‘โทนี’ แฉ สวัสดิการหลังเกษียณ ไทยน้อยหน้าอินเดีย สะท้อนระบบราชการแย่-คนจนอื้อ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3412916
‘โทนี’ แฉ สวัสดิการหลังเกษียณ ไทยน้อยหน้าอินเดีย สะท้อนระบบราชการแย่-คนจนอื้อ แนะปั้นเยาวชนเก่งการเงิน ปูทางระบบดิจิไทเซชัน
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 21 มิถุนายน เฟซบุ๊ก
CARE • แคร์ คิด เคลื่อน ไทย ได้ไลฟ์สด การพูดคุยกับ
โทนี วู้ดซัม หรือ นาย
ทักษิณ ชินวัตร ในหัวข้อ เศรษฐกิจพังยับ ประยุทธ์รับมือไม่ไหว
โดยระหว่างการไลฟ์สด กล่าวว่า ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ น่าเป็นห่วงแน่นอน เพราะส่งผลกระทบไปทั่วโลก แต่ประเทศไทยอ่อนแอกว่าเพื่อนจึงหนักหน่อย ประกอบกับไม่มีการเตรียมการอะไรเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่กำลังจะถาโถมเข้ามา เหมือนทะเลกำลังคลั่ง แต่มีกัปตันที่ไปเรื่อยๆ คล้ายกัปตันเรือปู ไม่คิดจะโต้คลื่นหรือต่อแพ ไม่มียุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เร่งด่วนในการแก้ปัญหา ว่าจะต่อสู้ หรือโต้คลื่นนี้อย่างไร เพื่อให้เรือไม่อับปาง
ทั้งนี้ พบบทความหนึ่งน่าสนใจ ระบุว่า ปัจจุบันมีมหาเศรษฐีระดับโลกจำนวนมากย้ายที่อยู่ โดยประเทศที่เศรษฐีเหล่านี้ย้ายออก เช่น รัสเซีย จีน อินเดีย ฮ่องกง ยูเครน บราซิล เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่การเมือง และกฎหมายไม่แน่นอน รวมถึงเป็นระบบ [เผด็จการ]
ขณะที่ ประเทศที่เศรษฐีย้ายเข้า ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ทั้งที่เป็นประเทศขนาดเล็ก เพราะระบบกฎหมายมีความชัดเจน ทุกอย่างสามารถคาดการณ์ได้ และมั่นใจได้ว่า เราจะไม่ถูกกลั่นแกล้ง ไม่ถูกยึดทรัพย์ อีกทั้งเป็นประเทศที่ไม่มีกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศใดเลย ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจสหรัฐอเมริกา เป็นเอกราชอย่างแท้จริง ถัดมา คือ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อิสราเอล สหรัฐอเมริกา และนิวซีแลนด์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นเยอะ ขณะที่เศรษฐีเก่าก็มีอยู่ เริ่มหาที่อยู่ที่รู้สึกปลอดภัย โดยเฉพาะคนจากจีนและรัสเซียจะย้ายออกเยอะที่สุด
และมีการจัดอันดับ 43 ประเทศทั่วโลก ถึงประเทศที่มีสวัสดิการหลังเกษียณอายุที่ดี พบว่า ประเทศไทยแย่ที่สุด อยู่ที่ 40.6% สู้ฟิลิปปินส์ไม่ได้ อยู่ที่ 42.7% อินเดีย อยู่ที่ 43.3% ยังดีกว่า ขณะที่ประชากรมีจำนวนมาก โดยประเทศที่อยู่ในอันดับที่ดี ได้แก่ ไอซ์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวีเดน ส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (ไอเอ็มดี) พบว่า ปีนี้ประเทศไทยหล่นจากอันดับ 28 เป็น 33 ส่วนสิงคโปร์ ฮ่องกง อยู่ในลำดับที่ดีขึ้น
“ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนประชากรยากจนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เกษียณอายุ หรือผู้สูงวัย ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่สะท้อนปัญหา ดังนั้น ต้องรีบแก้ไข วางระบบการดูแลให้ดี ขณะเดียวกัน จะเห็นได้ว่า ประสิทธิภาพของระบบราชการมีปัญหา จึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องแก้ไข หลังจากที่เราจมอยู่กับระบบ [เผด็จการ] เป็นเวลานาน”
ปัจจุบันต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกามีการเตรียมความพร้อมเยาวชน ตั้งแต่ระดับไฮสกูลให้เรียนรู้เรื่องการเงินการคลังของตัวเอง เพื่อจบการศึกษาแล้วจะสามารถวางแผนชีวิตได้ บางคนมีความรู้นำเงินไปลงทุนขณะเรียน มีเงินใช้ตั้งแต่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย โดยไม่ต้องอาศัยเงินจากผู้ปกครอง ดังนั้น ต้องเติมความรู้ให้เด็กของเราได้แล้ว เพราะโตขึ้นอาจไม่สามารถต่อสู้ แข่งขันกับใครได้
ทั้งนี้ มีวิศวกรของกูเกิล พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) แชตบอท คล้ายมนุษย์มีชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสามารถโต้ตอบได้อย่างแนบเนียน ด้วยข้อมูลจำนวนมากที่ให้เอไอได้ประมวลผลและทำงาน โดยเชื่อว่า อีก 23 ปีข้างหน้า เอไอจะมีความสามารถเทียบเท่ากับมันสมองของมนุษย์โดยเฉลี่ยได้ ดังนั้น หากใครมีระดับมันสมองที่ต่ำกว่าเอไอ จะโง่กว่าทันที ดังนั้น ต้องเร่งฝึกเด็กไทยตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่ให้ด้อยกว่าประเทศอื่นๆ
ขณะที่ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งที่สองของสหรัฐอเมริกา หรือแนสแด็ก ระบุว่า อีก 30 ปีข้างหน้า โลกจะเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ จะเข้าสู่ระบบดิจิไทเซชัน หรือการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยสินทรัพย์ทุกตัวในโลกนี้ จะถูกดิจิไททั้งหมด และจะเปลี่ยนเป็นการซื้อขายโดยดิจิทัลทั้งหมด แน่นอนว่าคริปโทเคอร์เรนซีต้องออกมา การซื้อขายจะกว้างขวางทั่วโลก ดังนั้น ต้องเริ่มปูความรู้ใหม่ๆ เหล่านี้ให้เด็กๆ ได้แล้ว
ทักษิณชี้ แบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยแน่ แนะนักลงทุนแช่หุ้นไว้ก่อน
https://www.prachachat.net/politics/news-960577
ทักษิณชี้ แบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยแน่ แนะผู้ลงทุนไม่ว่าจะในหุ้นหรือบิทคอยน์ ควรปล่อยทิ้งไว้ก่อน ไม่ขาย ไม่ขาดทุน
วันที่ 22 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก
CARE แคร์ คิด เคลื่อน ไทย ได้ไลฟ์พูดคุยกับ
โทนี วู้ดซัม หรือ นาย
ทักษิณ ชินวัตร ในรายการ CareTalk X CareClubhouse เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา หัวข้อ
เศรษฐกิจพังยับ ประยุทธ์รับมือไม่ไหว
ในไลฟ์ครั้งนี้ พูดคุยในกรณี หากยึดตามประกาศ
“ถอดหน้ากากอนามัย” ของรัฐแล้ว ดูเหมือนประเทศกำลังจะผ่านพ้นวิกฤตจากโรคระบาดที่คนไทยเจอมาตลอดเกือบ 3 ปี แต่เมื่อเรา
“ถอดหน้ากาก” แล้ว กลับพบ “
ความจริงอันเจ็บปวด” ที่รอเราอยู่คือ มหาวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ตรงหน้า!!
น้ำมันแพงขึ้นทุกสัปดาห์จนอยากจอดรถทิ้งไว้ที่บ้าน ของแพงตะลีตะลานขึ้นทุกทีไม่มีเว้นแม้แต่มาม่า ค่าไฟแพงจนหลังและบ่าของคนทำงานที่บ้านแอ่นรับไม่ไหว เงินเฟ้อก็ช่างกระไรเฟ้อได้เฟ้อเอา คอยเฝ้าดูดอกเบี้ยของแบงค์ชาติให้ดีๆขึ้นแน่ๆเร็วๆนี้ ค่าแรงของน้องพี่ก็ยังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คนจนไม่มีกินคนเดินดินไม่มีตังค์ ธุรกิจเล็กใหญ่พังยับจนนับซากไม่ทัน ปลดคนกันจ้าละหวั่นหั่นรายจ่ายก่อนวายวอด
นี่คือ
“ความจริงหลังถอดหน้ากากอนามัย” ที่คนไทยต้องรับมือ ซ้ำร้ายเรายังมี
“หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ที่อ้างว่าทำงานหนัก แต่กลับทำไม่เป็น ปล่อยให้ปัญหาทุกเรื่องเป็นดินพอกหางหมูมา 8 ปี จนกลายเป็น
“ความ-ิบหายสะสม” ประหนึ่งทิ้งสิ่งสกปรกโสโครก ไว้ให้คนรุ่นถัดไปต้องมานั่งรับผิดชอบ!
โดยระหว่างการไลฟ์สด กล่าวว่า ปัจจุบันคนกลัวความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% สู่ระดับ 1.5%-1.75% ในการประชุมวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี เช่นเดียวกับ ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ -0.25% จากระดับ -0.75% เป็นขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 15 ปี
“ของไทย แม้จะพยายามไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่เชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) จะพิจารณาปรับขึ้นแน่นอน หนีไม่พ้น เพราะไม่ปรับขึ้นจะส่งผลให้ เงินไหลออกมหาศาล”
เรื่องถัดมา ที่หลายคนเป็นกังวล คือ อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลพวงจากพลังงานและอาหาร ซึ่งขณะนี้ทางยุโรปโวยวายว่า รัสเซียไปบล็อกไว้ แต่ส่วนตัวมองว่า หากเป็นรัสเซียก็ต้องบล็อกเหมือนกัน เพราะเล่นออกมาตรการแซงก์ชั่นทุกอย่างแบบนั้น ตอนทำคนอื่นไม่ร้อง พอเขาทำกลับแล้วมาร้อง
จึงทำให้ระบบอาหารมีปัญหา เพราะ 30% ของการบริโภคข้าวสาลีมาจากยูเครน ฝั่งที่รัสเซียยึดครอง กับรัสเซียรวมกัน ดังนั้น การที่ข้าวสาลีหายไป 30% อาหารโลกย่อมขาดแคลนแน่นอน และมีปัญหาอื่นตามมาจำนวนมาก เพราะน้ำมันแพง การทำการเกษตรเริ่มไม่คุ้มค่า ดังนั้น อาหาร เงินเฟ้อ รวมถึงราคาพลังที่เพิ่มสูงขึ้น จึงกลายเป็นวิกฤตทั้งหมด
ขณะเดียวกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกมาระบุว่า อาวุธที่สหรัฐอเมริกาส่งไปให้ยูเครน ในที่สุดจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ด้าน นาย
เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ก็ออกมาพูดว่า สงครามยูเครนและรัสเซีย ส่งสัญญาณยืดเยื้อหลายปี ส่งผลให้ของที่ต้องเก็งกำไร ราคาร่วงทั่วโลก หุ้นก็ร่วง ขณะที่ เงินลงทุนในไทยเริ่มไหลออก
“ขอแนะนำในฐานะนักเล่นหุ้นเหมือนกัน ถึงผู้ลงทุนไม่ว่าจะในหุ้นหรือบิทคอยน์ ถ้าเก็บเงินแช่ไว้ในกระเป๋าได้ควรเก็บ หากขาดทุนเยอะก็แช่ไว้ก่อน ไม่ขายไม่ขาดทุน ไม่ต้องรีบซื้อเวลานี้ แม้ราคาจะต่ำ ระยะนี้เชื่อว่าราคาไม่ไปไหนไกล เพราะความกลัวของทั่วโลกเกิดขึ้นพร้อมกัน จึงเชื่อว่าราคาหุ้นหรืออะไรต่างๆ ยังคงไม่ปรับขึ้น หรือปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากอาวุธนิวเคลียร์ลงประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็ตัวใครตัวมัน”
แม่ค้าเมิน ‘เตามหาเศรษฐี’คุมอุณหภูมิไม่ได้ แนะช่วยเหลือราคาแก๊สดีกว่า
https://www.dailynews.co.th/news/1171275/
พ่อค้าแม่ค้าเมืองสมุทรปราการ เมินใช้เตาถ่านมหาเศรษฐี เหตุควบคุมความร้อนไม่ได้ อีกทั้งลำบากในการใช้ คำนวณแล้วไม่ได้ประหยัด พร้อมแนะให้หาวิธีช่วยเหลือประชาชนเรื่องแก๊สขึ้นราคาจะดีกว่า.
จากกรณีที่เพจกระทรวงพลังงาน ได้แชร์โพสต์ของ เพจกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ที่ระบุว่า #รวมพลังคนไทยลดใช้พลังงานหาร 2 เตามหาเศรษฐี ร้อนสูง ประหยัดถ่าน ทนทาน ช่วยประหยัดเงิน วันนี้ พพ ขอนำเสนอ เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง หรือ เตาซุปเปอร์อั้งโล่ ซึ่งเป็นเตาที่พัฒนาขึ้นมาทดแทนเตาอั้งโล่ตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งมีประสิทธิภาพเชิงความร้อนมากกว่าเตาอั้งโล่ตามท้องตลาดถึง 29% ถ้าหากตามบ้านเรือนหันมาใช้เตามหาเศรษฐีจะสามารถประหยัดไม้ ฟืนและถ่านที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ถึง 500-600 บาท/ครัวเรือน/ปี และช่วยลดการใช้แก๊ส LPG ในครัวเรือน ในลักษณะที่เชิญชวนประชาชนมาใช้เตาถ่าน เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน โดยการใช้ถ่ายลดการใช้แก๊ส ในการประกอบอาหาร โดยหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ลงในโลกโซเชียล ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ร้านอาหารตามสั่ง ในพื้นที่ ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ สอบถามเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง ที่ต้องทำอาหารจานด่วนแทบจะทั้งวัน กล่าวว่า ตามที่กระทรวงพลังงานแนะนำให้ใช้เตาถ่านนั้น คงไม่ได้ เนื่องจากเร่งความร้อนไม่ได้ ไม่ใช่ยุคเก่านะที่จะมาใช้เตาถ่าน โดยที่ช่วงเย็นลูกค้าเข้ามาร้านเยอะ ถ้าเป็นเตาถ่าน เราไม่สามารถควบคุมความร้อนได้ กว่าจะประกอบอาหารเสร็จลูกค้าหายหมด ส่วนการสิ้นเปลือง ตนคิดว่าถ่านน่าจะเปลืองกว่า และ ว่าจะจุดไฟให้ติดก็ลำบากกว่า ก็ไม่รู้จะเก็บถ่านไว้ตรงไหน โดยถ้าเป็นต่างจังหวัดตนคิดว่าพอได้ แต่ที่นี่มันในเมือง ทั้งควันไฟ ทั้งกลิ่นอีก อยากถามว่านี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดแล้วหรือที่แนะนำให้ใช้เตาถ่าน ไปดูวิธีช่วยเหลือประชาชนเรื่องแก๊สขึ้นราคาจะดีกว่า
ขณะที่แม่ค้าร้านขายไก่ บอกว่า ตามที่แนะนำให้ใช้เตาถ่านนั้น ก็ใช้ได้นะแต่ว่ามันช้ากว่าไก่จะสุก ไม่เหมือนแก๊สที่สามารถเร่งความร้อนได้ทำให้ไก่สุกไวและกรอบ แล้วที่มาคิดปริมาณถ่านที่ใช้ต่อเดือนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้แก๊ส โดยถ้าใช้ถ่านวันหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 3 ถุง ถุงละ 20 -25 บาท ไม่ต่ำกว่า 60 บาทต่อวัน คิดแล้วใช้แก๊สถูกกว่าด้วย โดยหลักๆ การใช้ถ่านนั้นเราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ รวมทั้งควัน กลิ่น ของถ่าน
ส่วนร้านก๋วยเตี๋ยว เปิดขายอยู่ริมถนนเทพารักษ์ ใน อ.บางพลี บอกว่า ถ้าเปลี่ยนจากการใช้แก๊สมาใช้ถ่านจะมีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิ และถ่านเดียวนี้ก็หาซื้อยาก เผาเองก็กลัวเจ้าหน้าที่จับ
JJNY : ‘โทนี’แฉสวัสดิการหลังเกษียณ│ทักษิณชี้แบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยแน่│แม่ค้าเมิน ‘เตามหาเศรษฐี’│“พท.”รอเคาะคนอภิปราย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3412916
‘โทนี’ แฉ สวัสดิการหลังเกษียณ ไทยน้อยหน้าอินเดีย สะท้อนระบบราชการแย่-คนจนอื้อ แนะปั้นเยาวชนเก่งการเงิน ปูทางระบบดิจิไทเซชัน
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 21 มิถุนายน เฟซบุ๊ก CARE • แคร์ คิด เคลื่อน ไทย ได้ไลฟ์สด การพูดคุยกับ โทนี วู้ดซัม หรือ นายทักษิณ ชินวัตร ในหัวข้อ เศรษฐกิจพังยับ ประยุทธ์รับมือไม่ไหว
โดยระหว่างการไลฟ์สด กล่าวว่า ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ น่าเป็นห่วงแน่นอน เพราะส่งผลกระทบไปทั่วโลก แต่ประเทศไทยอ่อนแอกว่าเพื่อนจึงหนักหน่อย ประกอบกับไม่มีการเตรียมการอะไรเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่กำลังจะถาโถมเข้ามา เหมือนทะเลกำลังคลั่ง แต่มีกัปตันที่ไปเรื่อยๆ คล้ายกัปตันเรือปู ไม่คิดจะโต้คลื่นหรือต่อแพ ไม่มียุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เร่งด่วนในการแก้ปัญหา ว่าจะต่อสู้ หรือโต้คลื่นนี้อย่างไร เพื่อให้เรือไม่อับปาง
ทั้งนี้ พบบทความหนึ่งน่าสนใจ ระบุว่า ปัจจุบันมีมหาเศรษฐีระดับโลกจำนวนมากย้ายที่อยู่ โดยประเทศที่เศรษฐีเหล่านี้ย้ายออก เช่น รัสเซีย จีน อินเดีย ฮ่องกง ยูเครน บราซิล เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่การเมือง และกฎหมายไม่แน่นอน รวมถึงเป็นระบบ [เผด็จการ]
ขณะที่ ประเทศที่เศรษฐีย้ายเข้า ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ทั้งที่เป็นประเทศขนาดเล็ก เพราะระบบกฎหมายมีความชัดเจน ทุกอย่างสามารถคาดการณ์ได้ และมั่นใจได้ว่า เราจะไม่ถูกกลั่นแกล้ง ไม่ถูกยึดทรัพย์ อีกทั้งเป็นประเทศที่ไม่มีกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศใดเลย ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจสหรัฐอเมริกา เป็นเอกราชอย่างแท้จริง ถัดมา คือ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อิสราเอล สหรัฐอเมริกา และนิวซีแลนด์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นเยอะ ขณะที่เศรษฐีเก่าก็มีอยู่ เริ่มหาที่อยู่ที่รู้สึกปลอดภัย โดยเฉพาะคนจากจีนและรัสเซียจะย้ายออกเยอะที่สุด
และมีการจัดอันดับ 43 ประเทศทั่วโลก ถึงประเทศที่มีสวัสดิการหลังเกษียณอายุที่ดี พบว่า ประเทศไทยแย่ที่สุด อยู่ที่ 40.6% สู้ฟิลิปปินส์ไม่ได้ อยู่ที่ 42.7% อินเดีย อยู่ที่ 43.3% ยังดีกว่า ขณะที่ประชากรมีจำนวนมาก โดยประเทศที่อยู่ในอันดับที่ดี ได้แก่ ไอซ์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวีเดน ส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (ไอเอ็มดี) พบว่า ปีนี้ประเทศไทยหล่นจากอันดับ 28 เป็น 33 ส่วนสิงคโปร์ ฮ่องกง อยู่ในลำดับที่ดีขึ้น
“ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนประชากรยากจนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เกษียณอายุ หรือผู้สูงวัย ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่สะท้อนปัญหา ดังนั้น ต้องรีบแก้ไข วางระบบการดูแลให้ดี ขณะเดียวกัน จะเห็นได้ว่า ประสิทธิภาพของระบบราชการมีปัญหา จึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องแก้ไข หลังจากที่เราจมอยู่กับระบบ [เผด็จการ] เป็นเวลานาน”
ปัจจุบันต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกามีการเตรียมความพร้อมเยาวชน ตั้งแต่ระดับไฮสกูลให้เรียนรู้เรื่องการเงินการคลังของตัวเอง เพื่อจบการศึกษาแล้วจะสามารถวางแผนชีวิตได้ บางคนมีความรู้นำเงินไปลงทุนขณะเรียน มีเงินใช้ตั้งแต่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย โดยไม่ต้องอาศัยเงินจากผู้ปกครอง ดังนั้น ต้องเติมความรู้ให้เด็กของเราได้แล้ว เพราะโตขึ้นอาจไม่สามารถต่อสู้ แข่งขันกับใครได้
ทั้งนี้ มีวิศวกรของกูเกิล พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) แชตบอท คล้ายมนุษย์มีชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสามารถโต้ตอบได้อย่างแนบเนียน ด้วยข้อมูลจำนวนมากที่ให้เอไอได้ประมวลผลและทำงาน โดยเชื่อว่า อีก 23 ปีข้างหน้า เอไอจะมีความสามารถเทียบเท่ากับมันสมองของมนุษย์โดยเฉลี่ยได้ ดังนั้น หากใครมีระดับมันสมองที่ต่ำกว่าเอไอ จะโง่กว่าทันที ดังนั้น ต้องเร่งฝึกเด็กไทยตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่ให้ด้อยกว่าประเทศอื่นๆ
ขณะที่ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งที่สองของสหรัฐอเมริกา หรือแนสแด็ก ระบุว่า อีก 30 ปีข้างหน้า โลกจะเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ จะเข้าสู่ระบบดิจิไทเซชัน หรือการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยสินทรัพย์ทุกตัวในโลกนี้ จะถูกดิจิไททั้งหมด และจะเปลี่ยนเป็นการซื้อขายโดยดิจิทัลทั้งหมด แน่นอนว่าคริปโทเคอร์เรนซีต้องออกมา การซื้อขายจะกว้างขวางทั่วโลก ดังนั้น ต้องเริ่มปูความรู้ใหม่ๆ เหล่านี้ให้เด็กๆ ได้แล้ว
ทักษิณชี้ แบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยแน่ แนะนักลงทุนแช่หุ้นไว้ก่อน
https://www.prachachat.net/politics/news-960577
ทักษิณชี้ แบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยแน่ แนะผู้ลงทุนไม่ว่าจะในหุ้นหรือบิทคอยน์ ควรปล่อยทิ้งไว้ก่อน ไม่ขาย ไม่ขาดทุน
วันที่ 22 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก CARE แคร์ คิด เคลื่อน ไทย ได้ไลฟ์พูดคุยกับ โทนี วู้ดซัม หรือ นายทักษิณ ชินวัตร ในรายการ CareTalk X CareClubhouse เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา หัวข้อ เศรษฐกิจพังยับ ประยุทธ์รับมือไม่ไหว
ในไลฟ์ครั้งนี้ พูดคุยในกรณี หากยึดตามประกาศ “ถอดหน้ากากอนามัย” ของรัฐแล้ว ดูเหมือนประเทศกำลังจะผ่านพ้นวิกฤตจากโรคระบาดที่คนไทยเจอมาตลอดเกือบ 3 ปี แต่เมื่อเรา “ถอดหน้ากาก” แล้ว กลับพบ “ความจริงอันเจ็บปวด” ที่รอเราอยู่คือ มหาวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ตรงหน้า!!
น้ำมันแพงขึ้นทุกสัปดาห์จนอยากจอดรถทิ้งไว้ที่บ้าน ของแพงตะลีตะลานขึ้นทุกทีไม่มีเว้นแม้แต่มาม่า ค่าไฟแพงจนหลังและบ่าของคนทำงานที่บ้านแอ่นรับไม่ไหว เงินเฟ้อก็ช่างกระไรเฟ้อได้เฟ้อเอา คอยเฝ้าดูดอกเบี้ยของแบงค์ชาติให้ดีๆขึ้นแน่ๆเร็วๆนี้ ค่าแรงของน้องพี่ก็ยังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คนจนไม่มีกินคนเดินดินไม่มีตังค์ ธุรกิจเล็กใหญ่พังยับจนนับซากไม่ทัน ปลดคนกันจ้าละหวั่นหั่นรายจ่ายก่อนวายวอด
นี่คือ “ความจริงหลังถอดหน้ากากอนามัย” ที่คนไทยต้องรับมือ ซ้ำร้ายเรายังมี “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ที่อ้างว่าทำงานหนัก แต่กลับทำไม่เป็น ปล่อยให้ปัญหาทุกเรื่องเป็นดินพอกหางหมูมา 8 ปี จนกลายเป็น “ความ-ิบหายสะสม” ประหนึ่งทิ้งสิ่งสกปรกโสโครก ไว้ให้คนรุ่นถัดไปต้องมานั่งรับผิดชอบ!
โดยระหว่างการไลฟ์สด กล่าวว่า ปัจจุบันคนกลัวความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% สู่ระดับ 1.5%-1.75% ในการประชุมวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี เช่นเดียวกับ ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ -0.25% จากระดับ -0.75% เป็นขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 15 ปี
“ของไทย แม้จะพยายามไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่เชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) จะพิจารณาปรับขึ้นแน่นอน หนีไม่พ้น เพราะไม่ปรับขึ้นจะส่งผลให้ เงินไหลออกมหาศาล”
เรื่องถัดมา ที่หลายคนเป็นกังวล คือ อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลพวงจากพลังงานและอาหาร ซึ่งขณะนี้ทางยุโรปโวยวายว่า รัสเซียไปบล็อกไว้ แต่ส่วนตัวมองว่า หากเป็นรัสเซียก็ต้องบล็อกเหมือนกัน เพราะเล่นออกมาตรการแซงก์ชั่นทุกอย่างแบบนั้น ตอนทำคนอื่นไม่ร้อง พอเขาทำกลับแล้วมาร้อง
จึงทำให้ระบบอาหารมีปัญหา เพราะ 30% ของการบริโภคข้าวสาลีมาจากยูเครน ฝั่งที่รัสเซียยึดครอง กับรัสเซียรวมกัน ดังนั้น การที่ข้าวสาลีหายไป 30% อาหารโลกย่อมขาดแคลนแน่นอน และมีปัญหาอื่นตามมาจำนวนมาก เพราะน้ำมันแพง การทำการเกษตรเริ่มไม่คุ้มค่า ดังนั้น อาหาร เงินเฟ้อ รวมถึงราคาพลังที่เพิ่มสูงขึ้น จึงกลายเป็นวิกฤตทั้งหมด
ขณะเดียวกัน โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกมาระบุว่า อาวุธที่สหรัฐอเมริกาส่งไปให้ยูเครน ในที่สุดจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ด้าน นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ก็ออกมาพูดว่า สงครามยูเครนและรัสเซีย ส่งสัญญาณยืดเยื้อหลายปี ส่งผลให้ของที่ต้องเก็งกำไร ราคาร่วงทั่วโลก หุ้นก็ร่วง ขณะที่ เงินลงทุนในไทยเริ่มไหลออก
“ขอแนะนำในฐานะนักเล่นหุ้นเหมือนกัน ถึงผู้ลงทุนไม่ว่าจะในหุ้นหรือบิทคอยน์ ถ้าเก็บเงินแช่ไว้ในกระเป๋าได้ควรเก็บ หากขาดทุนเยอะก็แช่ไว้ก่อน ไม่ขายไม่ขาดทุน ไม่ต้องรีบซื้อเวลานี้ แม้ราคาจะต่ำ ระยะนี้เชื่อว่าราคาไม่ไปไหนไกล เพราะความกลัวของทั่วโลกเกิดขึ้นพร้อมกัน จึงเชื่อว่าราคาหุ้นหรืออะไรต่างๆ ยังคงไม่ปรับขึ้น หรือปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากอาวุธนิวเคลียร์ลงประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็ตัวใครตัวมัน”
แม่ค้าเมิน ‘เตามหาเศรษฐี’คุมอุณหภูมิไม่ได้ แนะช่วยเหลือราคาแก๊สดีกว่า
https://www.dailynews.co.th/news/1171275/
พ่อค้าแม่ค้าเมืองสมุทรปราการ เมินใช้เตาถ่านมหาเศรษฐี เหตุควบคุมความร้อนไม่ได้ อีกทั้งลำบากในการใช้ คำนวณแล้วไม่ได้ประหยัด พร้อมแนะให้หาวิธีช่วยเหลือประชาชนเรื่องแก๊สขึ้นราคาจะดีกว่า.
จากกรณีที่เพจกระทรวงพลังงาน ได้แชร์โพสต์ของ เพจกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ที่ระบุว่า #รวมพลังคนไทยลดใช้พลังงานหาร 2 เตามหาเศรษฐี ร้อนสูง ประหยัดถ่าน ทนทาน ช่วยประหยัดเงิน วันนี้ พพ ขอนำเสนอ เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง หรือ เตาซุปเปอร์อั้งโล่ ซึ่งเป็นเตาที่พัฒนาขึ้นมาทดแทนเตาอั้งโล่ตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งมีประสิทธิภาพเชิงความร้อนมากกว่าเตาอั้งโล่ตามท้องตลาดถึง 29% ถ้าหากตามบ้านเรือนหันมาใช้เตามหาเศรษฐีจะสามารถประหยัดไม้ ฟืนและถ่านที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ถึง 500-600 บาท/ครัวเรือน/ปี และช่วยลดการใช้แก๊ส LPG ในครัวเรือน ในลักษณะที่เชิญชวนประชาชนมาใช้เตาถ่าน เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน โดยการใช้ถ่ายลดการใช้แก๊ส ในการประกอบอาหาร โดยหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ลงในโลกโซเชียล ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ร้านอาหารตามสั่ง ในพื้นที่ ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ สอบถามเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง ที่ต้องทำอาหารจานด่วนแทบจะทั้งวัน กล่าวว่า ตามที่กระทรวงพลังงานแนะนำให้ใช้เตาถ่านนั้น คงไม่ได้ เนื่องจากเร่งความร้อนไม่ได้ ไม่ใช่ยุคเก่านะที่จะมาใช้เตาถ่าน โดยที่ช่วงเย็นลูกค้าเข้ามาร้านเยอะ ถ้าเป็นเตาถ่าน เราไม่สามารถควบคุมความร้อนได้ กว่าจะประกอบอาหารเสร็จลูกค้าหายหมด ส่วนการสิ้นเปลือง ตนคิดว่าถ่านน่าจะเปลืองกว่า และ ว่าจะจุดไฟให้ติดก็ลำบากกว่า ก็ไม่รู้จะเก็บถ่านไว้ตรงไหน โดยถ้าเป็นต่างจังหวัดตนคิดว่าพอได้ แต่ที่นี่มันในเมือง ทั้งควันไฟ ทั้งกลิ่นอีก อยากถามว่านี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดแล้วหรือที่แนะนำให้ใช้เตาถ่าน ไปดูวิธีช่วยเหลือประชาชนเรื่องแก๊สขึ้นราคาจะดีกว่า
ขณะที่แม่ค้าร้านขายไก่ บอกว่า ตามที่แนะนำให้ใช้เตาถ่านนั้น ก็ใช้ได้นะแต่ว่ามันช้ากว่าไก่จะสุก ไม่เหมือนแก๊สที่สามารถเร่งความร้อนได้ทำให้ไก่สุกไวและกรอบ แล้วที่มาคิดปริมาณถ่านที่ใช้ต่อเดือนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้แก๊ส โดยถ้าใช้ถ่านวันหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 3 ถุง ถุงละ 20 -25 บาท ไม่ต่ำกว่า 60 บาทต่อวัน คิดแล้วใช้แก๊สถูกกว่าด้วย โดยหลักๆ การใช้ถ่านนั้นเราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ รวมทั้งควัน กลิ่น ของถ่าน
ส่วนร้านก๋วยเตี๋ยว เปิดขายอยู่ริมถนนเทพารักษ์ ใน อ.บางพลี บอกว่า ถ้าเปลี่ยนจากการใช้แก๊สมาใช้ถ่านจะมีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิ และถ่านเดียวนี้ก็หาซื้อยาก เผาเองก็กลัวเจ้าหน้าที่จับ