ผมอยากจะซิ่วเพราะต้องการเรียนคณะที่ตัวเองอยากเรียนจริงๆ
ขอเล่าเรื่องของผมก่อนว่าตอนที่สมัครนั้นผมยื่นรอบ1ไป ซึ่งผมลงด้านภาษา ดนตรีและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่พอผลออกมาแล้วพบติดสองที่โดยเป็นในส่วนดนตรีกับภาษา ด้วยความที่ทั้งสองเป็นสิ่งที่ผมเรียนมาตั้งแต่เด็กและมีความคุ้นเคยผมเลยไม่รู้จะตัดสินใจยังไงตอนแรก แต่เนื่องด้วยมหาลัยนึงอยู่ในกรุงเทพแต่อีกที่อยู่ต่างจังหวัด ด้วยความที่ผมอยากเรียนในกรุงเทพมากกว่าบวกกับไม่อยากอยู่หอ เลยตัดสินใจยืนยันสิทธิ์มอในกรุงไปซึ่งมันคือคณะดนตรี
หลังจากนั้นพอใกล้ถึงวันเปิดเทอมมหาลัย 1 เดือน ด้วยความที่เป็นดนตรีผมเลยได้เข้าไปร่วมซ้อมเพลงเป็นวงกับคนอื่นๆเจอเพื่อนในคณะและได้พบกับอาจารย์ ตอนแรกผมรู้สึกมีความสุชกับการเล่นเพราะมันไม่มีอะไรที่ต้องหนักใจในตอนนั้น บวกกับตอนนั้นยังไม่มีในส่วนของกำหนดการกับวิชาที่ต้องเรียนออกมา หลังจากนั้นสิ่งต่างๆใกล้เข้ามา หลายๆสิ่งหลายๆอย่างได้มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ตอนแรกผมดูวิชาที่ต้องเรียนทั้งภาคบังคับและวิชาบังคับเลือก ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะการที่ต้องเข้ามาเรียนดนตรีและเครื่องเอกของเราแบบจริงจังมันต้องเจออะไรในลักษณะนี้อยู่แล้ว การที่ต้องซ้อมเครื่องเอกของเราทั้งวันทั้งคืน หรือแม้กระทั่งการเล่นเพลงเป็นการสอบกลางภาคและปลายภาค ซึ่งต้องแรกผมมั่นใจว่าผมทำได้ แต่พอได้เจอของจริงมันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด พอได้เจอกับบสิ่งที่ต้องเรียนกับสิ่งที่ต้องทำมันไม่ใช่ตัวเราเลย มันโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่เราไม่ได้เลือกอย่างเช่นการเลือกเพลงเล่นสอบ หรือสิ่งที่ต้องเรียนในคลาสที่เป็นภาคของทฤษฎี ซึ่งอ้นที่จริงมอยังไม่เปิดเทอมแต่ทางอาจารย์มีการนัดแนะมีการนัดเจอกันและต้องเจอเป็นอาทิดๆ ซึ่งสิ่งพวกนี้จะเป็นสิ่งที่ต้องเจอตอนเปิดเทอมอย่างเป็นทางการ แต่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เรารุ้สึกว่าเราไม่มีความสุขเวลาเรียน เวลาเล่นเครื่องเอกเรา ด้วยสภาพแวดล้อม สภาพสังคม สภาพการเรียนมันแบบทำให้เรารู้สึกอิดอัดและเครียดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปกติเวลาผมซ้อมหรือผมเล่นเครื่องเอกของผม ผมจะเล่นด้วยความที่เราอยากเล่นจริงๆ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
เพื่อนๆหรือคนในคณะก็ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้ ตอนแรกคิดว่าเรียนเอกดนตรีนอกจากจะซ้อมและเล่นเพลงด้วยกันแล้ว อาจจะมีการเรียนแบบแสดงความคิดเห็นหรือแลกเปลี่ยนซึ่งกันในกันในส่วนของทฤษฎีหรือวิชาที่เราเรียน แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้เลย ผมไม่ได้เป็นคนกลัวที่จะปรับตัวกับสิ่งใหม่ๆ แต่พอปรับตัวแล้วมันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี
นั่นเลยเป็นสิ่งที่ผมอยากซิ่วเพื่อไปเรียนคณะที่อยากเรียนจริงๆ โดยก็ต้องยอมรับผมเพิ่งมารู้ตัวอย่างจริงจังและมั่นใจว่าต่อให้เครียดแค่ไหนเราก็จะรับได้เพราะเรามีความสุขกับมัน เราเลือกมันโดยที่เรามั้นใจแน่ๆ ก็คือด้านภาษา ผมเรียนมาตั้งแต่เด็กเรียน เสริมมาเหมือนกัน เคยวัดผลระดับสอบ และทำกิจกรรมหลายๆอย่างที่เกี่ยวกับภาษามาโดยตลอด ผมคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันกับกลายเป็นสิ่งที่ผมเรียนแล้วมีความสุขและชอบมากกว่าดนตรี ภาษามันได้คุยได้และเปลี่ยนความคิดเห็นหลายเรื่องๆ การทำดครงงานต่างๆ สันเป็นสิ่งที่ผมชอบมาโดยตลอด เพราะดนตรีผมเรียนไปในแนวความสามารถพิเศษและงานอดิเรกมากกว่าการมากำหนดอาชีพในอนาคตหรือสิ่งที่อยากเรียนจริงๆในมหาลัย
ผมเลยอยากจะซิ่วหรือจะลาออกก็ได้เพราะเห็นมีบางคนบอกหมว่าปี1เทอม1ยังไม่สามารถดรอปเรียนได้ ต่อให้ผมอดทนเรียนไปก่อนผมก็ไม่มีความสุข อยากเอาเวลามาเตรียมตัวเองมากกว่า เพราะคะแนนภาษาอังกฤษอย่าง IELTS, TOEIC กำลังจะหมดอายุและอยากจะอัปให้มากขึ้นอีก เลยอยากจะมีเวลามากกว่านี้ บวกกับจะได้วางแผนชีวิต จัดตารางในสิ่งที่ต้องทำ และอื่นๆต่อไป ผมคุยกับพ่อแม่และครอบครัวแล้วพวกท่านโอเคกับสิ่งที่ผมตัดสินและไม่ได้ว่าอะไร เพราะผมก็ยอมรับว่ากว่าจะรู้ตัวเองก็ต้องเจอแบบที่จะเจอไปอีกหลายปีในรั้วมหาลัยก่อน เรื่องค่าเทอมค่าใช้จ่ายอื่นๆผมไม่ติดถ้าจะได้คืนหรือไม่ได้คืน ขอให้ผมได้ซิ่วหรือลาออกแล้วได้เลือกคณะที่เรารู้ตัวว่าอยากเรียนจริงๆแล้วก็พอ
ผมเลยอยากจะขอคำแนะนำเรื่องการซิ่วหรือลาออกว่าจะทำตอนนี้เลยได้มั้ย ตอนนี้ผมคิดว่าจะเรียนไปก่อนซักเดือนนึงแล้วค่อยแจ้งกับอาารย์ที่ปรึกษาและฝ่ายต่างๆในมาลัยเพื่อนทำเรื่องออกหรือพักการเรียนไปก่อนก็ได้ เพราะใจนึงก็ไม่อยากจะเสียค่าเทอมที่จ่ายไปฟรีๆ แต่ก็จะออกก่อนสอบกลางภาคเพราะผมว่าผมสอบไปก็คงไม่ดีขึ้น ยิ่งเป็นปฎิบัติด้วย จิตใจมันไม่พร้อมบวกกับความเครียดความวิตกกังวลต่างๆ
และนี่คือเรื่องที่ผมกำลังเจอ อยากจะขอคำแนะนำและอยากให้เข้าใจ ผมอาจจะถามสั้นๆแต่ผมแค่อยากระบายให้หลายๆคนได้ฟังเผื่อได้คำแนะนำที่เอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ อย่างน้อยมันดีทำให้ผมสบายใจขึ้นในระดับนึง
ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำนะครับ 🙏🏼
อยากซิ่วจากdek65เป็นdek66เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าคณะที่เราเลือกนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราเรียนแล้วมีความสุขรวมถึงสิ่งที่ต้องเจอ
ขอเล่าเรื่องของผมก่อนว่าตอนที่สมัครนั้นผมยื่นรอบ1ไป ซึ่งผมลงด้านภาษา ดนตรีและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่พอผลออกมาแล้วพบติดสองที่โดยเป็นในส่วนดนตรีกับภาษา ด้วยความที่ทั้งสองเป็นสิ่งที่ผมเรียนมาตั้งแต่เด็กและมีความคุ้นเคยผมเลยไม่รู้จะตัดสินใจยังไงตอนแรก แต่เนื่องด้วยมหาลัยนึงอยู่ในกรุงเทพแต่อีกที่อยู่ต่างจังหวัด ด้วยความที่ผมอยากเรียนในกรุงเทพมากกว่าบวกกับไม่อยากอยู่หอ เลยตัดสินใจยืนยันสิทธิ์มอในกรุงไปซึ่งมันคือคณะดนตรี
หลังจากนั้นพอใกล้ถึงวันเปิดเทอมมหาลัย 1 เดือน ด้วยความที่เป็นดนตรีผมเลยได้เข้าไปร่วมซ้อมเพลงเป็นวงกับคนอื่นๆเจอเพื่อนในคณะและได้พบกับอาจารย์ ตอนแรกผมรู้สึกมีความสุชกับการเล่นเพราะมันไม่มีอะไรที่ต้องหนักใจในตอนนั้น บวกกับตอนนั้นยังไม่มีในส่วนของกำหนดการกับวิชาที่ต้องเรียนออกมา หลังจากนั้นสิ่งต่างๆใกล้เข้ามา หลายๆสิ่งหลายๆอย่างได้มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ตอนแรกผมดูวิชาที่ต้องเรียนทั้งภาคบังคับและวิชาบังคับเลือก ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะการที่ต้องเข้ามาเรียนดนตรีและเครื่องเอกของเราแบบจริงจังมันต้องเจออะไรในลักษณะนี้อยู่แล้ว การที่ต้องซ้อมเครื่องเอกของเราทั้งวันทั้งคืน หรือแม้กระทั่งการเล่นเพลงเป็นการสอบกลางภาคและปลายภาค ซึ่งต้องแรกผมมั่นใจว่าผมทำได้ แต่พอได้เจอของจริงมันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด พอได้เจอกับบสิ่งที่ต้องเรียนกับสิ่งที่ต้องทำมันไม่ใช่ตัวเราเลย มันโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่เราไม่ได้เลือกอย่างเช่นการเลือกเพลงเล่นสอบ หรือสิ่งที่ต้องเรียนในคลาสที่เป็นภาคของทฤษฎี ซึ่งอ้นที่จริงมอยังไม่เปิดเทอมแต่ทางอาจารย์มีการนัดแนะมีการนัดเจอกันและต้องเจอเป็นอาทิดๆ ซึ่งสิ่งพวกนี้จะเป็นสิ่งที่ต้องเจอตอนเปิดเทอมอย่างเป็นทางการ แต่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เรารุ้สึกว่าเราไม่มีความสุขเวลาเรียน เวลาเล่นเครื่องเอกเรา ด้วยสภาพแวดล้อม สภาพสังคม สภาพการเรียนมันแบบทำให้เรารู้สึกอิดอัดและเครียดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปกติเวลาผมซ้อมหรือผมเล่นเครื่องเอกของผม ผมจะเล่นด้วยความที่เราอยากเล่นจริงๆ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
เพื่อนๆหรือคนในคณะก็ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้ ตอนแรกคิดว่าเรียนเอกดนตรีนอกจากจะซ้อมและเล่นเพลงด้วยกันแล้ว อาจจะมีการเรียนแบบแสดงความคิดเห็นหรือแลกเปลี่ยนซึ่งกันในกันในส่วนของทฤษฎีหรือวิชาที่เราเรียน แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้เลย ผมไม่ได้เป็นคนกลัวที่จะปรับตัวกับสิ่งใหม่ๆ แต่พอปรับตัวแล้วมันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี
นั่นเลยเป็นสิ่งที่ผมอยากซิ่วเพื่อไปเรียนคณะที่อยากเรียนจริงๆ โดยก็ต้องยอมรับผมเพิ่งมารู้ตัวอย่างจริงจังและมั่นใจว่าต่อให้เครียดแค่ไหนเราก็จะรับได้เพราะเรามีความสุขกับมัน เราเลือกมันโดยที่เรามั้นใจแน่ๆ ก็คือด้านภาษา ผมเรียนมาตั้งแต่เด็กเรียน เสริมมาเหมือนกัน เคยวัดผลระดับสอบ และทำกิจกรรมหลายๆอย่างที่เกี่ยวกับภาษามาโดยตลอด ผมคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันกับกลายเป็นสิ่งที่ผมเรียนแล้วมีความสุขและชอบมากกว่าดนตรี ภาษามันได้คุยได้และเปลี่ยนความคิดเห็นหลายเรื่องๆ การทำดครงงานต่างๆ สันเป็นสิ่งที่ผมชอบมาโดยตลอด เพราะดนตรีผมเรียนไปในแนวความสามารถพิเศษและงานอดิเรกมากกว่าการมากำหนดอาชีพในอนาคตหรือสิ่งที่อยากเรียนจริงๆในมหาลัย
ผมเลยอยากจะซิ่วหรือจะลาออกก็ได้เพราะเห็นมีบางคนบอกหมว่าปี1เทอม1ยังไม่สามารถดรอปเรียนได้ ต่อให้ผมอดทนเรียนไปก่อนผมก็ไม่มีความสุข อยากเอาเวลามาเตรียมตัวเองมากกว่า เพราะคะแนนภาษาอังกฤษอย่าง IELTS, TOEIC กำลังจะหมดอายุและอยากจะอัปให้มากขึ้นอีก เลยอยากจะมีเวลามากกว่านี้ บวกกับจะได้วางแผนชีวิต จัดตารางในสิ่งที่ต้องทำ และอื่นๆต่อไป ผมคุยกับพ่อแม่และครอบครัวแล้วพวกท่านโอเคกับสิ่งที่ผมตัดสินและไม่ได้ว่าอะไร เพราะผมก็ยอมรับว่ากว่าจะรู้ตัวเองก็ต้องเจอแบบที่จะเจอไปอีกหลายปีในรั้วมหาลัยก่อน เรื่องค่าเทอมค่าใช้จ่ายอื่นๆผมไม่ติดถ้าจะได้คืนหรือไม่ได้คืน ขอให้ผมได้ซิ่วหรือลาออกแล้วได้เลือกคณะที่เรารู้ตัวว่าอยากเรียนจริงๆแล้วก็พอ
ผมเลยอยากจะขอคำแนะนำเรื่องการซิ่วหรือลาออกว่าจะทำตอนนี้เลยได้มั้ย ตอนนี้ผมคิดว่าจะเรียนไปก่อนซักเดือนนึงแล้วค่อยแจ้งกับอาารย์ที่ปรึกษาและฝ่ายต่างๆในมาลัยเพื่อนทำเรื่องออกหรือพักการเรียนไปก่อนก็ได้ เพราะใจนึงก็ไม่อยากจะเสียค่าเทอมที่จ่ายไปฟรีๆ แต่ก็จะออกก่อนสอบกลางภาคเพราะผมว่าผมสอบไปก็คงไม่ดีขึ้น ยิ่งเป็นปฎิบัติด้วย จิตใจมันไม่พร้อมบวกกับความเครียดความวิตกกังวลต่างๆ
และนี่คือเรื่องที่ผมกำลังเจอ อยากจะขอคำแนะนำและอยากให้เข้าใจ ผมอาจจะถามสั้นๆแต่ผมแค่อยากระบายให้หลายๆคนได้ฟังเผื่อได้คำแนะนำที่เอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ อย่างน้อยมันดีทำให้ผมสบายใจขึ้นในระดับนึง
ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำนะครับ 🙏🏼