ความรัก ที่ไม่ใช่ความรัก

เราไม่รู้จะเริ่มยังไงดีค่ะทุกคน  ความรู้สึกในใจตอนนี้  มันคือเต็มไปด้วยความอึดอัด  คับแค้นใจ  บางครั้งเราแอบสงสารตัวเอง  ที่ชีวิตต้องมาพบเจอแต่กับผู้คนรอบข้าง  ที่คอยสร้างแต่ความเสียใจให้เรา  หรือจริงๆแล้วคือตัวเราเองที่เก็บเอาความรู้สึกที่คนรอบข้างมีต่อเรา  กลับมาคิดมาบั่นทอนเพื่อทำร้ายตัวเราเอง
 
อดีตเราเป็นเด็กกำพร้า  ที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่  เพราะมีแม่ก็เหมือนว่าจะไม่มี  หลังจากที่แม่เลิกกับพ่อเรา  ตอนเราอายุ 3 ขวบ แม่ก็ไปเที่ยวคบหาผู้ชายมากหน้าหลายตาอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน  จนถึงปัจจุบันราว 30 กว่าปี  ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น  เราและแม่เลยต้องต่างคนต่างอยู่  ไม่พูดคุย  ไม่พึ่งพาอาศัย  ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกัน  ถ้าจะเรียกได้ว่ากำพร้าก็คงจะไม่ผิด
 
เรามีความอดทนและพยายามที่จะไขว่คว้าอนาคต  ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ  จนได้ทำงานที่คิดว่ามั่นคงสำหรับตัวเราในระดับนึง  จนเมื่อเรามาเจอผู้ชายคนนึง  ( ซึ่งอดีตเราเคยผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตคู่มาแล้วหนึ่งครั้ง)  ปัจจุบัน เราสองคนแต่งงาน  มีลูก  มีครอบครัวที่ค่อนข้างสมบูรณ์  สามีไม่สูบบุหรี่  มีดื่มและสังสรรค์บ้างในบางโอกาส  ซึ่งก็ถือเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้ชายที่ดีควรจะปฏิบัติ  งานบ้านก็จะมีช่วยทำบ้างเล็กๆน้อยๆ  แต่งานในบ้านส่วนใหญ่  เราจะเป็นคนรับผิดชอบ  
 
เราเริ่มมองหาอนาคต  กู้เงินมาสร้างบ้าน  มองหารายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ  ซึ่งรายได้เสริมก็ให้เรามีรายได้ 2-3 เท่าของงานประจำ  และเงินทุกบาทที่ได้ล้วนนำมาจุนเจือครอบครัว  งานที่เราทำเป็นงานขายของออนไลน์   และในช่วงแรกที่เราต้องลงทุน  เรารู้สึกเองได้ว่าสามีไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับงานนี้  เพราะเราดูจากปฏิกิริยาที่เค้ามีต่อเรา  ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมบ้านกัน  วิสัยของคนรักอย่างน้อย ๆแล้ว สามีภรรยาควรถามไถ่  พูดคุย  ปรึกษา  แต่สามีเรากลับไม่เคยพูดหรือถามไถ่เราเลย ว่าเรากำลังคิดหรือกำลังจะทำอะไรอยู่
 
 
สามีเราเป็นคนไม่รักความก้าวหน้า  เค้ามีความสุขกับการทำอะไรที่ถนัดเพียงด้านเดียว  ไม่อยากทำอะไรที่นอกเหนือจากที่ทำอยู่เดิม  ใช้ชีวิตอยู่แค่กับสิ่งที่ตัวเองรัก  เค้าพอใจแค่นั้น  ซึ่งเค้าไม่เคยมองมาที่เราและลูกเลยว่าเงินเดือนที่เค้าให้เราเดือนละหกพันบาท (เงินเดือนสามี เจ็ดพันห้าร้อยบาท)   มันจะเพียงพอต่อการดำรงชีวิตของทุกคนในครอบครัวรึป่าว  มีแค่เพียงเราที่พยายามทำตัวเป็นเสาหลัก ดิ้นรนทุกหาทาง จะล้มก็ล้มไม่ได้  แต่พอจะหาที่ยึดเหนี่ยวและกำลังใจก็กลับไม่มี
 
มีหลายครั้งที่ทะเลาะกัน  เรื่องการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ในช่วงแรกๆ  เราแค่พยายามผลักดันให้เค้าให้ความช่วยเหลือเราในการแพ็คสินค้าเพื่อเตรียมส่งลูกค้า  แต่เค้ากลับนอนเล่นเกมส์  กลายเป็นว่าทะเลาะกันหนักจนเกือบจะต้องไปหย่าขาดกัน   แต่เราต้องอดทนเพราะเราไม่มีใครคอยเลี้ยงลูกให้  
 
หลายครั้งที่ทะเลาะกัน  เค้าจะหยิบเอาเรื่องราวต่างๆที่เราเคยเสียใจเพราะผิดพลาดกับอดีตความรักที่จบลง  มาพูดเพื่อตอกย้ำ  กล่าวหาว่าเราเป็นคนนิสัยไม่ดี  สามีเก่าจึงต้องนอกใจเราไปมีแฟนใหม่  ทั้งๆที่แต่งงานกันแล้ว  ครั้งล่าสุดที่ทะเลาะกัน  วันนั้นเราซื้อเครื่องดื่ม  พร้อมกับแกล้มมาให้เค้าทานหลังจากที่เค้าช่วยเราแพ็คของส่งลูกค้าไปหลายกล่อง  เพื่อเป็นการตอบแทนเราเลยให้เค้าดื่มได้  แต่หลังจากดื่มไปจนหมดบวกกับเวลาค่อนข้างดึก  ซึ่งเราต้องพาลูกเข้านอน  เค้ากลับอยากออกไปดื่มต่อนอกบ้าน (ร้านเหล้า) ซึ่งเราบอกไปแล้วว่าคงไม่ดี  เพราะทั้งเมา  ทั้งจะขับรถไป  มันอันตรายมาก  แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น  สามีโมโหเรา  ด่าเราพาลทะเลาะกันไปใหญ่  สามีบอกเราเอาแต่บังคับให้เค้าอยู่แต่ในบ้าน  เค้าอยากออกไปดื่มนอกบ้านก็ไม่ได้  ทำไมต้องขอเหมือนขอแม่เลย  เราพยายามพูดและใจเย็น  จนสุดท้ายเรามาเสียใจหนักมากที่สุด กับคำพูดของสามี  “ วันจันทร์ไม่ต้องพาลูกไปให้แม่ฉันเลี้ยงนะ  ถ้าไม่ยอมให้ฉันไป ” แล้วเค้าก็ออกจากบ้านไป  ไปค้างที่ไหนอันนี้เราไม่สืบเลย  กลับมาอีกทีก็ค่ำของวันรุ่งขึ้น
 
เราต้องอดทน  พาลูกเราไปฝากไว้ให้แม่เค้าเลี้ยง  โดยค่าใช้จ่ายทุกอย่างเกี่ยวกับตัวลูก  เราเป็นคนออกทั้งหมด  รวมไปถึงค่าจ้างแม่สามีเลี้ยงดู  โดยให้เป็นน้ำใจเล็กน้อยก็ล้วนแต่มาจากเรา  เราเลยพูดกับเค้าไปว่า  เธอคิดว่าเงินเดือนที่ให้เราเดือนละหกพัน  มันพอที่จะใช้จ่ายหรือเหลือมาเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับตัวลูกรึป่าว  ทำไมไม่พยายามขวนขวายหรือดิ้นรนอะไรที่พอจะทำให้มีรายได้เข้ามาในครอบครัวให้มากกว่านี้บ้าง  เช่น  แค่หันมาดูว่าเราทำอะไร  มาหยิบจับช่วยเราบ้าง  โดยที่เราไม่ต้องขอร้องให้ทำ แค่นี้ก็เพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวแล้ว    ในส่วนของลูกซึ่งถ้าจะให้เราไม่เอาลูกไปฝากแม่คุณเลี้ยง  เราก็สามรถทำให้ได้  เพียงแค่ทางคุณ  ต้องออกเงินค่าจ้างพี่เลี้ยงลูกให้เรา  เดือนละ1 หมื่นบาท เพราะค่าใช้จ่ายทุกอย่างเกี่ยวกับตัวลูกเราเป็นคนออกให้  แล้ว  ถ้าทางคุณไม่ต้องการจะเลี้ยงลูกให้เรา  ก็ให้หาเงินมาช่วยเราออกค่าจ้างพี่เลี้ยง  สามีเราเงียบและให้เราเอาลูกไปให้แม่เค้าเลี้ยงเช่นเดิม
 
มีหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้น  ที่เราพยายามลบมันออกจากใจเท่าไหร่  แต่ก็ไม่สามารถทำได้ คือ  วันที่เราคลอดลูกให้เค้า   แม้เพียงคำเพียงคำเดียวเค้าก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเราเลยว่า  เจ็บไหม  เป็นยังไงบ้าง  เราเพียงแค่อยากได้ยินสักคำจากปากสามี  ในเวลาที่เราพึ่งผ่านความเป็นความตายจากการคลอดลูก  แต่ไม่เลย  เราไม่เคยได้ยินคำนั้นสักคำ  วันเกิดเรา  ไม่เคยมีเค้ก  ไม่มีของขวัญใดๆ  มีเพียงข้อความในเฟสที่แท๊กหา  สุขสันต์วันเกิด   
 
วันนั้นเป็นงานแข่งกีฬาของหน่วยงาน ซึ่งสามีและลูกไปกับเราด้วย  เรากำลังนั่งคุยกับเพื่อนร่วมงาน  นั่งแบบยองๆข้างสนามเปตอง  แล้วลูกเราวิ่งกระโจนเข้าหาเราซึ่งเราตั้งตัวไม่ทัน  หงายหลังเซ จะล้มก็ไม่ล้ม  มีพี่คนนึงพยายามคว้ามือเอาไว้แต่ไม่ทัน  ซึ่งสามียืนอยู่ใกล้ๆ  สามีคว้าตัวลูกเอาไว้  แล้วยืนมองดูเราล้มหงายหลัง  โดยที่ไม่แม้แต่จะยื่นมือมาดึงเราไว้บ้างเลย  
 
 
แม่สามีพูดกับชาวบ้านในวันแต่งงานของเราว่า  วันนี้แต่งเอาลูกสะใภ้เสียเงินไป 3 แสน  แต่หวังเผื่อจะได้สัก 3 ล้านกลับคืนมา  เราไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปพูดกับสามี  แม่สามีเป็นคนเลี้ยงลูกให้เราตั้งแต่ครบกำหนดลาคลอดแล้วเราต้องฝากลูกไว้เพื่อไปทำงาน  ซึ่งไปฝากเช้า  เย็นเลิกงานก็จะไปรับกลับบ้าน  เป็นบ้านที่เรากู้เงินมาสร้าง  ซึ่งสามีชอบว่าเราเป็นคนขอบสร้างหนี้  ชอบหาหนี้ใส่ตัว คนหนี้เยอะ  หลายครั้งที่คำพูดแบบนี้จะหลุดจากปากเค้าเวลาเราทะเลาะกัน  ซึ่งเงินใช้หนี้บ้านที่เราใช้อาศัยร่วมกันอยู่ทุกวันนี้  ก็เป็นเงินที่หักจากเงินเดือนเราทุกบาททุกสตางค์
 
 
แม่สามี  ไม่เคยสอนให้ลูกเราเรียกเราว่า  แม่  แต่แกจะสอนลูกเราให้เรียกทุกคนในครอบครัวสามีเรา  เช่น  ปู่  ย่า  พ่อ  อา (น้องสาวสามี)  แต่ดูเหมือนลูกจะยิ่งรักเรามากขึ้น   ยิ่งแม่สามีพยายามแยกลูกเราไปจากเราเท่าไหร่  ลูกก็เหมือนจะยิ่งติดเราขึ้นมากขึ้น  เพราะลูกเราคงรับรู้ว่าแม่ไม่มีใครในชีวิต แม่ยอมอดทนและลำบากเพื่อเค้า  เค้าจึงเกิดมาเพื่อเป็นลมหายใจ  และคอยเพิ่มพลังใจในชีวิตให้เรา  คำแรกที่ลูกเรียกได้  คือคำว่า  แม่  ทั้งๆที่ไม่มีคนสอน  แต่เค้าสามารถพูดออกมาได้จากสายสัมพันธ์และความรักที่เรามีให้เค้า
 
 
ทุกๆวันสำคัญในครอบครัวสามี  เช่น วันคล้ายวันเกิด  พ่อ  แม่  น้องสาว  สามีเราจะแอบมีเซอร์ไพรส์เป่าเค้กวันเกิด  เป็นแบบนี้แทบทุกปี  ซึ่งเราก็รู้สึกว่า  เค้าน่ารัก  ที่ทำตัวเป็นลูกชายที่น่ารักของครอบครัว  แต่คงไม่ใช่สำหรับเรา  เพราะเราไม่ใช่คนในครอบครัวของเค้า    เค้ารักกันภายในครอบครัว  ซึ่งคำว่า  ครอบครัวของเค้า  ไม่จำเป็นต้องมีเราในนั้น
 
 
ล่าสุด  สามีเรามีความอยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่  เพื่อใช้ในการถ่ายรูป  ซึ่งราคาเกือบครึ่งแสน  เราเลยบอกไปว่า  ส่วนตัวเราไม่มีเงินมากขนาดนั้น  ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้แล้ว  เพราะเมื่อต้นปีที่ผ่านมา  เราขายของได้เงินมาก้อนนึง   เราเอาเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  ซื้อที่ดิน 1 แปลง  พร้อมกำลังก่อสร้างบ้านพักอาศัยไว้เพื่อปล่อยเช่า  เราหวังเอาไว้ว่าเงินทุกบาทที่เรากำลังทำ  เราหวังเพียงอนาคตลูกเราจะสบาย  ไม่ต้องดิ้นรนและลำบากเหมือนอย่างเรา  เรายอมรับว่าทุกวันนี้เหนื่อยมาก  แต่ไม่สามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ใครรับฟังได้ และก็คงไม่มีใครอยากรับฟัง  เราทำทั้งงานประจำ  ทำงานบ้าน  อาชีพเสริม  ทั้งเลี้ยงลูกเอง  เพราะลูกติดเรามาก วันหยุดคือแทบไม่มี  วันไหนที่เหนื่อยมากก็แค่เอาเงินที่หาได้ไปใช้ซื้อความสุขให้ตัวเองกับครอบครัวบ้าง  ไปทานข้าวนอกบ้าน  ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่ได้หมกมุ่นเพียงจะหาเงินอย่างเดียวจนน่าเบื่อเกินไป
 
 
วันนี้  เค้าบอกเราว่า  แม่เค้าเหนื่อยมากจากการต้องดูแลลูกให้เรา  แม่สามีอายุ 50 กว่าๆ ไม่มีโรคประจำตัว  แข็งแรง  แต่ก่อนจะมีหลาย จะทำไร่ทำนาปกติของคนต่างจังหวัด  ซึ่งเค้าก็คงเป็นห่วงแม่เค้า  ซึ่งก็ไม่ผิด  เราก็รู้สึกว่าถูกแล้วที่เคารักและเป็นห่วงแม่เค้า  เค้าคอยถามไถ่แม่เค้าเสมอว่า  แม่เหนื่อยไหม  อะไรประมาณนี้  ซึ่งหลายครั้งเค้าก็คอยมีคำถามกับเราว่า  ทางเราไม่คิดจะช่วยแม่เค้าเลี้ยงลูกบ้างเลยหรอ  ทำไมต้องให้แม่เค้าเป็นคนที่ต้องดูแลลูกเราอยู่ฝ่ายเดียว  ทั้งๆที่เค้าก็รู้ว่าเราไม่มีพ่อแม่  ญาติพี่น้อง  แต่ก็ตั้งคำถามเชิงกดดันเราแบบนี้ตลอดเวลาที่ทะเลาะกันเรื่องลูก

 
หากถามถึงข้อเสียในตัวของเรา  เรามีข้อเสียที่คิดว่าคนอื่นคงไม่ชอบอยู่อย่างนึงคือนิสัย  ไม่ชอบใจอะไร= เงียบ  โกรธ = เงียบ  ซึ่งเราเป็นคนไม่ชอบพูด  ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้นโดยเฉพาะเวลาที่ไม่สบายใจหรือเสียใจ  เลยอาจทำให้รู้สึกเป็นคนที่คนอื่นเข้าถึงยาก  คนรอบข้างอาจเดาใจไม่ถูก    คือไม่รู้จะตามใจแบบไหนถึงจะดี  ซึ่งถ้าคนที่รู้จักนิสัยเราจริงๆ  จะบอกได้ว่าเรารั่วมาก  เต็มที่กับทุกความสัมพันธ์  มีร้อยให้ร้อย  แต่น้อยคนที่จะมีโอกาสเข้าถึงมันเท่านั้นเอง  เราพยายามปรับปรุงในส่วนข้อเสียนี้และหวังว่าสักวันนึงมันจะต้องดีขึ้น

 
ณ ปัจจุบัน (วันนี้) เรามองว่า  เราและสามีคงอาจไม่ได้ใช้อนาคตร่วมกันในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน  อาจต้องได้ไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอในสักวันหนึ่ง  เราคงต้องเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว  ซึ่งเราคิดว่าถ้าวันนั้นมาถึงเราต้องทำได้  และคงทำได้ดีกว่าตอนนี้  เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆสภาพจิตใจเราคงดีขึ้นกว่านี้  รวมทั้งสภาพการเงินก็คงไม่ได้เดือดร้อน  คงสามารถส่งเสียลูกได้สูงที่สุดตามที่เค้าอยากจะทำและอยากจะเป็น  เราเพียงแค่รอเวลา  และมันคงอีกไม่นาน  เมื่ออะไรลงตัวและพร้อม  เราและสามีคงต้องแยกทาง  เราก็สงสารตัวเองและสงสารสามีไปพร้อมๆกันที่ต้องมาอดทนอยู่ด้วยกันทั้งๆที่ไม่มีความรักต่อกัน  ทั้งนี้ทั้งนั้นเลยคือ สไตล์การใช้ชีวิต  การดำเนินชีวิตของเรามันต่างกัน  แม้แต่ทัศนคติหลายๆอย่างก็ต่างกันสิ้นเชิง  และที่สำคัญที่สุดเลยคือเค้าไม่ได้รักเรา    

((( เราแค่อยากรู้  จากนี้เราต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง  เราต้องทำตัวแบบไหน  ต้องทำแบบไหนให้ลูกเสียใจน้อยสุด และให้เค้ามีความสุขที่สุดเท่าที่แม่คนนึงจะให้ได้ )))
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่