ผู้เขียนบทความต้นฉบับ
https://www.facebook.com/groups/360605677692324/user/100008422425931/
ปืนใหญ่อัตตาจร Panzerhaubitze 2000 จากเยอรมนีได้ไปถึงยูเครนแล้วหลักจากที่รอกันอย่างยาวนาน แต่มันดีขนาดไหน ไปชมประวัติและความสามารถของมันกันสักหน่อยก็แล้วกันเยอรมนีเป็นประเทศชั้นนำในการพัฒนายานเกราะประเภทต่างๆในระดับแถวหน้ามานับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอัตตาจร (SPH) ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ในช่วงแรกของสงครามเย็น ยุโรปตะวันตกหลายประเทศจำเป็นต้องใช้อัตตาจรของสหรัฐอย่าง M109 ซึ่งในเวลาต่อมาแม้ยุโรปหลายประเทศอย่างอังกฤษ อิตาลีและเยอรมนีตะวันตกจะมีแนวคิดไม่ตรงกันมากนักมาตลอด แต่ความคิดเห็นอย่างหนึ่งที่ตรงกันในกรณีนี้คือ "พวกเราต้องการอาวุธใหม่ของตัวเอง อะไรก้ได้ที่ไม่ใช่ของไอ้กัน" ซึ่งนำไปสู่โครงการร่วมสำหรับพัฒนาอัตตาจรสำหรับยุโรปชื่อ SP70 ในช่วงทศวรรษที่ 1970s อย่างไรก็ตาม คุณภาพมันออกมากลับด้อยกว่า M109 ที่มีอยู่เดิม และด้วยค่านิยมทางกองทัพที่ต่างกัน ส่งผลให้แต่ละประเทศแยกตัวออกไปพัฒนาอัตตาจรของตนเอง
ในเวลาต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1990s รัฐบาลเยอรมนีตะวันตกได้สั่งบริษัทจำนวน 4 บริษัท แบ่งเป็นสองทีม เพื่อออกแบบอัตตาจรที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่โลกเคยมีในเวลานั้น ได้แก่
ทีม 1: Wegmann and MaK และ Krauss-Maffei
ทีม 2: Rheinmetall และ KUKA
ความต้องการของกองทัพเยอรมันในขณะนั้นคือต้องการอัตตาจรที่บรรจุกระสุนประเภทสองชิ้นได้ 60 นัด บรรจุโดยใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมด ยิงได้ไกล 30 กิโลเมตรโดยไม่ใช้กระสุนเสริมแรงขับเคลื่อน (เพื่อให้ชนะ 2S19
Msta-S) ยิงได้รวดเร็ว ใช้ปืน 155 มม. ความยาว L/52 และมีเกราะเพียงพอกันอาวุธบางอย่างจากด้านบน เช่นกระสุนปืนครก โดยทีมที่ 1 เป็นผู้ชนะในการประกาศผลการคัดเลือกในปี 1996
ในช่วงแรกเยอรมนีพยายามตั้งชื่ออัตตาจรชนิดนี้ด้วยชื่อสัตว์ เช่น Taurus (กระทิง) หรือ Rhino (แรด) แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจใช้ชื่อเดียวกับที่ตั้งในตัวต้นแบบ นั่นก็คือ Panzerhaubitze 2000 (ยานเกราะอัตตาจรสำหรับทศวรรษที่ 2000s)
Panzerhaubitze 2000 สามารถใช้กระสุนขนาด 155 มม.ของนาโต้ได้ทุกแบบ โดยกระสุนระเบิดธรรมดายิงได้ไกล 30 กม. กระสุนประเภท base bleed ได้ 40 กม. และกระสุนเสริมแรงขับเคลื่อนได้ 56-60 กม. ซึ่งมีเพียงอัตตาจรตัวต้นแบบอย่าง XM1299 ของสหรัฐและ 2S35 Koalitsiya-SV ของรัสเซียเท่านั้นที่เคลมว่ายิงได้ไกลกว่า Panzerhaubitze 2000 (อัตตาจร PLZ-05 ของจีนก็ถูกเคลมว่ายิงได้ไกลกว่าเช่นกัน แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน และจะพูดถึงเกี่ยวกับอัตตาจรนี้ในโอกาสต่อๆไป)
อัตตาจรนี้ยิงได้ 9 นัดต่อนาทีในโหมดยิงปกติ และยิงได้ 3 นัดภายใน 9 วินาทีในโหมด burst นอกจากนี้ อัตตาจรนี้ยังมีระบบ Multiple Rounds Simultaneous Impact (MRSI) ที่ Panzerhaubitze 2000 หลายๆคัน (มากที่สุดทั้งกองพันที่จำนวน 34 คัน) ยิงใส่เป้าหมายเดียวกันพร้อมๆกัน โดยหากยิงได้ทั้งกองพันจะยิงได้มากถึง 120 นัดต่อนาที
ภายในรถ
อัตตาจรนี้หนัก 55-58 ตัน เป็นเกราะเหล็กทั้งหมด ใช้เครื่องยนต์ดีเซล MTU MT 881 Ka-500 กำลัง 1000 แรงม้า เร็วได้สูงสุด 67 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แม้จะใช้ระบบรรจุอัตโนมัติ อัตตาจรนี้ก็ยังคงใช้พลรถห้าคน โดยพลบรรจุสองคนใช้ในกรณีที่ระบบบรรจุอัตโนมัติเสีย
อัตตาจรนี้ถูกผลิตราว 345 คัน ใช้ในเยอรมนี 185 คัน (ก่อนจะเหลือ 149 คันเนื่องจากขาดงบประมาณ) ที่เหลือถูกส่งออกไปยังเนธอร์แลนด์ กรีซ ลิธัวเนีย โครเอเชีย และกาตาร์ ขณะที่อิตาลี่ซื้อ Panzerhaubitze 2000 จำนวนสองคันจากเยอรมนี ก่อนจะผลิตภายใต้ใบอนุญาตโดยบริษัท Oto Melara และ Iveco อีก 68 คัน และได้รบจริงที่อัฟกานิสถาน และเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากจากทหารเนเธอร์แลนด์เนื่องจากมีความแม่นยำที่สูงมากแม้รบภายใต้ความร้อนจัดและฝุ่นจากทะเลทรายส่วน Panzerhaubitze 2000 ที่ถูกส่งไปยังยูเครนนั้น จะได้ผลดีหรือไม่ มีเพียงเวลาและฝีมือของพลรถยูเครนที่ได้รับการฝึกจากเยอรมนีเท่านั้นที่จะตอบได้
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 1559 Panzerhaubitze 2000 the pinnacle of the German engineering
ปืนใหญ่อัตตาจร Panzerhaubitze 2000 จากเยอรมนีได้ไปถึงยูเครนแล้วหลักจากที่รอกันอย่างยาวนาน แต่มันดีขนาดไหน ไปชมประวัติและความสามารถของมันกันสักหน่อยก็แล้วกันเยอรมนีเป็นประเทศชั้นนำในการพัฒนายานเกราะประเภทต่างๆในระดับแถวหน้ามานับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอัตตาจร (SPH) ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ในช่วงแรกของสงครามเย็น ยุโรปตะวันตกหลายประเทศจำเป็นต้องใช้อัตตาจรของสหรัฐอย่าง M109 ซึ่งในเวลาต่อมาแม้ยุโรปหลายประเทศอย่างอังกฤษ อิตาลีและเยอรมนีตะวันตกจะมีแนวคิดไม่ตรงกันมากนักมาตลอด แต่ความคิดเห็นอย่างหนึ่งที่ตรงกันในกรณีนี้คือ "พวกเราต้องการอาวุธใหม่ของตัวเอง อะไรก้ได้ที่ไม่ใช่ของไอ้กัน" ซึ่งนำไปสู่โครงการร่วมสำหรับพัฒนาอัตตาจรสำหรับยุโรปชื่อ SP70 ในช่วงทศวรรษที่ 1970s อย่างไรก็ตาม คุณภาพมันออกมากลับด้อยกว่า M109 ที่มีอยู่เดิม และด้วยค่านิยมทางกองทัพที่ต่างกัน ส่งผลให้แต่ละประเทศแยกตัวออกไปพัฒนาอัตตาจรของตนเอง
ในเวลาต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1990s รัฐบาลเยอรมนีตะวันตกได้สั่งบริษัทจำนวน 4 บริษัท แบ่งเป็นสองทีม เพื่อออกแบบอัตตาจรที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่โลกเคยมีในเวลานั้น ได้แก่
ทีม 1: Wegmann and MaK และ Krauss-Maffei
ทีม 2: Rheinmetall และ KUKA
ความต้องการของกองทัพเยอรมันในขณะนั้นคือต้องการอัตตาจรที่บรรจุกระสุนประเภทสองชิ้นได้ 60 นัด บรรจุโดยใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมด ยิงได้ไกล 30 กิโลเมตรโดยไม่ใช้กระสุนเสริมแรงขับเคลื่อน (เพื่อให้ชนะ 2S19
Msta-S) ยิงได้รวดเร็ว ใช้ปืน 155 มม. ความยาว L/52 และมีเกราะเพียงพอกันอาวุธบางอย่างจากด้านบน เช่นกระสุนปืนครก โดยทีมที่ 1 เป็นผู้ชนะในการประกาศผลการคัดเลือกในปี 1996
ในช่วงแรกเยอรมนีพยายามตั้งชื่ออัตตาจรชนิดนี้ด้วยชื่อสัตว์ เช่น Taurus (กระทิง) หรือ Rhino (แรด) แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจใช้ชื่อเดียวกับที่ตั้งในตัวต้นแบบ นั่นก็คือ Panzerhaubitze 2000 (ยานเกราะอัตตาจรสำหรับทศวรรษที่ 2000s)
Panzerhaubitze 2000 สามารถใช้กระสุนขนาด 155 มม.ของนาโต้ได้ทุกแบบ โดยกระสุนระเบิดธรรมดายิงได้ไกล 30 กม. กระสุนประเภท base bleed ได้ 40 กม. และกระสุนเสริมแรงขับเคลื่อนได้ 56-60 กม. ซึ่งมีเพียงอัตตาจรตัวต้นแบบอย่าง XM1299 ของสหรัฐและ 2S35 Koalitsiya-SV ของรัสเซียเท่านั้นที่เคลมว่ายิงได้ไกลกว่า Panzerhaubitze 2000 (อัตตาจร PLZ-05 ของจีนก็ถูกเคลมว่ายิงได้ไกลกว่าเช่นกัน แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน และจะพูดถึงเกี่ยวกับอัตตาจรนี้ในโอกาสต่อๆไป)
อัตตาจรนี้ยิงได้ 9 นัดต่อนาทีในโหมดยิงปกติ และยิงได้ 3 นัดภายใน 9 วินาทีในโหมด burst นอกจากนี้ อัตตาจรนี้ยังมีระบบ Multiple Rounds Simultaneous Impact (MRSI) ที่ Panzerhaubitze 2000 หลายๆคัน (มากที่สุดทั้งกองพันที่จำนวน 34 คัน) ยิงใส่เป้าหมายเดียวกันพร้อมๆกัน โดยหากยิงได้ทั้งกองพันจะยิงได้มากถึง 120 นัดต่อนาที
ภายในรถ
อัตตาจรนี้หนัก 55-58 ตัน เป็นเกราะเหล็กทั้งหมด ใช้เครื่องยนต์ดีเซล MTU MT 881 Ka-500 กำลัง 1000 แรงม้า เร็วได้สูงสุด 67 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แม้จะใช้ระบบรรจุอัตโนมัติ อัตตาจรนี้ก็ยังคงใช้พลรถห้าคน โดยพลบรรจุสองคนใช้ในกรณีที่ระบบบรรจุอัตโนมัติเสีย
อัตตาจรนี้ถูกผลิตราว 345 คัน ใช้ในเยอรมนี 185 คัน (ก่อนจะเหลือ 149 คันเนื่องจากขาดงบประมาณ) ที่เหลือถูกส่งออกไปยังเนธอร์แลนด์ กรีซ ลิธัวเนีย โครเอเชีย และกาตาร์ ขณะที่อิตาลี่ซื้อ Panzerhaubitze 2000 จำนวนสองคันจากเยอรมนี ก่อนจะผลิตภายใต้ใบอนุญาตโดยบริษัท Oto Melara และ Iveco อีก 68 คัน และได้รบจริงที่อัฟกานิสถาน และเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากจากทหารเนเธอร์แลนด์เนื่องจากมีความแม่นยำที่สูงมากแม้รบภายใต้ความร้อนจัดและฝุ่นจากทะเลทรายส่วน Panzerhaubitze 2000 ที่ถูกส่งไปยังยูเครนนั้น จะได้ผลดีหรือไม่ มีเพียงเวลาและฝีมือของพลรถยูเครนที่ได้รับการฝึกจากเยอรมนีเท่านั้นที่จะตอบได้