสม
ที่ตลาดมีคนมากกว่าที่จอยคาด แม้จะเป็นตลาดเล็กๆ ที่มีแค่สิบแผงแต่คนมากขนาดนี้ ก็ทำให้เกิดการเบียดเสียด พอจอยเดินเข้ามาในตลาด ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดชะงักสายตาทุกคู่พุ่งมาที่จอย ทำให้เริ่มใจไม่ดีและพยายามระวังตัวมากขึ้น
ผู้จัดการเดินนำหน้าในขณะที่ฮุสเซนคอยระวังหลังให้จอย ไม่ใช่แค่ผู้คนที่มาจับจ่ายแต่ยังมีเด็กจรจัดทั้งเด็กเล็กเด็กโตและขอทาน ที่สนใจใคร่รู้พากันเบียดเสียดเข้ามาเพื่อดูจอยใกล้ๆ จนถึงกับผลักกัน