แชร์ประสบการณ์เอาเงินคืนจากคอร์สเสริมความงาม(คนใจอ่อน ปฏิเสธไม่เก่งควรอ่าน)

สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ความผิดพลาดของตัวเองกับการเดินผ่านบูธขายคอร์สเสริมความงาม
ซึ่งครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตค่ะที่จะพลาดแบบนี้(เข็ดสุดๆ)  ซึ่งทำให้เราเป็นคนใจแข็งมากขึ้นเลย 
ต้องขอบอกก่อนนะคะว่าเราจำเรื่องราวได้ไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ค่ะ ตอนนั้นคือมันมาไวไปไวเหมือนกัน เพราะพนักงานมันก็หว่านล้อมเก่งด้วย 
อีกอย่างคือ
1. เราเป็นคนขี้ใจอ่อน ยอมไปหมด ปฏิเสธไม่เป็น
2. เราไม่เคยเจอบูธแบบที่ดึงตัวเข้าไปคุยแบบนี้ แล้วหลอกล่อเราด้วยโปรโมชั่นต่างๆ(ปกติเดินแต่ห้างพวกสยาม MBK ไม่เคยเจอเลยค่ะ)

- เกิดเรื่องเพราะไปห้างคนเดียวเลยแท้ๆ -
เรื่องเกิดจากว่าวันนั้นเป็นวันแรกที่เราเข้าทำงาน ซึ่งได้มีสัญญากับตัวเองว่าจะไปซื้อของเป็นรางวัลให้ตัวเองเนื่องจากได้งานใหม่ ก็เลยไปคนเดียวและหลังจากซื้อเสร็จก็กำลังจะกลับเดินผ่านทางที่เข้ามา เราเดินกดโทรศัพท์อยู่ และเงยหน้าขึ้นมาเห็นพนักงานคนแรกเดินดุ่มๆเข้ามา 
พนักงานแจ้งว่าให้เราเซ็นชื่อรับคูปองทำหน้า และแจ้งว่า"ไม่มีอะไรครับ แค่ให้กรอกชื่อเฉยๆ" เราก็โอเค กรอกชื่อเสร็จจะเดินต่อ อยู่ดีๆก็ดึงเราเข้าไปที่บูธ พนักงานเห็นหน้าเรางง มันก็พูดว่า "ผมเพิ่งมาทำงานใหม่ เดี๋ยวรบกวนเชิญทางนี้หน่อยนะครับ กรอกข้อมูลลงแบบฟอร์มเฉยๆ"  เราตอบโอเคไปเพราะแค่กรอกข้อมูล.

ก็ไปเจอพนักงานคนที่2 
หลังจากนั้นเราก็ไม่เห็นหน้าพนักงานคนแรก แล้วมานั่งกรอกแบบฟอร์มให้พนักงานคนที่2แทน กรอกยังไม่ทันเสร็จพนักงานคนที่2ก็เริ่มถามนู่นนี่นั่นกับเรา เราก็ตอบๆไป (ในใจคือนึกว่าถามแบบทั่วไป เอาไปเก็บเป็นข้อมูลเฉยๆหรือปล่าว และคิดว่าตอบเสร็จจะออก)
สักพักเริ่มขายคอร์สในราคา 50,000 บาทให้กับเรา แล้วให้เราผ่อนจ่ายเป็นเดือนๆเอา(ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเดินละ 5000 บาท) เราก็ถามว่าอันนี้จ่ายเป็นตามครั้งๆที่เข้ามาใช้บริการใช่ไหมคะ ? พนักงานแจ้งว่า ใช่ครับ เราก็อ่อ...(แต่ในใจไม่คิดจะซื้อเพราะคิดว่าแพงมาก)

แล้วก็บอกเราว่า "เดี๋ยวขอดูบัตรเครดิตหน่อยได้ไหมครับ ว่าบัตรเข้าร่วมโปรโมชั่นไหม" เราก็เริ่มงงๆหล่ะ ว่าจำเป็นด้วยหรอฟะ 5555 แต่ก็โง่ค่ะ ยื่นให้ดูเลย พนักงานก็ถามผู้จัดการที่กำลังเดินเข้ามาว่า บัตรนี้เข้าร่วมโปรใช่ไหมพี่ ผู้จัดการแจ้งว่า ใช่.
พอเขาถามเสร็จปุ๊บ มันเอาบัตรเครดิตเราไปแนบไว้กับแผ่นกระดาษแบบฟอร์มที่มันให้เรากรอก ไม่ยอมคืนเรา (มนุษย์ทั่วไปเขาก็ต้องคืนแล้วค่ะ ไม่มีมายึดไว้แบบนี้หรอก)
พนักงานคนนั้นก็เริ่มที่จะขายโปรโมชั่นให้เราต่อว่า เนี่ยครับ เพราะบัตรเข้าร่วมโปรโมชั่นมันสามารถลดราคาได้อีกเท่านี้ๆ นะครับ พอจ่ายไหวไหมครับ เราก็บอกไปว่า เอิ่ม...ไม่น่าไหวค่ะ (เราเริ่มลุกขึ้นยืนแล้ว) เขาก็บอกว่าไม่สนใจหรอครับ. เราก็แจ้งว่า เอาไว้เดี๋ยวมาดูพรุ่งนี้อีกรอบได้ไหมคะ กำลังรีบกลับค่ะ มันก็บอกว่า "วันนี้วันสุดท้ายนะครับ" (ในใจก็คิด แล้วยังไงฟะ) เราเลยบอกว่า เราไม่สะดวกจริงๆค่ะ พอดีนัดเพื่อนเอาไว้
เราก็พยายามเอาบัตรเครดิตคืน แต่พนักงานไม่คืนให้แถมจับบัตรเอาไว้ แล้วก็แจ้งว่า "งั้นเดี๋ยวขอแสกนหน้านิดนีงนะครับ"  เราก็มึนๆตอบไปว่า ได้ค่ะ(เอาอีกหล่ะนังนี่ ฉลาดเหลือเกิน 555) ก็ไปแสกนหน้า
แล้วพนักงานก็เริ่มพูดคอร์สใหม่ๆให้อีก เป็น"คอร์สราคานักศึกษา" ในราคา 25,000 บาท แต่เราก็จะไม่เอาอยู่ดีลุกขึ้นแล้วด้วยนะคะ  แต่กลายเป็นว่าคุยไปคุยมาก็ตกลงกันแล้วเดินขึ้นไปที่คลินิกแบบงงๆเลยค่ะ พนักงานก็เดินไปเอาบัตรเราไปรูด 

ซึ่งพนักงานรูดอยู่นานมากกกกกกกกกกก  เราก็ได้ยินเสียงกดปุ่มติ๊ดๆแหละค่ะหลายรอบมาก. พนักงานก็เดินมาถามว่าในบัตรเหลือเงินเท่าไหร่ (เราก็เอ๊ะ ทำไมถามเพราะว่าก็จ่ายเป็นตามครั้งๆหนิ แต่ตอนนั้นเริ่มล่อกแล่กแล้ว ก็ไม่รู้ล่อกแล่กอะไร 555) เราก็บอกเหลือเท่านี้ๆ. มันก็เดินไปกดต่อ(สงสัยกดไม่ได้เลยเรียกผู้จัดการมาช่วย แล้วพนักงานคนเดิมก็เดินมาหาเรา) พอเดินมาก็เริ่มพูดให้เรา"กู้วงเงินฉุกเฉินในบัตร" เราก็ปฏิเสธไป. มันก็บอกว่า ทำไมครับ เราก็บอกว่า ไม่อยากกู้ค่ะ. มันก็ไม่สนใจนะทุกคน เริ่มพูดพยายามให้เรากู้ให้ได้ เราก็เริ่มรำคาญเลยกู้ไป แต่บัตรขึ้นว่ากู้ไม่ได้.
มันก็เลยจะให้เราตัดบัตรเดบิตแทน มันก็เอาเครื่องมาแล้วเสียบบัตร เราก็กำลังจะกดรหัสเลย แต่สักพักนึง แจ้งเตือนโทรศัพท์เราเด้งว่าเครดิตโดนตัดไป 5,000 บาท
 เราก็เลยตกใจ ถามพนักงานว่า เอ้า ทำไมถึงถูกตัดไปเท่านี้คะ ตอนแรกคุยกันว่าจ่ายตามครั้งที่ใช้บริการ งั้นขอยกเลิกได้ไหมคะ ? ไม่อยากทำแล้วค่ะ พนักงานกลับนิ่งเงียบ ไม่ตอบเรา เราก็เริ่มลังเลว่า เอ๊ะ สรุปมันยังไง (ความมึนนี้) สักพักก็มียอด6,000 บาทเข้ามา เราก็ยิ่งตกใจเลย
มันก็บอกว่า เดี๋ยวให้ผู้จัดการมาอธิบายนะครับ(แล้วก็ยื่นเครื่องมากจะให้เรากดรหัส) เราบอกว่า งั้นขอรอผู้จัดการก่อนนะคะ. 
ผู้จัดการมันก็เดินมาอธิบายเราว่ายอด 5000 เขายกเลิกให้แล้ว แล้วก็ทำเป็นยอดใหม่ให้ ก็คือยอด 6,000 บาท (ยอมรับตามตรงเลยค่ะว่าโง่สุดๆ อะไรก็ไม่รู้ทำให้เรานิ่ง แล้วยอมรับยอดใช้จ่ายนั้นไป)  
สุดท้ายก็ตัดบัตรเครดิต6,000 บาท และยอดบัตรเดบิต 4,000 บาท  แล้วก็ยื่นให้เราเซ็นใบเสร็จ เซ็นสัญญา(ไม่ให้เราจับตัวสัญญาเลยค่ะ ดึงเอาไว้อย่างเดียว)  และดึงเข้าไปทำคอร์ส
เท่ากับว่าตอนนี้เราจ่ายไป 10,000 ค่ะ เหลือยอดค้างอีก 15,000 บาท

หลังจากทำหน้าเสร็จ(ซึ่งหลังจากนั้นเรามาดูหน้ามันก็ขาวขึ้นนะคะ แต่.... ขาวขึ้นเพราะครีมกันแดดที่พนักงานทำหน้าทาให้ตอนสุดท้ายค่ะ เพราะเราลองมาเช็ดหน้ามันก็หลุดออกหมดเลย) 
สักพักพนักงานก็มาบอกว่า เนี่ยเขาคุยกับเจ้านายแล้ว ว่าถ้าเราจ่ายยอดอีก10,000 จะได้ส่วนลดอีก 5,000 บาท (ในใจเราก็คิดว่าถ้าไม่จ่ายมันต้องไม่ปล่อยเราแน่ๆ ) เราก็ยอมจ่ายไป ด้วยบัตรเดบิต และเดินออกมา เท่ากับว่าเราเสียไป 20,000 บาท.

หลังจากนั้นกลับมาที่บ้านเราก็เริ่มคิดว่า เดี๋ยวนะ... ทำไมต้องไปเสียเงินตั้ง 20,000 บาทฟะ ก็แค่มาเดินเล่นเฉยๆเองนะ 
แต่อีกใจนึงคิดว่าจะยอมรับชะตากรรมเถอะ มันจ่ายไปแล้วอะ คงทำอะไรไม่ได้ เพราะเรายอมมันแล้วตามไม่ทันเอง 
หลังจากผ่านไป 2วัน ก็เริ่มรู้สึกไม่โอเคแล้ว เรารู้ว่าเราโง่เกินไป เสียดายเงิน
ถ้างั้นขอทำอะไรสักอย่างให้ตัวเองรู้สึกสบายใจหน่อยเถอะ เพราะทำงานก็ไม่มีความสุขเลยมัวแต่คิดแต่เรื่องนี้  กินข้าวก็เครียด นอนเล่นๆก็คิดแต่เรื่องนี้แล้วก็ร้องไห้ 

เลยลองหาข้อมูลในพันทิปซึ่งกระทู้แรกที่เราอ่านคือ 
https://ppantip.com/topic/37665831
และอ่านของคนนี้ค่ะ (ซึ่งของคนนี้ค่อนข้างเนื้อเรื้องคล้ายกัน เราก็เลยรีบทักไปหาเลย และขอคำแนะนำเพิ่มเติม และมารู้ว่าคนนี้ก็โดนคลินิกเดียวกันค่ะ แต่คนละสาขา) 
https://ppantip.com/topic/40899274
ซึ่งสิ่งที่ต้องทำหลักๆเลยนะคะ 
1. ทำแบบฟอร์มขอยกเลิกสัญญาไปกับทางบริษัทของคลินิก (เก็บสำเนาไว้ด้วยนะคะ)
2. แจ้งสคบ. (แต่เราแจ้งไปก่อนที่จะทำฟอร์มขอยกเลิกสัญญา ซึ่งเราว่าทำขอยกเลิกสัญญาไปก่อนดีกว่าค่ะ แล้วก็ส่งหลักฐานให้สคบ.ว่าเราส่งไปขอยกเลิกแล้ว) 
3. แจ้งระงับจ่ายบัตรเครดิตกับธนาคารของตัวเอง ธนาคารจะให้แบบฟอร์มมากรอกข้อมูลว่าเราตัดบัตรไปวันไหน
**เก็บหลักฐานต่างๆไว้ให้ดีจะดีกว่าค่ะ เผื่อมีปัญหาอะไร เราก็จะได้มีหลักฐานกับตัวเองไว้ด้วย **
 
ใครจะไปแจ้งบันทึกประจำวันเอาไว้ก็ได้นะคะกับเขตของห้างที่เราไปโดนค่ะ ( ซึ่งเราก็ไปแจ้งบันทึกประจำวันเอาไว้เหมือนกันค่ะ แต่ไม่แจ้งก็ได้เพราะแบบฟอร์มขอยกเลิกสัญญาก็ใช้ได้เหมือนกัน ตามเท่าที่อ่านมานะคะ. เราไปแจ้งกับตำรวจตำรวจก็เหมือนจะไม่อยากทำให้ด้วยค่ะ แล้วก็พูดจาประชดประชันใส่ ก็แล้วแต่ตำรวจบางพื้นที่นะคะ. ในใจเราก็ได้แต่ยุบหนอพองหนอ เพราะไม่อยากมีเรื่อง ) 
หลังจากแจ้งสคบ.เราก็ขั้นตอนจนขั้นตอนแจ้ว่าพนักงานได้รับเรื่องแล้ว เราก็เลยโทรไปสคบ. คอลเซ็นเตอร์ก็แจ้งว่าต้องรอให้ทางพนักงานติดต่อกลับมา ใช้เวลา 30วันหลังจากพนักงานได้รับเรื่องแล้ว เราก็โอเค งั้นเดี๋ยวรอ

- หลังจากนั้น 2อาทิตย์มีคนติดต่อมาแต่เป็นพนักงานคลินิก -
แต่หลังจากพนักงานสคบ.ได้รับเรื่องประมาณ 2อาทิตย์ ก็มีพนักงานจากคลินิกโทรเข้ามาให้เข้าไปคุยรายละเอียดการคืนเงินค่ะ เราก็เลยไปกับเพื่อนอีก2คน ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ว่าจะไม่ไปต่อล้อต่อเถียง จะไปแค่เซ็นเอาเงินคืนพอ เพราะต่อล้อต่อเถียงไปก็เท่านั้น เรื่องมันเกิดไปแล้ว และคิดว่าพูดไปมันก็ไม่ยอมรับผิดหรอก 
พอไป ผู้จัดการ(คนดีคนเดิม)  แจ้งว่า เขาได้รับเรื่องแล้ว แล้วถามว่ามันมีปัญหาตรงไหน
เราก็พยายามจะพูดให้ฟัง แต่ผู้จัดการคือพูดแทรกหนักมาก เราเลยเลิกพยายามจะพูด(เสียเวลาเปล่าๆ เพราะคนทำมันเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเชื่อ) แล้วก็พยายามพูดให้เรารู้สึกผิด และเป็นเราที่ผิดเองที่ซื้อคอร์ส แต่ไม่พูดถึงพฤติกรรมที่พนักงานทำ สัญญาไม่เป็นธรรมเลย หรือเรื่องอื่นๆเลย
ผู้จัดการก็บอกอีกว่า ถ้าแจ้งกับเขาโดยตรงตั้งแต่วันนั้น ก็ไม่ต้องจ่ายแล้วเพราะเขาเป็นผู้จัดการมีอำนาจยกเลิก(แหม่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง มันก็ต้องคืนให้ตั้งแต่เราแจ้งพนักงานว่าเราขอยกเลิกคอร์สแล้วค่ะ คุณก็มีส่วนรู้เห็นกับพนักงานนั่นแหละ)
และพูดกลายๆว่า ถ้าคราวหน้าไปคลินิกอื่น หรือคลินิกนี้(ไม่มาแล้วจ้าาา) รบกวนอย่าไปทำแบบนี้อีกนะครับ(โอ้ยยย ถ้าไม่โดนแผนซ้อนแผนของคุณ ก็ไม่มีทางขอเงินคืนหรอกค่าาาา) 
แล้วก็บอกอีกว่า วันนี้มาไม่ได้มาเพื่อหาตัวคนผิดนะครับแค่จะมาคืนเงินให้ลูกค้าถ้าลูกค้ารู้สึกไม่พอใจ ซึ่งก็มีแจ้งร้องเรียนสคบ.ไป(สคบ.อาจจะติดต่อไปทางคลินิกแล้ว คลินิกก็เลยติดต่อเรามา อันนี้เราไม่แน่ใจนะคะ) 
*ยิ่งปล่อยให้มันพูดเยอะ มันก็เริ่มหลุดความผิดของตัวเองเยอะขึ้นค่ะ จากที่เรานั่งฟังมันพูด*

แล้วก็บอกอีกว่า พนักงานคนที่ขายให้เราออกไปแล้ว บริษัทกำลังดำเนินเอาเรื่องอยู่ ซึ่งพนักงานที่มีชื่อร่วมในใบเสร็จเราก็ต้องเป็นคนรับหน้าแทน 
(ซึ่งเราก็มารู้ว่าพนักงานคนที่ยังอยู่คือพนักงานที่ดึงตัวเราเข้าบูธไป แต่ตัวเองหายหน้าหายตาไปเลย)
ผู้จัดการก็เริ่มพูดว่า ผมสงสารน้องคนนี้ ถ้าแบบนี้ลูกค้าเอาเป็นคอร์ส10,000 แล้วคืนเงิน10,000ได้ไหมครับ น้องจะได้ไม่โดนหักเงินด้วยเพราะเขาก็ไม่ได้เป็นคนขายคอร์ส และก็เริ่มพูดเรื่องเดิมๆอีกค่ะ แถมแอบด่าเรานิดๆเหมือนเดิม (แต่หาได้แคร์ไม่ ด่าไปเถอะ 555) 

ตอนแรกเกือบสงสารค่ะ(เอาอีกละนังนี่ 5555) ไปๆมาๆ ไม่เอาค่ะ ขอคืนเต็ม เพราะคิดว่าไม่อยากกลับมาทำแล้ว ไม่อยากแม้แต่เห็นหน้าพนักงานด้วยซ้ำไป  พนักงานก็ทำหนังสือคืนเงินให้ และถ่ายสำเนาเอาไว้ให้เรา (หลังจากเราบอกเราขอเงินคืนเต็มจำนวน มันก็เริ่มพูดห้วนๆใส่)

ก็เซ็นข้อตกลงว่าจะคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 45วัน ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่วันได้เอกสาร(วันที่ 30/06/2022 ค่ะ) ตอนนี้เราก็รอเอาเงินคืนภายใน 45วัน ถ้าไม่คืนอีก อันนี้เราก็ต้องไปดำเนินแจ้งความต่อแล้วค่ะ เดี๋ยวถ้าเราได้เงินคืนเมื่อไหร่จะอัพเดทอีกทีนะคะ (ตอนได้เงินละง๊ายง่าย ตอนคืนละยากเหลือเกิน)

*คนอื่นอาจจะมองว่า ทำไมเราไม่ตอบโต้ไปสักหน่อย ส่วนตัวเราไม่อยากสนใจแล้วค่ะ ปล่อยให้มันพูดไป ใจก็รู้ๆกันอยู่ว่าใครผิดใครถูกอะไรยังไง เถียงไปก็แค่นั้น เพราะเรื่องเกิดแล้ว คนทำก็ออกจากงาน(จริงหรือเปล่าไม่รู้)ไปแล้ว อีกอย่างด่ามันไปมันก็ทำแบบเดิมอยู่ดีค่ะ เราก็แค่มองหน้ากวนพระบาทมันอย่างเดียวพร้อมกับทำหน้ารำคาญมันด้วย และ ณ ตอนนั้นเป้าหมายเราจริงๆเลยคือ เอาเงินคืนแล้วจบ*

ฝากเตือนหลายๆคนเลยนะคะ โดยเฉพาะคนที่ปฏิเสธคนไม่เป็นกับคนใจอ่อน ถ้าเริ่มเห็นพนักงานเดินเข้ามาหาให้รีบเดินหนีเลยจะดีที่สุดค่ะ เพราะไม่งั้นจะโดนกรณีแบบเรา คล้ายๆจะยอมซื้อแต่ใจนึงก็ไม่อยากทำ สุดท้ายก็ตกเป็นเป้าหมายของพวกมัน เราต้องใจแข็งนะคะ อย่าไปหวั่นไหวกับคำว่า "ช่วยผมหน่อยนะครับ เหลือแค่คนเดียวผมก็จะได้ยอดแล้ว" จะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดและปวดหัวกับการขอเงินคืน 

อาจจะอ่านแล้วคิดว่า ก็เหมือนจะยินยอมซื้อนี่ ก็เพราะใจอ่อนกับปฏิเสธไม่เป็นเนี่ยแหละค่ะ ถึงได้ก่ำกึ่งซื้อก่ำกึ่งไม่อยากซื้อแบบนี้
ซึ่งเรายอมรับว่า ณ ตอนนั้นเราโง่จริงๆ ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเลย เหมือนโดนให้ไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ  
ถ้าเขียนวกไปวกมาหรือแท็กผิดห้องก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ สถานการณ์ตอนนั้นมันแค่ภายใน 1ชั่วโมง มันเร็วจนเราไม่ทันได้ตั้งตัวไม่ทันได้คิดแบบถี่ถ้วนเลยค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่