เราไม่รู้จะเริ่มยังไงดีค่ะทุกคน ความรู้สึกในใจตอนนี้ มันคือเต็มไปด้วยความอึดอัด คับแค้นใจ บางครั้งเราแอบสงสารตัวเอง ที่ชีวิตต้องมาพบเจอแต่กับผู้คนรอบข้าง ที่คอยสร้างแต่ความเสียใจให้เรา หรือจริงๆแล้วคือตัวเราเองที่เก็บเอาความรู้สึกที่คนรอบข้างมีต่อเรา กลับมาคิดมาบั่นทอนเพื่อทำร้ายตัวเราเอง
อดีตเราเป็นเด็กกำพร้า ที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ เพราะมีแม่ก็เหมือนว่าจะไม่มี หลังจากที่แม่เลิกกับพ่อเรา ตอนเราอายุ 3 ขวบ แม่ก็ไปเที่ยวคบหาผู้ชายมากหน้าหลายตาอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน จนถึงปัจจุบันราว 30 กว่าปี ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เราและแม่เลยต้องต่างคนต่างอยู่ ไม่พูดคุย ไม่พึ่งพาอาศัย ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกัน ถ้าจะเรียกได้ว่ากำพร้าก็คงจะไม่ผิด
เรามีความอดทนและพยายามที่จะไขว่คว้าอนาคต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ จนได้ทำงานที่คิดว่ามั่นคงสำหรับตัวเราในระดับนึง จนเมื่อเรามาเจอผู้ชายคนนึง ( ซึ่งอดีตเราเคยผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตคู่มาแล้วหนึ่งครั้ง) ปัจจุบัน เราสองคนแต่งงาน มีลูก มีครอบครัวที่ค่อนข้างสมบูรณ์ สามีไม่สูบบุหรี่ มีดื่มและสังสรรค์บ้างในบางโอกาส ซึ่งก็ถือเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้ชายที่ดีควรจะปฏิบัติ งานบ้านก็จะมีช่วยทำบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่งานในบ้านส่วนใหญ่ เราจะเป็นคนรับผิดชอบ
เราเริ่มมองหาอนาคต กู้เงินมาสร้างบ้าน มองหารายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ ซึ่งรายได้เสริมก็ให้เรามีรายได้ 2-3 เท่าของงานประจำ และเงินทุกบาทที่ได้ล้วนนำมาจุนเจือครอบครัว งานที่เราทำเป็นงานขายของออนไลน์ และในช่วงแรกที่เราต้องลงทุน เรารู้สึกเองได้ว่าสามีไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับงานนี้ เพราะเราดูจากปฏิกิริยาที่เค้ามีต่อเรา ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมบ้านกัน วิสัยของคนรักอย่างน้อย ๆแล้ว สามีภรรยาควรถามไถ่ พูดคุย ปรึกษา แต่สามีเรากลับไม่เคยพูดหรือถามไถ่เราเลย ว่าเรากำลังคิดหรือกำลังจะทำอะไรอยู่
สามีเราเป็นคนไม่รักความก้าวหน้า เค้ามีความสุขกับการทำอะไรที่ถนัดเพียงด้านเดียว ไม่อยากทำอะไรที่นอกเหนือจากที่ทำอยู่เดิม ใช้ชีวิตอยู่แค่กับสิ่งที่ตัวเองรัก เค้าพอใจแค่นั้น ซึ่งเค้าไม่เคยมองมาที่เราและลูกเลยว่าเงินเดือนที่เค้าให้เราเดือนละหกพันบาท (เงินเดือนสามี เจ็ดพันห้าร้อยบาท) มันจะเพียงพอต่อการดำรงชีวิตของทุกคนในครอบครัวรึป่าว มีแค่เพียงเราที่พยายามทำตัวเป็นเสาหลัก ดิ้นรนทุกหาทาง จะล้มก็ล้มไม่ได้ แต่พอจะหาที่ยึดเหนี่ยวและกำลังใจก็กลับไม่มี
มีหลายครั้งที่ทะเลาะกัน เรื่องการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ในช่วงแรกๆ เราแค่พยายามผลักดันให้เค้าให้ความช่วยเหลือเราในการแพ็คสินค้าเพื่อเตรียมส่งลูกค้า แต่เค้ากลับนอนเล่นเกมส์ กลายเป็นว่าทะเลาะกันหนักจนเกือบจะต้องไปหย่าขาดกัน แต่เราต้องอดทนเพราะเราไม่มีใครคอยเลี้ยงลูกให้
หลายครั้งที่ทะเลาะกัน เค้าจะหยิบเอาเรื่องราวต่างๆที่เราเคยเสียใจเพราะผิดพลาดกับอดีตความรักที่จบลง มาพูดเพื่อตอกย้ำ กล่าวหาว่าเราเป็นคนนิสัยไม่ดี สามีเก่าจึงต้องนอกใจเราไปมีแฟนใหม่ ทั้งๆที่แต่งงานกันแล้ว ครั้งล่าสุดที่ทะเลาะกัน วันนั้นเราซื้อเครื่องดื่ม พร้อมกับแกล้มมาให้เค้าทานหลังจากที่เค้าช่วยเราแพ็คของส่งลูกค้าไปหลายกล่อง เพื่อเป็นการตอบแทนเราเลยให้เค้าดื่มได้ แต่หลังจากดื่มไปจนหมดบวกกับเวลาค่อนข้างดึก ซึ่งเราต้องพาลูกเข้านอน เค้ากลับอยากออกไปดื่มต่อนอกบ้าน (ร้านเหล้า) ซึ่งเราบอกไปแล้วว่าคงไม่ดี เพราะทั้งเมา ทั้งจะขับรถไป มันอันตรายมาก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น สามีโมโหเรา ด่าเราพาลทะเลาะกันไปใหญ่ สามีบอกเราเอาแต่บังคับให้เค้าอยู่แต่ในบ้าน เค้าอยากออกไปดื่มนอกบ้านก็ไม่ได้ ทำไมต้องขอเหมือนขอแม่เลย เราพยายามพูดและใจเย็น จนสุดท้ายเรามาเสียใจหนักมากที่สุด กับคำพูดของสามี “ วันจันทร์ไม่ต้องพาลูกไปให้แม่ฉันเลี้ยงนะ ถ้าไม่ยอมให้ฉันไป ” แล้วเค้าก็ออกจากบ้านไป ไปค้างที่ไหนอันนี้เราไม่สืบเลย กลับมาอีกทีก็ค่ำของวันรุ่งขึ้น
เราต้องอดทน พาลูกเราไปฝากไว้ให้แม่เค้าเลี้ยง โดยค่าใช้จ่ายทุกอย่างเกี่ยวกับตัวลูก เราเป็นคนออกทั้งหมด รวมไปถึงค่าจ้างแม่สามีเลี้ยงดู โดยให้เป็นน้ำใจเล็กน้อยก็ล้วนแต่มาจากเรา เราเลยพูดกับเค้าไปว่า เธอคิดว่าเงินเดือนที่ให้เราเดือนละหกพัน มันพอที่จะใช้จ่ายหรือเหลือมาเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับตัวลูกรึป่าว ทำไมไม่พยายามขวนขวายหรือดิ้นรนอะไรที่พอจะทำให้มีรายได้เข้ามาในครอบครัวให้มากกว่านี้บ้าง เช่น แค่หันมาดูว่าเราทำอะไร มาหยิบจับช่วยเราบ้าง โดยที่เราไม่ต้องขอร้องให้ทำ แค่นี้ก็เพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวแล้ว ในส่วนของลูกซึ่งถ้าจะให้เราไม่เอาลูกไปฝากแม่คุณเลี้ยง เราก็สามรถทำให้ได้ เพียงแค่ทางคุณ ต้องออกเงินค่าจ้างพี่เลี้ยงลูกให้เรา เดือนละ1 หมื่นบาท เพราะค่าใช้จ่ายทุกอย่างเกี่ยวกับตัวลูกเราเป็นคนออกให้ แล้ว ถ้าทางคุณไม่ต้องการจะเลี้ยงลูกให้เรา ก็ให้หาเงินมาช่วยเราออกค่าจ้างพี่เลี้ยง สามีเราเงียบและให้เราเอาลูกไปให้แม่เค้าเลี้ยงเช่นเดิม
มีหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่เราพยายามลบมันออกจากใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ คือ วันที่เราคลอดลูกให้เค้า แม้เพียงคำเพียงคำเดียวเค้าก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเราเลยว่า เจ็บไหม เป็นยังไงบ้าง เราเพียงแค่อยากได้ยินสักคำจากปากสามี ในเวลาที่เราพึ่งผ่านความเป็นความตายจากการคลอดลูก แต่ไม่เลย เราไม่เคยได้ยินคำนั้นสักคำ วันเกิดเรา ไม่เคยมีเค้ก ไม่มีของขวัญใดๆ มีเพียงข้อความในเฟสที่แท๊กหา สุขสันต์วันเกิด
วันนั้นเป็นงานแข่งกีฬาของหน่วยงาน ซึ่งสามีและลูกไปกับเราด้วย เรากำลังนั่งคุยกับเพื่อนร่วมงาน นั่งแบบยองๆข้างสนามเปตอง แล้วลูกเราวิ่งกระโจนเข้าหาเราซึ่งเราตั้งตัวไม่ทัน หงายหลังเซ จะล้มก็ไม่ล้ม มีพี่คนนึงพยายามคว้ามือเอาไว้แต่ไม่ทัน ซึ่งสามียืนอยู่ใกล้ๆ สามีคว้าตัวลูกเอาไว้ แล้วยืนมองดูเราล้มหงายหลัง โดยที่ไม่แม้แต่จะยื่นมือมาดึงเราไว้บ้างเลย
แม่สามีพูดกับชาวบ้านในวันแต่งงานของเราว่า วันนี้แต่งเอาลูกสะใภ้เสียเงินไป 3 แสน แต่หวังเผื่อจะได้สัก 3 ล้านกลับคืนมา เราไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปพูดกับสามี แม่สามีเป็นคนเลี้ยงลูกให้เราตั้งแต่ครบกำหนดลาคลอดแล้วเราต้องฝากลูกไว้เพื่อไปทำงาน ซึ่งไปฝากเช้า เย็นเลิกงานก็จะไปรับกลับบ้าน เป็นบ้านที่เรากู้เงินมาสร้าง ซึ่งสามีชอบว่าเราเป็นคนขอบสร้างหนี้ ชอบหาหนี้ใส่ตัว คนหนี้เยอะ หลายครั้งที่คำพูดแบบนี้จะหลุดจากปากเค้าเวลาเราทะเลาะกัน ซึ่งเงินใช้หนี้บ้านที่เราใช้อาศัยร่วมกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นเงินที่หักจากเงินเดือนเราทุกบาททุกสตางค์
แม่สามี ไม่เคยสอนให้ลูกเราเรียกเราว่า แม่ แต่แกจะสอนลูกเราให้เรียกทุกคนในครอบครัวสามีเรา เช่น ปู่ ย่า พ่อ อา (น้องสาวสามี) แต่ดูเหมือนลูกจะยิ่งรักเรามากขึ้น ยิ่งแม่สามีพยายามแยกลูกเราไปจากเราเท่าไหร่ ลูกก็เหมือนจะยิ่งติดเราขึ้นมากขึ้น เพราะลูกเราคงรับรู้ว่าแม่ไม่มีใครในชีวิต แม่ยอมอดทนและลำบากเพื่อเค้า เค้าจึงเกิดมาเพื่อเป็นลมหายใจ และคอยเพิ่มพลังใจในชีวิตให้เรา คำแรกที่ลูกเรียกได้ คือคำว่า แม่ ทั้งๆที่ไม่มีคนสอน แต่เค้าสามารถพูดออกมาได้จากสายสัมพันธ์และความรักที่เรามีให้เค้า
ทุกๆวันสำคัญในครอบครัวสามี เช่น วันคล้ายวันเกิด พ่อ แม่ น้องสาว สามีเราจะแอบมีเซอร์ไพรส์เป่าเค้กวันเกิด เป็นแบบนี้แทบทุกปี ซึ่งเราก็รู้สึกว่า เค้าน่ารัก ที่ทำตัวเป็นลูกชายที่น่ารักของครอบครัว แต่คงไม่ใช่สำหรับเรา เพราะเราไม่ใช่คนในครอบครัวของเค้า เค้ารักกันภายในครอบครัว ซึ่งคำว่า ครอบครัวของเค้า ไม่จำเป็นต้องมีเราในนั้น
ล่าสุด สามีเรามีความอยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ เพื่อใช้ในการถ่ายรูป ซึ่งราคาเกือบครึ่งแสน เราเลยบอกไปว่า ส่วนตัวเราไม่มีเงินมากขนาดนั้น ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้แล้ว เพราะเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เราขายของได้เงินมาก้อนนึง เราเอาเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซื้อที่ดิน 1 แปลง พร้อมกำลังก่อสร้างบ้านพักอาศัยไว้เพื่อปล่อยเช่า เราหวังเอาไว้ว่าเงินทุกบาทที่เรากำลังทำ เราหวังเพียงอนาคตลูกเราจะสบาย ไม่ต้องดิ้นรนและลำบากเหมือนอย่างเรา เรายอมรับว่าทุกวันนี้เหนื่อยมาก แต่ไม่สามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ใครรับฟังได้ และก็คงไม่มีใครอยากรับฟัง เราทำทั้งงานประจำ ทำงานบ้าน อาชีพเสริม ทั้งเลี้ยงลูกเอง เพราะลูกติดเรามาก วันหยุดคือแทบไม่มี วันไหนที่เหนื่อยมากก็แค่เอาเงินที่หาได้ไปใช้ซื้อความสุขให้ตัวเองกับครอบครัวบ้าง ไปทานข้าวนอกบ้าน ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่ได้หมกมุ่นเพียงจะหาเงินอย่างเดียวจนน่าเบื่อเกินไป
วันนี้ เค้าบอกเราว่า แม่เค้าเหนื่อยมากจากการต้องดูแลลูกให้เรา แม่สามีอายุ 50 กว่าๆ ไม่มีโรคประจำตัว แข็งแรง แต่ก่อนจะมีหลาย จะทำไร่ทำนาปกติของคนต่างจังหวัด ซึ่งเค้าก็คงเป็นห่วงแม่เค้า ซึ่งก็ไม่ผิด เราก็รู้สึกว่าถูกแล้วที่เคารักและเป็นห่วงแม่เค้า เค้าคอยถามไถ่แม่เค้าเสมอว่า แม่เหนื่อยไหม อะไรประมาณนี้ ซึ่งหลายครั้งเค้าก็คอยมีคำถามกับเราว่า ทางเราไม่คิดจะช่วยแม่เค้าเลี้ยงลูกบ้างเลยหรอ ทำไมต้องให้แม่เค้าเป็นคนที่ต้องดูแลลูกเราอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งๆที่เค้าก็รู้ว่าเราไม่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง แต่ก็ตั้งคำถามเชิงกดดันเราแบบนี้ตลอดเวลาที่ทะเลาะกันเรื่องลูก
หากถามถึงข้อเสียในตัวของเรา เรามีข้อเสียที่คิดว่าคนอื่นคงไม่ชอบอยู่อย่างนึงคือนิสัย ไม่ชอบใจอะไร= เงียบ โกรธ = เงียบ ซึ่งเราเป็นคนไม่ชอบพูด ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้นโดยเฉพาะเวลาที่ไม่สบายใจหรือเสียใจ เลยอาจทำให้รู้สึกเป็นคนที่คนอื่นเข้าถึงยาก คนรอบข้างอาจเดาใจไม่ถูก คือไม่รู้จะตามใจแบบไหนถึงจะดี ซึ่งถ้าคนที่รู้จักนิสัยเราจริงๆ จะบอกได้ว่าเรารั่วมาก เต็มที่กับทุกความสัมพันธ์ มีร้อยให้ร้อย แต่น้อยคนที่จะมีโอกาสเข้าถึงมันเท่านั้นเอง เราพยายามปรับปรุงในส่วนข้อเสียนี้และหวังว่าสักวันนึงมันจะต้องดีขึ้น
ณ ปัจจุบัน (วันนี้) เรามองว่า เราและสามีคงอาจไม่ได้ใช้อนาคตร่วมกันในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน อาจต้องได้ไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอในสักวันหนึ่ง เราคงต้องเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งเราคิดว่าถ้าวันนั้นมาถึงเราต้องทำได้ และคงทำได้ดีกว่าตอนนี้ เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆสภาพจิตใจเราคงดีขึ้นกว่านี้ รวมทั้งสภาพการเงินก็คงไม่ได้เดือดร้อน คงสามารถส่งเสียลูกได้สูงที่สุดตามที่เค้าอยากจะทำและอยากจะเป็น เราเพียงแค่รอเวลา และมันคงอีกไม่นาน เมื่ออะไรลงตัวและพร้อม เราและสามีคงต้องแยกทาง เราก็สงสารตัวเองและสงสารสามีไปพร้อมๆกันที่ต้องมาอดทนอยู่ด้วยกันทั้งๆที่ไม่มีความรักต่อกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเลยคือ สไตล์การใช้ชีวิต การดำเนินชีวิตของเรามันต่างกัน แม้แต่ทัศนคติหลายๆอย่างก็ต่างกันสิ้นเชิง และที่สำคัญที่สุดเลยคือเค้าไม่ได้รักเรา
((( เราแค่อยากรู้ จากนี้เราต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เราต้องทำตัวแบบไหน ต้องทำแบบไหนให้ลูกเสียใจน้อยสุด และให้เค้ามีความสุขที่สุดเท่าที่แม่คนนึงจะให้ได้ )))
ความรัก ที่ไม่ใช่ความรัก
อดีตเราเป็นเด็กกำพร้า ที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ เพราะมีแม่ก็เหมือนว่าจะไม่มี หลังจากที่แม่เลิกกับพ่อเรา ตอนเราอายุ 3 ขวบ แม่ก็ไปเที่ยวคบหาผู้ชายมากหน้าหลายตาอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน จนถึงปัจจุบันราว 30 กว่าปี ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เราและแม่เลยต้องต่างคนต่างอยู่ ไม่พูดคุย ไม่พึ่งพาอาศัย ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกัน ถ้าจะเรียกได้ว่ากำพร้าก็คงจะไม่ผิด
เรามีความอดทนและพยายามที่จะไขว่คว้าอนาคต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ จนได้ทำงานที่คิดว่ามั่นคงสำหรับตัวเราในระดับนึง จนเมื่อเรามาเจอผู้ชายคนนึง ( ซึ่งอดีตเราเคยผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตคู่มาแล้วหนึ่งครั้ง) ปัจจุบัน เราสองคนแต่งงาน มีลูก มีครอบครัวที่ค่อนข้างสมบูรณ์ สามีไม่สูบบุหรี่ มีดื่มและสังสรรค์บ้างในบางโอกาส ซึ่งก็ถือเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้ชายที่ดีควรจะปฏิบัติ งานบ้านก็จะมีช่วยทำบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่งานในบ้านส่วนใหญ่ เราจะเป็นคนรับผิดชอบ
เราเริ่มมองหาอนาคต กู้เงินมาสร้างบ้าน มองหารายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ ซึ่งรายได้เสริมก็ให้เรามีรายได้ 2-3 เท่าของงานประจำ และเงินทุกบาทที่ได้ล้วนนำมาจุนเจือครอบครัว งานที่เราทำเป็นงานขายของออนไลน์ และในช่วงแรกที่เราต้องลงทุน เรารู้สึกเองได้ว่าสามีไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับงานนี้ เพราะเราดูจากปฏิกิริยาที่เค้ามีต่อเรา ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมบ้านกัน วิสัยของคนรักอย่างน้อย ๆแล้ว สามีภรรยาควรถามไถ่ พูดคุย ปรึกษา แต่สามีเรากลับไม่เคยพูดหรือถามไถ่เราเลย ว่าเรากำลังคิดหรือกำลังจะทำอะไรอยู่
สามีเราเป็นคนไม่รักความก้าวหน้า เค้ามีความสุขกับการทำอะไรที่ถนัดเพียงด้านเดียว ไม่อยากทำอะไรที่นอกเหนือจากที่ทำอยู่เดิม ใช้ชีวิตอยู่แค่กับสิ่งที่ตัวเองรัก เค้าพอใจแค่นั้น ซึ่งเค้าไม่เคยมองมาที่เราและลูกเลยว่าเงินเดือนที่เค้าให้เราเดือนละหกพันบาท (เงินเดือนสามี เจ็ดพันห้าร้อยบาท) มันจะเพียงพอต่อการดำรงชีวิตของทุกคนในครอบครัวรึป่าว มีแค่เพียงเราที่พยายามทำตัวเป็นเสาหลัก ดิ้นรนทุกหาทาง จะล้มก็ล้มไม่ได้ แต่พอจะหาที่ยึดเหนี่ยวและกำลังใจก็กลับไม่มี
มีหลายครั้งที่ทะเลาะกัน เรื่องการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ในช่วงแรกๆ เราแค่พยายามผลักดันให้เค้าให้ความช่วยเหลือเราในการแพ็คสินค้าเพื่อเตรียมส่งลูกค้า แต่เค้ากลับนอนเล่นเกมส์ กลายเป็นว่าทะเลาะกันหนักจนเกือบจะต้องไปหย่าขาดกัน แต่เราต้องอดทนเพราะเราไม่มีใครคอยเลี้ยงลูกให้
หลายครั้งที่ทะเลาะกัน เค้าจะหยิบเอาเรื่องราวต่างๆที่เราเคยเสียใจเพราะผิดพลาดกับอดีตความรักที่จบลง มาพูดเพื่อตอกย้ำ กล่าวหาว่าเราเป็นคนนิสัยไม่ดี สามีเก่าจึงต้องนอกใจเราไปมีแฟนใหม่ ทั้งๆที่แต่งงานกันแล้ว ครั้งล่าสุดที่ทะเลาะกัน วันนั้นเราซื้อเครื่องดื่ม พร้อมกับแกล้มมาให้เค้าทานหลังจากที่เค้าช่วยเราแพ็คของส่งลูกค้าไปหลายกล่อง เพื่อเป็นการตอบแทนเราเลยให้เค้าดื่มได้ แต่หลังจากดื่มไปจนหมดบวกกับเวลาค่อนข้างดึก ซึ่งเราต้องพาลูกเข้านอน เค้ากลับอยากออกไปดื่มต่อนอกบ้าน (ร้านเหล้า) ซึ่งเราบอกไปแล้วว่าคงไม่ดี เพราะทั้งเมา ทั้งจะขับรถไป มันอันตรายมาก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น สามีโมโหเรา ด่าเราพาลทะเลาะกันไปใหญ่ สามีบอกเราเอาแต่บังคับให้เค้าอยู่แต่ในบ้าน เค้าอยากออกไปดื่มนอกบ้านก็ไม่ได้ ทำไมต้องขอเหมือนขอแม่เลย เราพยายามพูดและใจเย็น จนสุดท้ายเรามาเสียใจหนักมากที่สุด กับคำพูดของสามี “ วันจันทร์ไม่ต้องพาลูกไปให้แม่ฉันเลี้ยงนะ ถ้าไม่ยอมให้ฉันไป ” แล้วเค้าก็ออกจากบ้านไป ไปค้างที่ไหนอันนี้เราไม่สืบเลย กลับมาอีกทีก็ค่ำของวันรุ่งขึ้น
เราต้องอดทน พาลูกเราไปฝากไว้ให้แม่เค้าเลี้ยง โดยค่าใช้จ่ายทุกอย่างเกี่ยวกับตัวลูก เราเป็นคนออกทั้งหมด รวมไปถึงค่าจ้างแม่สามีเลี้ยงดู โดยให้เป็นน้ำใจเล็กน้อยก็ล้วนแต่มาจากเรา เราเลยพูดกับเค้าไปว่า เธอคิดว่าเงินเดือนที่ให้เราเดือนละหกพัน มันพอที่จะใช้จ่ายหรือเหลือมาเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับตัวลูกรึป่าว ทำไมไม่พยายามขวนขวายหรือดิ้นรนอะไรที่พอจะทำให้มีรายได้เข้ามาในครอบครัวให้มากกว่านี้บ้าง เช่น แค่หันมาดูว่าเราทำอะไร มาหยิบจับช่วยเราบ้าง โดยที่เราไม่ต้องขอร้องให้ทำ แค่นี้ก็เพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวแล้ว ในส่วนของลูกซึ่งถ้าจะให้เราไม่เอาลูกไปฝากแม่คุณเลี้ยง เราก็สามรถทำให้ได้ เพียงแค่ทางคุณ ต้องออกเงินค่าจ้างพี่เลี้ยงลูกให้เรา เดือนละ1 หมื่นบาท เพราะค่าใช้จ่ายทุกอย่างเกี่ยวกับตัวลูกเราเป็นคนออกให้ แล้ว ถ้าทางคุณไม่ต้องการจะเลี้ยงลูกให้เรา ก็ให้หาเงินมาช่วยเราออกค่าจ้างพี่เลี้ยง สามีเราเงียบและให้เราเอาลูกไปให้แม่เค้าเลี้ยงเช่นเดิม
มีหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่เราพยายามลบมันออกจากใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ คือ วันที่เราคลอดลูกให้เค้า แม้เพียงคำเพียงคำเดียวเค้าก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเราเลยว่า เจ็บไหม เป็นยังไงบ้าง เราเพียงแค่อยากได้ยินสักคำจากปากสามี ในเวลาที่เราพึ่งผ่านความเป็นความตายจากการคลอดลูก แต่ไม่เลย เราไม่เคยได้ยินคำนั้นสักคำ วันเกิดเรา ไม่เคยมีเค้ก ไม่มีของขวัญใดๆ มีเพียงข้อความในเฟสที่แท๊กหา สุขสันต์วันเกิด
วันนั้นเป็นงานแข่งกีฬาของหน่วยงาน ซึ่งสามีและลูกไปกับเราด้วย เรากำลังนั่งคุยกับเพื่อนร่วมงาน นั่งแบบยองๆข้างสนามเปตอง แล้วลูกเราวิ่งกระโจนเข้าหาเราซึ่งเราตั้งตัวไม่ทัน หงายหลังเซ จะล้มก็ไม่ล้ม มีพี่คนนึงพยายามคว้ามือเอาไว้แต่ไม่ทัน ซึ่งสามียืนอยู่ใกล้ๆ สามีคว้าตัวลูกเอาไว้ แล้วยืนมองดูเราล้มหงายหลัง โดยที่ไม่แม้แต่จะยื่นมือมาดึงเราไว้บ้างเลย
แม่สามีพูดกับชาวบ้านในวันแต่งงานของเราว่า วันนี้แต่งเอาลูกสะใภ้เสียเงินไป 3 แสน แต่หวังเผื่อจะได้สัก 3 ล้านกลับคืนมา เราไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปพูดกับสามี แม่สามีเป็นคนเลี้ยงลูกให้เราตั้งแต่ครบกำหนดลาคลอดแล้วเราต้องฝากลูกไว้เพื่อไปทำงาน ซึ่งไปฝากเช้า เย็นเลิกงานก็จะไปรับกลับบ้าน เป็นบ้านที่เรากู้เงินมาสร้าง ซึ่งสามีชอบว่าเราเป็นคนขอบสร้างหนี้ ชอบหาหนี้ใส่ตัว คนหนี้เยอะ หลายครั้งที่คำพูดแบบนี้จะหลุดจากปากเค้าเวลาเราทะเลาะกัน ซึ่งเงินใช้หนี้บ้านที่เราใช้อาศัยร่วมกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นเงินที่หักจากเงินเดือนเราทุกบาททุกสตางค์
แม่สามี ไม่เคยสอนให้ลูกเราเรียกเราว่า แม่ แต่แกจะสอนลูกเราให้เรียกทุกคนในครอบครัวสามีเรา เช่น ปู่ ย่า พ่อ อา (น้องสาวสามี) แต่ดูเหมือนลูกจะยิ่งรักเรามากขึ้น ยิ่งแม่สามีพยายามแยกลูกเราไปจากเราเท่าไหร่ ลูกก็เหมือนจะยิ่งติดเราขึ้นมากขึ้น เพราะลูกเราคงรับรู้ว่าแม่ไม่มีใครในชีวิต แม่ยอมอดทนและลำบากเพื่อเค้า เค้าจึงเกิดมาเพื่อเป็นลมหายใจ และคอยเพิ่มพลังใจในชีวิตให้เรา คำแรกที่ลูกเรียกได้ คือคำว่า แม่ ทั้งๆที่ไม่มีคนสอน แต่เค้าสามารถพูดออกมาได้จากสายสัมพันธ์และความรักที่เรามีให้เค้า
ทุกๆวันสำคัญในครอบครัวสามี เช่น วันคล้ายวันเกิด พ่อ แม่ น้องสาว สามีเราจะแอบมีเซอร์ไพรส์เป่าเค้กวันเกิด เป็นแบบนี้แทบทุกปี ซึ่งเราก็รู้สึกว่า เค้าน่ารัก ที่ทำตัวเป็นลูกชายที่น่ารักของครอบครัว แต่คงไม่ใช่สำหรับเรา เพราะเราไม่ใช่คนในครอบครัวของเค้า เค้ารักกันภายในครอบครัว ซึ่งคำว่า ครอบครัวของเค้า ไม่จำเป็นต้องมีเราในนั้น
ล่าสุด สามีเรามีความอยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ เพื่อใช้ในการถ่ายรูป ซึ่งราคาเกือบครึ่งแสน เราเลยบอกไปว่า ส่วนตัวเราไม่มีเงินมากขนาดนั้น ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้แล้ว เพราะเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เราขายของได้เงินมาก้อนนึง เราเอาเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซื้อที่ดิน 1 แปลง พร้อมกำลังก่อสร้างบ้านพักอาศัยไว้เพื่อปล่อยเช่า เราหวังเอาไว้ว่าเงินทุกบาทที่เรากำลังทำ เราหวังเพียงอนาคตลูกเราจะสบาย ไม่ต้องดิ้นรนและลำบากเหมือนอย่างเรา เรายอมรับว่าทุกวันนี้เหนื่อยมาก แต่ไม่สามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ใครรับฟังได้ และก็คงไม่มีใครอยากรับฟัง เราทำทั้งงานประจำ ทำงานบ้าน อาชีพเสริม ทั้งเลี้ยงลูกเอง เพราะลูกติดเรามาก วันหยุดคือแทบไม่มี วันไหนที่เหนื่อยมากก็แค่เอาเงินที่หาได้ไปใช้ซื้อความสุขให้ตัวเองกับครอบครัวบ้าง ไปทานข้าวนอกบ้าน ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่ได้หมกมุ่นเพียงจะหาเงินอย่างเดียวจนน่าเบื่อเกินไป
วันนี้ เค้าบอกเราว่า แม่เค้าเหนื่อยมากจากการต้องดูแลลูกให้เรา แม่สามีอายุ 50 กว่าๆ ไม่มีโรคประจำตัว แข็งแรง แต่ก่อนจะมีหลาย จะทำไร่ทำนาปกติของคนต่างจังหวัด ซึ่งเค้าก็คงเป็นห่วงแม่เค้า ซึ่งก็ไม่ผิด เราก็รู้สึกว่าถูกแล้วที่เคารักและเป็นห่วงแม่เค้า เค้าคอยถามไถ่แม่เค้าเสมอว่า แม่เหนื่อยไหม อะไรประมาณนี้ ซึ่งหลายครั้งเค้าก็คอยมีคำถามกับเราว่า ทางเราไม่คิดจะช่วยแม่เค้าเลี้ยงลูกบ้างเลยหรอ ทำไมต้องให้แม่เค้าเป็นคนที่ต้องดูแลลูกเราอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งๆที่เค้าก็รู้ว่าเราไม่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง แต่ก็ตั้งคำถามเชิงกดดันเราแบบนี้ตลอดเวลาที่ทะเลาะกันเรื่องลูก
หากถามถึงข้อเสียในตัวของเรา เรามีข้อเสียที่คิดว่าคนอื่นคงไม่ชอบอยู่อย่างนึงคือนิสัย ไม่ชอบใจอะไร= เงียบ โกรธ = เงียบ ซึ่งเราเป็นคนไม่ชอบพูด ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้นโดยเฉพาะเวลาที่ไม่สบายใจหรือเสียใจ เลยอาจทำให้รู้สึกเป็นคนที่คนอื่นเข้าถึงยาก คนรอบข้างอาจเดาใจไม่ถูก คือไม่รู้จะตามใจแบบไหนถึงจะดี ซึ่งถ้าคนที่รู้จักนิสัยเราจริงๆ จะบอกได้ว่าเรารั่วมาก เต็มที่กับทุกความสัมพันธ์ มีร้อยให้ร้อย แต่น้อยคนที่จะมีโอกาสเข้าถึงมันเท่านั้นเอง เราพยายามปรับปรุงในส่วนข้อเสียนี้และหวังว่าสักวันนึงมันจะต้องดีขึ้น
ณ ปัจจุบัน (วันนี้) เรามองว่า เราและสามีคงอาจไม่ได้ใช้อนาคตร่วมกันในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน อาจต้องได้ไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอในสักวันหนึ่ง เราคงต้องเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งเราคิดว่าถ้าวันนั้นมาถึงเราต้องทำได้ และคงทำได้ดีกว่าตอนนี้ เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆสภาพจิตใจเราคงดีขึ้นกว่านี้ รวมทั้งสภาพการเงินก็คงไม่ได้เดือดร้อน คงสามารถส่งเสียลูกได้สูงที่สุดตามที่เค้าอยากจะทำและอยากจะเป็น เราเพียงแค่รอเวลา และมันคงอีกไม่นาน เมื่ออะไรลงตัวและพร้อม เราและสามีคงต้องแยกทาง เราก็สงสารตัวเองและสงสารสามีไปพร้อมๆกันที่ต้องมาอดทนอยู่ด้วยกันทั้งๆที่ไม่มีความรักต่อกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเลยคือ สไตล์การใช้ชีวิต การดำเนินชีวิตของเรามันต่างกัน แม้แต่ทัศนคติหลายๆอย่างก็ต่างกันสิ้นเชิง และที่สำคัญที่สุดเลยคือเค้าไม่ได้รักเรา
((( เราแค่อยากรู้ จากนี้เราต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เราต้องทำตัวแบบไหน ต้องทำแบบไหนให้ลูกเสียใจน้อยสุด และให้เค้ามีความสุขที่สุดเท่าที่แม่คนนึงจะให้ได้ )))