อยากจะขอคำปรึกษาเพื่อนๆชาวพันทิพ ปัญหาจากหัวข้อโพสทั้งหมดครับ ทางผมจะขออธิบายเป็นข้อๆ ถ้าเพื่อนๆสะดวกให้คำปรึกษาตอบมาเป็นข้อๆก็จะง่ายต่อการวิเคราะห์มากขึ้นครับ ขอบคุณครับ
ปล. ตัวผมไม่สามารถขับรถได้ // มีปัญหาเรื่องสายตาระดับนึงเลย
ซึ่งตรงนี้ แฟนผมจะคอยขับรถให้ไปไหนมาได้ทุกครั้งไม่เคยบ่น / ดูแลผมเวลาเจ็บป่วยเรื่องดวงตา / เทคแคร์มุมเล็กๆ เช่น ตัดเล็บ ทำผม ทำข้าวให้กิน
ที่มาขอย่อแบบสั้นๆนะครับ ผมกับแฟน เรียนที่เดียวกันตอนเด็ก แล้วผมเป็นเด็กขี้แง จะมีแฟนผมนี่แหละ โตกว่าปีนึง คอยช่วยดูแล แล้วพอเรียนจบ ม.3 ก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิต จนวันนึงพี่สาวของผมแต่งงาน และเค้ามาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของพี่สาวผม ก็ได้เจอกัน คือเราไม่ได้เจอกันตั้งแต่เค้า จบ.3 จนมาเจออีกทีอายุผมก็ 30 แล้ว ณ ปัจจุบันยังคบกันอยู่ โดยที่ผมเข้าหาเค้าในวันแต่งงานของพี่ และได้คุยกันมาจนคบกัน มันเป็นระยะเวลาแค่ 3 เดือนเองครับ มันอาจจะดูน้อยนะ แต่ผ่านปัญหาบางอย่างมาในช่วงเวลาสั้นๆแบบนี้ก็ถือว่า เอาเรื่องอยู่สำหรับตัวผมเอง ผมขอเข้าหมวดคำถามเลยแล้วกันครับ
1. แฟนของผมเป็นโรคซึมเศร้า // ผมรู้ว่าเค้าป่วยมาตั้งแต่แรก แต่ผมก็ยังเข้าหาด้วยความที่ว่าอยากให้เค้าหายป่วย อยากทำอะไรให้เค้ารู้สึกดี และผมก็ทำจริงๆ ผมทำของส่งให้ ซื้อของส่งให้ ไม่ใช่สายเปย์นะครับ แค่บางวัน บางโอกาส และเค้าก็รู้สึกดี ช่วงแรกที่เราคุยกัน มันฟูลฟิว มากๆ มันทำให้เรารู้สึกดีต่อกันในช่วงเวลาสั้นๆ
2. หลังจากที่ผมกับเค้าผ่านช่วงเวลาที่มันดีๆมา ผมเป็นฝ่ายขอเค้าคบ และเค้าก็ตกลงที่จะคบ และมันก็เป็นเหมือนชีวิตคู่อื่นทั่วๆไป มีทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้าง แต่ไม่ได้บ่อยมาก จะเป็นปัญหาที่เราต้องปรับเข้าหากันซะมากกว่า เพราะเราเจอกันไวไป คบกันไวไป ด้วยอะไรต่างๆที่มันก่อให้เกิดเป็นความรักของคน 2 คน แต่โดยรวมก็จบด้วยดี เข้าใจกันมาตลอด
3. พอคบไปสักระยะนึงแล้ว แฟนก็เริ่มเปิดว่าเค้าเป็นหนี้บัตรเครดิต ( ตรงนี้ขอแยกทีละประเด็นนะครับ )
ประเด็นที่ 1 แฟนเป็นหนี้บัตร 2 ยอด ( ไม่แน่ใจใช้คำถูกมั้ย ) แล้วเค้าก็กดให้ดูมันมีวงเงินค้างชำระอยู่ที่ 6 หมื่น ยอดนึง อีก ยอดน่าจะ 30000 ไม่แน่ใจ ( ผมลืม )
ประเด็นที่ 2 แฟนเคยทำธุรกิจแล้วโดนฟ้องล้มละลายจากการถูกโกงบลาๆ ของคนใกล้ตัว ตัวเลขหนี้ คร่าวๆอยู่ที่ 4 ล้าน เห็นว่าอายุความอีก 7 ปีหรือ 10 ปีถึงจะหมดนี่แหละครับ
ประเด็นที่ 3 เค้ามีรถผ่อนส่งอยู่เดือนละ 13000
4. จากข้อ 3. เค้าได้ปรึกษากับผม และผมก็บอกไปว่ายินดีจะช่วยนะ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เค้าไม่สามารถไปหาสมัครงานได้เลย เพราะไปสมัครก็จะมีคำตอบกลับมาว่า คุณจะรับแรงกดดันได้หรอ เป็นแบบนี้ ซึมเศร้าแบบนี้ ให้พักให้หายก่อน แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้หายขาดขนาดนั้นครับ ผมก็เลยให้เค้าทำงานเกี่ยวกับสื่อออนไลน์ รายได้ต่อเดือนตอนแรก จนถึงปัจจุบัน เค้าสามารถหาเงินได้เดือนละ 18000 และในการทำงานเนี่ยเค้าไม่สามารถใช้ชื่อบัญชีของเค้ารับเงินได้กลัวจะถูกอายัดเงินไป ผมเป็นคนรับเงินมาและให้เค้าใช้ ซึ่งตรงนี้ ขอเพิ่มรายละเอียดนิดนึงครับ
เงินจากงานที่แฟนผมได้จริงๆอยู่ที่ 8000-9000 แต่เวลาผมส่งเงินให้ ผมจะให้เพิ่มไปจนมันกลายเป็น 12000-13000 แต่ไม่เคยบอกแฟนนะครับ ว่าผมแอบเพิ่มเงินให้ เพราะผมก็อ้างว่านี่แหละเงินที่เค้าจ้างทำงาน เท่านี้จริงๆ เพราะกลัวว่าถ้ารุ้ว่าให้เพิ่มไปเค้าจะไม่รับเงินจำนวนนี้จากผม
5. การใช้จ่ายของแฟนผมหลักๆเลย เงินที่ได้มาจากข้อ 4. ก็นำไปจ่ายบัตรเครดิต 2 ยอดขั้นต่ำ รวมกันคร่าวๆ 6000 // จ่ายรถ 13000 ซึ่งตรงนี้ผมก็มองว่าปกติ และผมก็ช่วยเค้าด้วยการแอบใส่เงินเพิ่มให้เวลาที่ผมให้เงินเค้าไป พอหลังจากจ่ายชำระต่อเดือนหมด แฟนก็เอาเงินที่เหลือในแต่ละช่วง ไปซื้อเสื้อผ้า ไปช้อปส่วนตัวตามภาษาผู้หญิง (( แต่แฟนไม่ได้ซื้อบ่อยนะครับ เดือนนึงครั้งเดียว แบบช่วง Sale ของเดือน )) และผมก็พยายามบอกกับแฟนเป็นนัยๆว่า ใช้ประหยัดนะ อย่าซื้อเยอะนะ แฟนก็จะมีแบบไม่สบอารมณ์บ้าง แต่ก็เข้าใจเค้าอยู่ครับว่าไม่ได้ใช้บ่อย แต่ที่บ่อยที่สุดเห็นว่าจะซื้อตัวหัวบุหรี่ไฟฟ้ามาสูบทุกเดือน แล้วมันราคา 790 บาท ขอไปต่อที่ ข้อ 6. นะครับ
6. หลังจากที่รู้การใช้จ่าย / หนี้ต่างๆ / ภาระต่อเดือน ผมเลยคุยว่าหยุดสูบเถอะ ( ต้องบอกก่อน แฟนกินเหล้า สูบบุหรี่นะครับ แต่เหล้าเค้าไม่ค่อยกินเท่าไร หนักไปทางบุหรี่ ) ผมก็อธิบายทำนองว่า เรามีเงินจากงานเท่านี้ เธอจะใช้อะไรซื้ออะไรก็ตามใจ แต่บุหรี่มันดูเปลืองมันเหมือนเราพ่นเงินออกไปทีละ 790 เลิกสูบมั้ย มันจะมีเหลือเก็บ 790 เลยนะ แล้วถ้าเดือนนึงซื้อ 2 ครั้ง เธอเอา 790 x 2 นั่นคือเงินที่เหลือติดตัวไว้ใช้อีกนะ
แต่แฟนก็ดันตอบผมกลับมาว่า ก็หาเพิ่มอีก 790 ก็จบเรื่องแล้วนิ >> ตรงนี้ผมเลยมองว่ามันไม่ถูกต้องและก็อธิบายจนเกือบทะเลาะกัน ส่วนตัวผมเป็นคนพูดเยอะ พูดในเรื่องการแนะนำเค้า เค้าเลยรู้สึกรำคาญ ผมไม่ได้เอาดีเข้าตัวนะ
7. มุมมองทัศนคติแฟนของผม >> ก่อนหน้านี้เราเคยคุยกันเรื่อง อนาคต ว่าจะหมั้นกันครับ แต่ไม่ได้คิดจะแต่งงานหรือจดทะเบียนเพราะกลัวเรื่องคดีความด้วย แต่ผมรักเค้าจริงๆ รับทุกอย่างที่เป็นเค้าได้นะ แต่แล้วอยู่มาวันนึงพอเราคุยเรื่องแบบนี้กันในเชิงถามตอบ เค้าก็เหมือนขอสินสอด 5 แสน เพื่อโปะหนี้ให้แม่และตัวเค้าเอง ทองอาจจะ 10 บาท ตัวผมก็คิดว่ามันโอเคนะ แต่หลังจากนี้ไปอีกพักนึง เราก็มีการทะเลาะกันถี่ๆนิดหน่อย 2-3 วันติดๆ อาจจะมาจากตัวผมที่มีความงี่เง่า หึงหวงด้วย จนแฟนผมพูดออกมาว่า ถ้าเธอหันหลังออกไปจากบ้านเรา ถือว่าเราเลิกกัน (( ซึ่งตรงเนี้ยเวลาเราทะเลาะกัน เค้าป่วย ผมต้องทดไว้ใจเลยนะ เค้าจะบอกว่า ผมกดดันเค้า คาดหวังเค้า ในมุมมองของตัวผมเอง ผมก็รุ้สึกว่า บางอย่างผมก็ถูกกดดัน ถูกคาดหวังเวลาแฟนอยากได้อะไร แล้วผมไม่ได้มีให้ในเวลานั้น แต่เราเคลียกันได้เรื่องนี้ )) จน ณ วันนึงล่าสุด ผมยอมเก็บของออกจากบ้านและกลับมาพักที่บ้านตัวเอง แต่แฟนก็ตีความว่าเลิกกัน และเอาของที่ผมเคยให้ มาใส่มือผมคืน ผมมีความรู้สึกว่า เค้าไม่เข้าใจผมบ้างเลย ผมรับแรงกดดันมาตั้งแต่คบกับเค้า เรื่องป่วย หนี้ เงิน งาน จนไปถึงการมีปัญหากับแม่เค้าอีก มันคือสิ่งที่ผมแบกรับเอาไว้และไม่ได้พูดออกไป จนผมเก็บไม่ไหว อยากออกไปอยุ่บ้านตัวเองก่อน แต่กลายเป็นเราต้องเลิกกัน
8. ปัญหาที่ตามมา ผมเคลียกับแฟนผ่านแชท แต่แฟนก็เอาแชทของผมไปให้เพื่อนสนิทดูแล้วผมก็ถูกด่าสารพัดเลย ในคำค่อนข้างแรง และแม่แฟนก็ด่าผมเช่นกัน โดยที่เพื่อนของแฟนผมไม่ได้รู้ปัญหาที่แท้จริงเลย แฟนแค่ส่งแชทไปให้อ่านว่าทะเลาะกันประมาณนี้ ผมเหมือนโดนดูถูกในเวลานั้นเลยนะ แต่ผมก็ยอมที่จะกดมัน และให้มันผ่านไป ล่าสุดผมนัดเจอกับแฟนหลังจากเลิกกันไป 2-3ไป ในมุมของเค้าที่เลิกนะ ผมยังไม่ได้บอกเลิกเค้าเลย ผมเจอเค้าที่ร้านที่เรานัดกัน ผมเดินเข้าไปกอด เข้าไปขอโทษในสิ่งที่ผมหันหลังออกมาและอธิบาย แต่ในส่วนนี้เรื่องมันบานปลายไปแล้วตรงที่ว่า พอเพื่อนเค้าด่าผม ผมก็รู้สึกหาทางออกไม่ได้ เพราะมันแรงและเยอะมาก จนผมอยากปกป้องตัวเอง ผมก็ให้คนทางบ้านช่วย จนมันกลายเป็นการทะเลาะกันจากคน 2 คน เป็น 3-4-5 คนเข้าไปแล้ว
9. ผมเลยตระหนักอยู่ตลอดเวลา 2-3 วันก่อนเจอกับเค้าว่า มันจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ยที่จะรักกัน ตัวผมรักเค้ามาก ถนอมเค้ามาก ใส่ใจกับเค้ามากๆ ซึ่งเค้าเองก็เช่นกัน ผมไม่ได้จะพูดดิสเครดิตแฟนตัวเอง เค้าก็ดีกับผมเช่นกัน แต่หลังๆมันเริ่มมีความอยากได้ ปัญหาต่างๆ เรื่องเงินที่ผมต้องแบ่งใช้ หลักๆเงินมาจากผมและผมต้องกระจายในส่วนต่างๆ ก็เหมือนเค้าจะเข้าใจ แต่ล่าสุดมันกลายเป็นว่า ผมไปอยู่บ้านแฟนมาตลอด 2 เดือน วันที่ทะเลาะกัน แม่แฟนของผมพูดทำนองว่า ให้อยู่ค่าน้ำไฟไม่เคยให้ช่วยออก ทำอะไรก็ไม่ทำ นี่คือสิ่งที่ผมโดนพูดใส่มา ขอต่อข้อ 10. นะครับ
10. ผมขอปกป้องตัวเองจากข้อก่อนหน้าก่อน ผมไปอยู่บ้านเค้าเพราะเรา 2 คน คุยกันว่าเริ่มต้นใหม่ นับ 1 ใหม่ เนื่องจากผมทะเลาะกับที่บ้านและออกไปอาศัยบ้านเค้า โดยที่เค้าเป็นคนมารับผมไปเอง และผมก็ยินดีอยู่ข้างๆเค้านะ แต่พอทะเลาะกันล่าสุด แม่เค้าก็พูดเชิงแบบนั้นใส่ตัวผม โดยที่ผมก็เริ่มที่จะกล้าพูดกล้าเถียงออกไป ในมุมมองของผม
แม่เค้า >> พูดทำนองแบบ มาอยุ่กับลูกเค้าฟรี บ้านเค้าฟรี น้ำไฟไม่จ่าย ไม่ต้องทำอะไร
ในมุมมองของผม ในสิ่งที่ผมทำ
>> ผมให้เงินลูกสาวเค้าเพิ่มไปจากเงินจริงที่ควรจะได้ และผมไม่เคยบอกใคร
>> ผมไปอยู่รับแรงกดดันจากคนป่วย จากแม่ที่หวังจะให้ผมรักษาลูกสาวเค้าโดยการใช้เป็นเครื่องมือ แต่ผมยินดีนะ
>> เวลาทะเลาะกันจะผิดจะถูกผมเลือกที่จะเข้าหาและอธิบายตลอด
>> เวลากินข้าว สั่งข้าวมาผมสั่งให้เผื่อทุกคน และผมพูดเสมอ อยู่ด้วยกันก็กินด้วยกันนี่แหละ
>> จนมาเรื่องค่าใช้จ่ายที่แม่เค้าร้องขอ ซึ่งตัวผมอะ ก็อธิบายไปว่า เงินในส่วนต่างๆที่มาอยู่ ทางผมช่วยออก ช่วยจ่าย ปนไปกับเงินเดือนของแฟนแล้ว ผมให้เงินแฟนของผมเพิ่มจากเงินของผมเอง และคอยเตือนว่าประหยัดนะ เซฟๆนะ เท่ากับว่าผมมาอยู่บ้านนี้ บ้านที่มีหนี้ ล้มละลาย คนป่วยซึมเศร้า ผมใช้เงินไปมากกว่าผมอยู่บ้านตัวเองมาก แต่ผมไม่คิดจะเรียกร้องหรือบอกใครเลย จนผมได้พูดไปว่าเงินส่วนต่างๆที่แฟนได้รับ มันมีค่าใช้จ่ายในนั้นรวมไปด้วยแล้ว ผมคิดเผื่อให้แล้วทุกๆด้าน นอกจากจวนตัวจริงๆผมยินดีจะจ่ายส่วนนั้นให้ก่อน
11. และไม่กี่วันนี้ผมกับแฟนก็นัดคุยกัน เคลียใจกัน คือ เรา 2 คน คบกันต่อ แต่คนอื่นๆที่เกี่ยวข้องที่มาทะเลาะกันของแต่ละฝ่ายก็จะกลายเป็นหมาไป ผมพยายามแก้ไขปัญหาข้อนี้อยู่ เพราะผมก็รักเค้ามาก โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าต่อไปมันจะเกิดปัญหาอะไรอีก อาจจะมองว่าผมโง่ก็ได้ที่ยังกลับไปหา ไปเรียกร้องขอคืนดี เพราะผมรักเค้ามากแค่คำนี้คำเดียว และเค้าก็ยินยอมที่จะคบกัน
12. แต่จากข้อ 11. ผมก็มีหลายๆคนคอยพูดคอยเตือน จากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ว่ามันไม่ดีนะ ถ้าจะไปคบกับคนที่เป็นหนี้ เป็นภาระของตัวเค้าเอง มันจะลำบากในอนาคต มันจะมีอะไรเป็นชิ้น เป็นอันยากนะ กว่าจะหมดคดีความ มันจะสร้างอะไรได้ยากนะ ตั้ง7-10 ปี ก็อายุ 40 นิดๆแล้ว แล้วด้วยปัญหาที่มีความอยากได้ อยากมี ในช่วงระยะเวลาของการคบกัน มันก็เป็นปกติของคนอยู่แล้ว อยู่ที่จะหักห้ามใจไม่ให้ซื้อได้มั้ย
แล้วหนักที่สุดก็ เรื่องค่าใช้จ่ายที่มันค่อนข้างไร้สาระและไม่จำเป็น อย่างข้างต้น ผมและคนอื่นๆก็มองว่า สูบบุหรี่ไฟฟ้าเปลี่ยนหัวทีละ 790 มันดูไม่มีเหตุผลในการใช้เงินที่สุด เหล้า เสื้อผ้า ช้อปปิ้ง บลาๆ ผมเข้าใจได้แต่ การสูบน้ำยาและพ่นควันออกไป 790 บาท ผมก็ยังมองว่ามันไม่คุ้มที่จะเสียหรือมีในชีวิตเลยด้วยซ้ำ แต่แฟนก็ยังทำ และไม่คิดจะเลิก ได้แต่บอกผมว่า หาเพิ่มอีก 790 ไง หรือไม่ก็ เออน่า ช่างเหอะ มันทำให้ผมลำบากใจในความรักที่ผมมีให้
13. ผมยินดีช่วยเค้า ซัพพอตเค้าต่างๆ จนเค้าอาจจะลืมไปว่า ผมต้องแบกรับอะไรจากเค้ามาบ้างในการช่วยเหลือเค้า ด้วยใจจริงๆ จนผมรุ้สึกว่าการกลับมาคบกันครั้งนี้ตัวผมเองก็มีความไม่แน่ใจ ลึกๆ ผมไม่อยากให้เค้าเป็นแบบนั้นเลย ผมเข้ามารักษาเค้า ช่วยเหลือเค้าตั้งแต่วันแรก แต่เหมือนกลับกัน เค้าก็ทำร้ายจิตใจผมในบางเวลาเหมือนกัน และสิ่งรอบๆตัวเค้าที่ผมรับมา มันก็ทำให้รู้สึกท้อแท้ และสับสนว่าควรจะหยุดจริงๆมั้ย หรือจะไปต่อ
14. ผมก็มองว่าถ้าการกลับไปครั้งนี้ เราคบกันในเชิงแอบคุยแอบคบ แต่รวมๆผมก็เชื่อใจเค้านะ ว่าช่วงที่เราอยุ่บ้านใครบ้านมัน เค้าจะไม่ได้มีคนอื่นหรือคุยกับใคร เพราะผมก็คุยกับเค้าทำนองว่า ถ้ารู้ว่ามีอะไรแบบนั ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงกับเค้า ผมรับเรื่องนี้ไม่ได้ที่สุด ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายหรือหนี้ต่างๆ ผมกับเค้าก็คุยๆกันว่า เธอหาเงินจ่ายของเธอ ถ้าเดือดร้อนเราจะช่วย (( แต่ลึกๆ ถ้าเป็นการอยากได้ หรือรีดเงินเป็นนัยๆ ผมก็คงต้องถอยออกมา )) เพราะรักกันในวันแรก เรารักกันด้วยความรู้สึกจริงๆ และสิ่งต่างๆที่มอบให้กัน โดยไม่มีตัวเงินเข้ามาเป็นปัจจัยหลัก หรือเรื่องหนี้
ขอบคุณครับ
ปรึกษาปัญหา คบกับแฟนเป็นโรคซึมเศร้า / เป็นบุคคลล้มละลาย / ติดหนี้บัตรเครดิต
ปล. ตัวผมไม่สามารถขับรถได้ // มีปัญหาเรื่องสายตาระดับนึงเลย
ซึ่งตรงนี้ แฟนผมจะคอยขับรถให้ไปไหนมาได้ทุกครั้งไม่เคยบ่น / ดูแลผมเวลาเจ็บป่วยเรื่องดวงตา / เทคแคร์มุมเล็กๆ เช่น ตัดเล็บ ทำผม ทำข้าวให้กิน
ที่มาขอย่อแบบสั้นๆนะครับ ผมกับแฟน เรียนที่เดียวกันตอนเด็ก แล้วผมเป็นเด็กขี้แง จะมีแฟนผมนี่แหละ โตกว่าปีนึง คอยช่วยดูแล แล้วพอเรียนจบ ม.3 ก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิต จนวันนึงพี่สาวของผมแต่งงาน และเค้ามาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของพี่สาวผม ก็ได้เจอกัน คือเราไม่ได้เจอกันตั้งแต่เค้า จบ.3 จนมาเจออีกทีอายุผมก็ 30 แล้ว ณ ปัจจุบันยังคบกันอยู่ โดยที่ผมเข้าหาเค้าในวันแต่งงานของพี่ และได้คุยกันมาจนคบกัน มันเป็นระยะเวลาแค่ 3 เดือนเองครับ มันอาจจะดูน้อยนะ แต่ผ่านปัญหาบางอย่างมาในช่วงเวลาสั้นๆแบบนี้ก็ถือว่า เอาเรื่องอยู่สำหรับตัวผมเอง ผมขอเข้าหมวดคำถามเลยแล้วกันครับ
1. แฟนของผมเป็นโรคซึมเศร้า // ผมรู้ว่าเค้าป่วยมาตั้งแต่แรก แต่ผมก็ยังเข้าหาด้วยความที่ว่าอยากให้เค้าหายป่วย อยากทำอะไรให้เค้ารู้สึกดี และผมก็ทำจริงๆ ผมทำของส่งให้ ซื้อของส่งให้ ไม่ใช่สายเปย์นะครับ แค่บางวัน บางโอกาส และเค้าก็รู้สึกดี ช่วงแรกที่เราคุยกัน มันฟูลฟิว มากๆ มันทำให้เรารู้สึกดีต่อกันในช่วงเวลาสั้นๆ
2. หลังจากที่ผมกับเค้าผ่านช่วงเวลาที่มันดีๆมา ผมเป็นฝ่ายขอเค้าคบ และเค้าก็ตกลงที่จะคบ และมันก็เป็นเหมือนชีวิตคู่อื่นทั่วๆไป มีทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้าง แต่ไม่ได้บ่อยมาก จะเป็นปัญหาที่เราต้องปรับเข้าหากันซะมากกว่า เพราะเราเจอกันไวไป คบกันไวไป ด้วยอะไรต่างๆที่มันก่อให้เกิดเป็นความรักของคน 2 คน แต่โดยรวมก็จบด้วยดี เข้าใจกันมาตลอด
3. พอคบไปสักระยะนึงแล้ว แฟนก็เริ่มเปิดว่าเค้าเป็นหนี้บัตรเครดิต ( ตรงนี้ขอแยกทีละประเด็นนะครับ )
ประเด็นที่ 1 แฟนเป็นหนี้บัตร 2 ยอด ( ไม่แน่ใจใช้คำถูกมั้ย ) แล้วเค้าก็กดให้ดูมันมีวงเงินค้างชำระอยู่ที่ 6 หมื่น ยอดนึง อีก ยอดน่าจะ 30000 ไม่แน่ใจ ( ผมลืม )
ประเด็นที่ 2 แฟนเคยทำธุรกิจแล้วโดนฟ้องล้มละลายจากการถูกโกงบลาๆ ของคนใกล้ตัว ตัวเลขหนี้ คร่าวๆอยู่ที่ 4 ล้าน เห็นว่าอายุความอีก 7 ปีหรือ 10 ปีถึงจะหมดนี่แหละครับ
ประเด็นที่ 3 เค้ามีรถผ่อนส่งอยู่เดือนละ 13000
4. จากข้อ 3. เค้าได้ปรึกษากับผม และผมก็บอกไปว่ายินดีจะช่วยนะ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เค้าไม่สามารถไปหาสมัครงานได้เลย เพราะไปสมัครก็จะมีคำตอบกลับมาว่า คุณจะรับแรงกดดันได้หรอ เป็นแบบนี้ ซึมเศร้าแบบนี้ ให้พักให้หายก่อน แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้หายขาดขนาดนั้นครับ ผมก็เลยให้เค้าทำงานเกี่ยวกับสื่อออนไลน์ รายได้ต่อเดือนตอนแรก จนถึงปัจจุบัน เค้าสามารถหาเงินได้เดือนละ 18000 และในการทำงานเนี่ยเค้าไม่สามารถใช้ชื่อบัญชีของเค้ารับเงินได้กลัวจะถูกอายัดเงินไป ผมเป็นคนรับเงินมาและให้เค้าใช้ ซึ่งตรงนี้ ขอเพิ่มรายละเอียดนิดนึงครับ
เงินจากงานที่แฟนผมได้จริงๆอยู่ที่ 8000-9000 แต่เวลาผมส่งเงินให้ ผมจะให้เพิ่มไปจนมันกลายเป็น 12000-13000 แต่ไม่เคยบอกแฟนนะครับ ว่าผมแอบเพิ่มเงินให้ เพราะผมก็อ้างว่านี่แหละเงินที่เค้าจ้างทำงาน เท่านี้จริงๆ เพราะกลัวว่าถ้ารุ้ว่าให้เพิ่มไปเค้าจะไม่รับเงินจำนวนนี้จากผม
5. การใช้จ่ายของแฟนผมหลักๆเลย เงินที่ได้มาจากข้อ 4. ก็นำไปจ่ายบัตรเครดิต 2 ยอดขั้นต่ำ รวมกันคร่าวๆ 6000 // จ่ายรถ 13000 ซึ่งตรงนี้ผมก็มองว่าปกติ และผมก็ช่วยเค้าด้วยการแอบใส่เงินเพิ่มให้เวลาที่ผมให้เงินเค้าไป พอหลังจากจ่ายชำระต่อเดือนหมด แฟนก็เอาเงินที่เหลือในแต่ละช่วง ไปซื้อเสื้อผ้า ไปช้อปส่วนตัวตามภาษาผู้หญิง (( แต่แฟนไม่ได้ซื้อบ่อยนะครับ เดือนนึงครั้งเดียว แบบช่วง Sale ของเดือน )) และผมก็พยายามบอกกับแฟนเป็นนัยๆว่า ใช้ประหยัดนะ อย่าซื้อเยอะนะ แฟนก็จะมีแบบไม่สบอารมณ์บ้าง แต่ก็เข้าใจเค้าอยู่ครับว่าไม่ได้ใช้บ่อย แต่ที่บ่อยที่สุดเห็นว่าจะซื้อตัวหัวบุหรี่ไฟฟ้ามาสูบทุกเดือน แล้วมันราคา 790 บาท ขอไปต่อที่ ข้อ 6. นะครับ
6. หลังจากที่รู้การใช้จ่าย / หนี้ต่างๆ / ภาระต่อเดือน ผมเลยคุยว่าหยุดสูบเถอะ ( ต้องบอกก่อน แฟนกินเหล้า สูบบุหรี่นะครับ แต่เหล้าเค้าไม่ค่อยกินเท่าไร หนักไปทางบุหรี่ ) ผมก็อธิบายทำนองว่า เรามีเงินจากงานเท่านี้ เธอจะใช้อะไรซื้ออะไรก็ตามใจ แต่บุหรี่มันดูเปลืองมันเหมือนเราพ่นเงินออกไปทีละ 790 เลิกสูบมั้ย มันจะมีเหลือเก็บ 790 เลยนะ แล้วถ้าเดือนนึงซื้อ 2 ครั้ง เธอเอา 790 x 2 นั่นคือเงินที่เหลือติดตัวไว้ใช้อีกนะ
แต่แฟนก็ดันตอบผมกลับมาว่า ก็หาเพิ่มอีก 790 ก็จบเรื่องแล้วนิ >> ตรงนี้ผมเลยมองว่ามันไม่ถูกต้องและก็อธิบายจนเกือบทะเลาะกัน ส่วนตัวผมเป็นคนพูดเยอะ พูดในเรื่องการแนะนำเค้า เค้าเลยรู้สึกรำคาญ ผมไม่ได้เอาดีเข้าตัวนะ
7. มุมมองทัศนคติแฟนของผม >> ก่อนหน้านี้เราเคยคุยกันเรื่อง อนาคต ว่าจะหมั้นกันครับ แต่ไม่ได้คิดจะแต่งงานหรือจดทะเบียนเพราะกลัวเรื่องคดีความด้วย แต่ผมรักเค้าจริงๆ รับทุกอย่างที่เป็นเค้าได้นะ แต่แล้วอยู่มาวันนึงพอเราคุยเรื่องแบบนี้กันในเชิงถามตอบ เค้าก็เหมือนขอสินสอด 5 แสน เพื่อโปะหนี้ให้แม่และตัวเค้าเอง ทองอาจจะ 10 บาท ตัวผมก็คิดว่ามันโอเคนะ แต่หลังจากนี้ไปอีกพักนึง เราก็มีการทะเลาะกันถี่ๆนิดหน่อย 2-3 วันติดๆ อาจจะมาจากตัวผมที่มีความงี่เง่า หึงหวงด้วย จนแฟนผมพูดออกมาว่า ถ้าเธอหันหลังออกไปจากบ้านเรา ถือว่าเราเลิกกัน (( ซึ่งตรงเนี้ยเวลาเราทะเลาะกัน เค้าป่วย ผมต้องทดไว้ใจเลยนะ เค้าจะบอกว่า ผมกดดันเค้า คาดหวังเค้า ในมุมมองของตัวผมเอง ผมก็รุ้สึกว่า บางอย่างผมก็ถูกกดดัน ถูกคาดหวังเวลาแฟนอยากได้อะไร แล้วผมไม่ได้มีให้ในเวลานั้น แต่เราเคลียกันได้เรื่องนี้ )) จน ณ วันนึงล่าสุด ผมยอมเก็บของออกจากบ้านและกลับมาพักที่บ้านตัวเอง แต่แฟนก็ตีความว่าเลิกกัน และเอาของที่ผมเคยให้ มาใส่มือผมคืน ผมมีความรู้สึกว่า เค้าไม่เข้าใจผมบ้างเลย ผมรับแรงกดดันมาตั้งแต่คบกับเค้า เรื่องป่วย หนี้ เงิน งาน จนไปถึงการมีปัญหากับแม่เค้าอีก มันคือสิ่งที่ผมแบกรับเอาไว้และไม่ได้พูดออกไป จนผมเก็บไม่ไหว อยากออกไปอยุ่บ้านตัวเองก่อน แต่กลายเป็นเราต้องเลิกกัน
8. ปัญหาที่ตามมา ผมเคลียกับแฟนผ่านแชท แต่แฟนก็เอาแชทของผมไปให้เพื่อนสนิทดูแล้วผมก็ถูกด่าสารพัดเลย ในคำค่อนข้างแรง และแม่แฟนก็ด่าผมเช่นกัน โดยที่เพื่อนของแฟนผมไม่ได้รู้ปัญหาที่แท้จริงเลย แฟนแค่ส่งแชทไปให้อ่านว่าทะเลาะกันประมาณนี้ ผมเหมือนโดนดูถูกในเวลานั้นเลยนะ แต่ผมก็ยอมที่จะกดมัน และให้มันผ่านไป ล่าสุดผมนัดเจอกับแฟนหลังจากเลิกกันไป 2-3ไป ในมุมของเค้าที่เลิกนะ ผมยังไม่ได้บอกเลิกเค้าเลย ผมเจอเค้าที่ร้านที่เรานัดกัน ผมเดินเข้าไปกอด เข้าไปขอโทษในสิ่งที่ผมหันหลังออกมาและอธิบาย แต่ในส่วนนี้เรื่องมันบานปลายไปแล้วตรงที่ว่า พอเพื่อนเค้าด่าผม ผมก็รู้สึกหาทางออกไม่ได้ เพราะมันแรงและเยอะมาก จนผมอยากปกป้องตัวเอง ผมก็ให้คนทางบ้านช่วย จนมันกลายเป็นการทะเลาะกันจากคน 2 คน เป็น 3-4-5 คนเข้าไปแล้ว
9. ผมเลยตระหนักอยู่ตลอดเวลา 2-3 วันก่อนเจอกับเค้าว่า มันจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ยที่จะรักกัน ตัวผมรักเค้ามาก ถนอมเค้ามาก ใส่ใจกับเค้ามากๆ ซึ่งเค้าเองก็เช่นกัน ผมไม่ได้จะพูดดิสเครดิตแฟนตัวเอง เค้าก็ดีกับผมเช่นกัน แต่หลังๆมันเริ่มมีความอยากได้ ปัญหาต่างๆ เรื่องเงินที่ผมต้องแบ่งใช้ หลักๆเงินมาจากผมและผมต้องกระจายในส่วนต่างๆ ก็เหมือนเค้าจะเข้าใจ แต่ล่าสุดมันกลายเป็นว่า ผมไปอยู่บ้านแฟนมาตลอด 2 เดือน วันที่ทะเลาะกัน แม่แฟนของผมพูดทำนองว่า ให้อยู่ค่าน้ำไฟไม่เคยให้ช่วยออก ทำอะไรก็ไม่ทำ นี่คือสิ่งที่ผมโดนพูดใส่มา ขอต่อข้อ 10. นะครับ
10. ผมขอปกป้องตัวเองจากข้อก่อนหน้าก่อน ผมไปอยู่บ้านเค้าเพราะเรา 2 คน คุยกันว่าเริ่มต้นใหม่ นับ 1 ใหม่ เนื่องจากผมทะเลาะกับที่บ้านและออกไปอาศัยบ้านเค้า โดยที่เค้าเป็นคนมารับผมไปเอง และผมก็ยินดีอยู่ข้างๆเค้านะ แต่พอทะเลาะกันล่าสุด แม่เค้าก็พูดเชิงแบบนั้นใส่ตัวผม โดยที่ผมก็เริ่มที่จะกล้าพูดกล้าเถียงออกไป ในมุมมองของผม
แม่เค้า >> พูดทำนองแบบ มาอยุ่กับลูกเค้าฟรี บ้านเค้าฟรี น้ำไฟไม่จ่าย ไม่ต้องทำอะไร
ในมุมมองของผม ในสิ่งที่ผมทำ
>> ผมให้เงินลูกสาวเค้าเพิ่มไปจากเงินจริงที่ควรจะได้ และผมไม่เคยบอกใคร
>> ผมไปอยู่รับแรงกดดันจากคนป่วย จากแม่ที่หวังจะให้ผมรักษาลูกสาวเค้าโดยการใช้เป็นเครื่องมือ แต่ผมยินดีนะ
>> เวลาทะเลาะกันจะผิดจะถูกผมเลือกที่จะเข้าหาและอธิบายตลอด
>> เวลากินข้าว สั่งข้าวมาผมสั่งให้เผื่อทุกคน และผมพูดเสมอ อยู่ด้วยกันก็กินด้วยกันนี่แหละ
>> จนมาเรื่องค่าใช้จ่ายที่แม่เค้าร้องขอ ซึ่งตัวผมอะ ก็อธิบายไปว่า เงินในส่วนต่างๆที่มาอยู่ ทางผมช่วยออก ช่วยจ่าย ปนไปกับเงินเดือนของแฟนแล้ว ผมให้เงินแฟนของผมเพิ่มจากเงินของผมเอง และคอยเตือนว่าประหยัดนะ เซฟๆนะ เท่ากับว่าผมมาอยู่บ้านนี้ บ้านที่มีหนี้ ล้มละลาย คนป่วยซึมเศร้า ผมใช้เงินไปมากกว่าผมอยู่บ้านตัวเองมาก แต่ผมไม่คิดจะเรียกร้องหรือบอกใครเลย จนผมได้พูดไปว่าเงินส่วนต่างๆที่แฟนได้รับ มันมีค่าใช้จ่ายในนั้นรวมไปด้วยแล้ว ผมคิดเผื่อให้แล้วทุกๆด้าน นอกจากจวนตัวจริงๆผมยินดีจะจ่ายส่วนนั้นให้ก่อน
11. และไม่กี่วันนี้ผมกับแฟนก็นัดคุยกัน เคลียใจกัน คือ เรา 2 คน คบกันต่อ แต่คนอื่นๆที่เกี่ยวข้องที่มาทะเลาะกันของแต่ละฝ่ายก็จะกลายเป็นหมาไป ผมพยายามแก้ไขปัญหาข้อนี้อยู่ เพราะผมก็รักเค้ามาก โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าต่อไปมันจะเกิดปัญหาอะไรอีก อาจจะมองว่าผมโง่ก็ได้ที่ยังกลับไปหา ไปเรียกร้องขอคืนดี เพราะผมรักเค้ามากแค่คำนี้คำเดียว และเค้าก็ยินยอมที่จะคบกัน
12. แต่จากข้อ 11. ผมก็มีหลายๆคนคอยพูดคอยเตือน จากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ว่ามันไม่ดีนะ ถ้าจะไปคบกับคนที่เป็นหนี้ เป็นภาระของตัวเค้าเอง มันจะลำบากในอนาคต มันจะมีอะไรเป็นชิ้น เป็นอันยากนะ กว่าจะหมดคดีความ มันจะสร้างอะไรได้ยากนะ ตั้ง7-10 ปี ก็อายุ 40 นิดๆแล้ว แล้วด้วยปัญหาที่มีความอยากได้ อยากมี ในช่วงระยะเวลาของการคบกัน มันก็เป็นปกติของคนอยู่แล้ว อยู่ที่จะหักห้ามใจไม่ให้ซื้อได้มั้ย
แล้วหนักที่สุดก็ เรื่องค่าใช้จ่ายที่มันค่อนข้างไร้สาระและไม่จำเป็น อย่างข้างต้น ผมและคนอื่นๆก็มองว่า สูบบุหรี่ไฟฟ้าเปลี่ยนหัวทีละ 790 มันดูไม่มีเหตุผลในการใช้เงินที่สุด เหล้า เสื้อผ้า ช้อปปิ้ง บลาๆ ผมเข้าใจได้แต่ การสูบน้ำยาและพ่นควันออกไป 790 บาท ผมก็ยังมองว่ามันไม่คุ้มที่จะเสียหรือมีในชีวิตเลยด้วยซ้ำ แต่แฟนก็ยังทำ และไม่คิดจะเลิก ได้แต่บอกผมว่า หาเพิ่มอีก 790 ไง หรือไม่ก็ เออน่า ช่างเหอะ มันทำให้ผมลำบากใจในความรักที่ผมมีให้
13. ผมยินดีช่วยเค้า ซัพพอตเค้าต่างๆ จนเค้าอาจจะลืมไปว่า ผมต้องแบกรับอะไรจากเค้ามาบ้างในการช่วยเหลือเค้า ด้วยใจจริงๆ จนผมรุ้สึกว่าการกลับมาคบกันครั้งนี้ตัวผมเองก็มีความไม่แน่ใจ ลึกๆ ผมไม่อยากให้เค้าเป็นแบบนั้นเลย ผมเข้ามารักษาเค้า ช่วยเหลือเค้าตั้งแต่วันแรก แต่เหมือนกลับกัน เค้าก็ทำร้ายจิตใจผมในบางเวลาเหมือนกัน และสิ่งรอบๆตัวเค้าที่ผมรับมา มันก็ทำให้รู้สึกท้อแท้ และสับสนว่าควรจะหยุดจริงๆมั้ย หรือจะไปต่อ
14. ผมก็มองว่าถ้าการกลับไปครั้งนี้ เราคบกันในเชิงแอบคุยแอบคบ แต่รวมๆผมก็เชื่อใจเค้านะ ว่าช่วงที่เราอยุ่บ้านใครบ้านมัน เค้าจะไม่ได้มีคนอื่นหรือคุยกับใคร เพราะผมก็คุยกับเค้าทำนองว่า ถ้ารู้ว่ามีอะไรแบบนั ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงกับเค้า ผมรับเรื่องนี้ไม่ได้ที่สุด ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายหรือหนี้ต่างๆ ผมกับเค้าก็คุยๆกันว่า เธอหาเงินจ่ายของเธอ ถ้าเดือดร้อนเราจะช่วย (( แต่ลึกๆ ถ้าเป็นการอยากได้ หรือรีดเงินเป็นนัยๆ ผมก็คงต้องถอยออกมา )) เพราะรักกันในวันแรก เรารักกันด้วยความรู้สึกจริงๆ และสิ่งต่างๆที่มอบให้กัน โดยไม่มีตัวเงินเข้ามาเป็นปัจจัยหลัก หรือเรื่องหนี้
ขอบคุณครับ