เมื่อถึงเวลายิ่งอายุเพิ่มขึ้น เรายิ่งกลัวการคบหาใคร จริงไหมครับหรือผมแค่คิดมากไปเอง

ยิ่งใกล้เลข 3 มุมมองยิ่งเปลี่ยน และด้วยความที่พ่อแม่แยกทาง และญาติพี่น้องก็แต่งงานใหม่ทุกคน เน้นย้ำเลยนะครับว่าเห็นปัญหาทุกคนในเครือครอบครัวตัวเอง แนวคิดก็ยิ่งเปลี่ยน ยิ่งกลัวการคบหา เพราะไม่อยากเป็นเหมือนเครือสกุลเดียวกัน เพราะกลัวทั้งเสียเวลาและความรู้สึก หรืออาจะรวมไปถึงเงินทอง
ทีนี้พอเรามามองดีและจัดหมวดหมู่สักหน่อย ถ้าเราจะเลือกคบใครสักคนเราจะคิดแค่ 2 ประเด็นหลักๆ เท่านั้นนหละในชีวิต
ถ้าชอบ ก็แค่จีบแล้วจบ ใช้ความรู้สึกวิ่งเข้าใส่
แล้วค่อยด้นสดหน้างานในการแก้ไขปัญหา ในแต่ละข้อที่ต่างฝ่ายต่างมี

หรือเราจะนำข้อมูลสำคัญๆมาศึกษามองหลายๆอย่างด้วยข้อมูลก่อน ค่อยพิจารณาข้อดีข้อเสียช่างน้ำหนักกันไปว่า yes or not 
1.ทัศนคติ
2.ฐานะครอบครัวแต่ละฝ่าย
3.การงาน
4.แนวคิดการวางแผนการใช้ชีวิต เมื่อมีครอบครัว
5.ไลฟ์สไตล์ การ กิน เที่ยว
6.สุขภาพ
7.รู้จักการเมเนจต่างๆไหม เช่น เมเนจเวลา เมเนจเงิน เมเนจความรู้สึก
เหมือนสอบสัมภาษณ์นั่นหละช่วงคบหา ไม่หลอกถามก็ถามตรงๆ
8.หน้าตา รูปร่าง

ซึ่งผมข้อพิจาณา และการเก็บข้อมูลดังนี้ครับ
1.ค่านิยม ชั้นสวยหรือชั้นหล่อ จะต้องมีคนเปย์เริ่มนิยมแพร่หลายขึ้น อันนี้ผมเข้าใจไม่เถียงนะทุกคนต้องการความสบาย แต่ในความยุติธรรมผมมองว่า มันค่อนข้างจะไม่แฟร์เท่าไหร่ ในการคบหาระยะยาว ก็รู้ๆอยู่ว่า การที่เราโยนภาระทางการเงินไปให้คนๆนึงจัดการทั้งหมดค่อนข้างเห็นแก่ตัวมาก
2.ทัศนคติ เริ่มพบเจอการไม่ปรับตัว หรือก็คือ ชอบใช้แนวคิดแปลกๆ หรือผิดๆ ในการตอบคำถามในการใช้ชีวิต เช่น เมื่อคุณท้อแท้กับสิ่งใดคุณค่อนข้างจะไม่คิดจะสู้หรือปรับปรุง ชอบยึดมั่นแปลกๆหรือความยืนหนึ่งทุกเรื่องทั้งๆที่มันค่อนข้างจะดูไม่ดีแต่เชื่อมั่นว่าตัวเองนั้นถูก ชอบเหน็บเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งพวกนี้ก็ค่อนข้างจะสำคัญมาากๆเช่นกันเมื่อคุณเจอใครที่แสดงความคิดเห็นออกมาไม่ตรงคุณจะยัง หาข้อดีมาทดแทนไหมหรือไม่ก็ไม่ทนเลย
3.ฐานะครอบครัว สำคัญมากๆครับเมื่อคุณรู้ว่าเมื่อคุณคบหากับใคร ครอบครัวของทั้งสองครอบครัวต้องรู้จักกันด้วยหละ และปัญหาของพ่อแม่มันก็ส่งมาถึงลูก แล้วเมื่อไม่รู้จะพึ่งพาใคร การพึ่งพาตนคบหาก็ค่อนข้างจะเป็นตัวเรื่องต้นๆเลยหละ เช่นถ้าจะแม่สะใภ้ปิง, หรืออาจจะป่วยจนต้องรักษาตัวเยอะมากเยอะจนทำให้การเงินลำบาก, หรือครอบครัวชอบหาเรื่องกับคนอื่นทำให้ต้องไปจัดการแก้ไขปัญหาให้ตลอด หรือแม้แต่เรื่องเล็กน้อยสุดคือ ต้องการให้แฟนเราไปดูแลรับใช้ทำให้ครอบครัวดูห่างไกลห่างเหิน คุณจะยังโอเครไหมถ้าข้อนี้ไม่ผ่าน หรือยังสามารถหาเหตุผลอื่นมาช่างน้ำหนักได้
4.แนวคิดการวางแผนการใช้ชีวืตเมื่อครอบครัว ผมเชื่อว่าข้อนี้ไม่ค่อยมีใครตอบได้ก่อนจะแต่งเลยด้วยซ้ำ เพราะบางคนตอนแต่งแทบจะหน้ามือเป็นหลังตีนเลยก็ได้ เพราะเราไม่เคยต้องอยู่กันแบบครอบครัวเดียว แค่ 3 คนพ่อแม่ลูก บ้างก็เจอมากันทั้งพ่อแม่ใครซักฝ่ายด้วย ทำให้แผนการใช้ชีวิตครอบครัวเปลี่ยนไป คุณเริ่มจะสภาพชีวิตที่ไม่คุ้นเคยจากเดิม เมื่อคุณมีตัวแปรที่เป็นบุคคลใกล้ตัวเข้ามามีบทบาท ทำให้เมื่อคุณเจอปัญหาและมันเกิดปัญหาบ่อยครั้งจะเป็นตัวนำพาให้ครอบครัวแยกทาง ถ้าคุณเจอข้อเสี่ยงในจุดนี้
5.ไลฟ์สไตล์ ต้องพูดเลยว่า สำคัญบทความไม่สำคัญเพราะก็มีหลายคู่ที่ไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกันเลยแต่คบกันด้วยความสนิทใจ เช่นอีกคนนึงเที่ยวเก่งมาาก แต่อีกคนกลับเป็นคนเงียบๆ แต่ไม่นำเรื่องนี้มาเป็นหัวข้อในการแยกทางกัน ต่างคนต่างใช้สมองและทัศนคติทำความเข้าใจกัน หรือบางคนไม่สามารถทำได้เลยต้องเหมือนกันใกล้กัน ถึงจะโอเคร หรือแม้แต่เรื่องเล็กน้อยสุดเช่นการกินซึ่งเข้าใจว่า ยุคนี้ของอร่อยเยอะมาก
6.ผมเชื่อว่าเมื่อายุเยอะ บางคนถ้าโชคไม่มีหรือไม่รักสุขภาพมาก่อน เชื่อว่าเมื่อคุณป่วย การคบหาจะยิ่งทำให้คุณรู้สึกตัวคุณเหมือนภาระ หรือแม้แต่คนที่เราคบหาป่วยยง่าย หรือ มีโรคประจำตัวร้ายแรง ซึ่งสมัยนี้โรคภัยแทบจะเกิดขึ้นง่ายๆดื้อๆเลย แล้วค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลก็ค่อนข้างรู้ว่าแพงมาก อาจจะทำให้กระเป๋าเงินฉีกได้เลย
7.ข้อที่สำคัญสุด แต่ยกมาท้ายสุดเพราะผมคิดว่ามันน่าจะคุยเยอะ 
โดยส่วนใหญ่ผมจะสังเกตุเลยว่า คนไทยไม่เคยถูกสอนให้เรียนเรื่องการจัดการ หรือรู้จักการเมเนจ คำนี้แทบจะไม่มีบรรจุลงในหลักสูตรพื้นฐานการศึกษาไทยเลยด้วยซ้ำ ทำให้คนไทยนั้นส่วนใหญ่เมื่อไม่รู้จักคำนี้ ก็จะไม่รู้จักการจัดการเรื่องต่างๆอย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งผมจะแบ่งเป็น 3 หมวดง่ายๆที่มีผลกับการใช้ชีวิตสุด
7.1 เวลา คุณจะรู้ไหมว่าการแบ่งเวลาไม่ถูก นั้นมีผลกระทบรุนแรงมากเมื่อคุณไม่เคยแบ่งเวลาให้คนที่คุณคบหาหรือการใช้เวลาในชีวิตแปลกๆไปเช่นคุณอาจจะมีเวลาให้แฟนเต็มที่ แต่คุณทำงานดึกเลิกเช้า ทำงานเช้าเลิกดึกเกิน ทำให้เวลาไม่สอดคล้องกับการคบหา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติของการทำงานในไทย คุณจะโอเครไหมที่เจอคนที่ไม่แบ่งเวลาหรือจัดสรรให้เป็น เพราะบางคนใช้ความอดทนในส่วนๆนี้เยอะ ใช้ความรู้สึกว่าการรอคอยแล้วได้รับการเติมเต็มแค่ครั้งสองครั้งมันพอ ทั้งๆที่ถ้าเรามองดีๆ สมมุติคุณทำได้ คุณอาจจะมีเวลาให้แฟนทุกเย็นหลังเลิกงานเสมอๆได้เลย แทนที่จะเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง
7.2 เงิน เงินคือทุกสิ่งครับ ถ้าใครบอกว่าเงินไม่สำคัญผมเชื่อว่า ถ้าไม่รวยแต่แรกจนไม่เข้าใจว่ามันสำคัญขนาดไหนก็คือ คนที่ยังเพ้อเจ้อหรือก็คือกลุ่มประเภทที่ 1 คือ ใช้แค่ความรู้สึกและหลับตาคลึ่งนึงหรือหลับหูหลับตาคบหา ผมเชื่อว่าเมื่อเจอการเงินบางคน บางคนจัดการเก่งแค่ไหน แต่เมื่อเจออีกคนกระเป๋ารั่ว ผมเชื่อว่าจะต้องมากองกันในพันทิพย์แน่นอนว่าควรไปต่อหรือพอแค่นี้
7.3 ความรู้สึก งงใช่ไหมครับทำไมอารมณ์เราต้องเมเนจ แต่ผมบอกเลยว่าจากการที่ผมผ่านสังคมหรือเข้าสัมนาการรฝึกอบรมต่างๆมาตลอด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พูดถึงน้อยมากๆ หรือพูดง่ายๆ เราเอาแต่พูดถึง IQ ที่มองกันแค่เก่งฉลาดเราชอบวัดกันเสมอว่าเราฉลาดไหม แต่ลืมไปว่ามันมีอีกคำนึงด้วยนั่นคือ EQ ซึ่งการที่คนไหนมีด้านนี้สูง ก็ค่อนข้างเป็นคนที่เข้าใจอารมณ์ตัวเองและคนอื่น สามารถจัดการได้หมดเลยเป็นคนที่ใจเย็นมีความสุข ฉลาดทางอารมณ์ไม่ค่อยว้าวุ่นเมื่อเจอสถาวะกดดันทางอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณขาด EQ สูงๆ คุณเป็นคนหัวร้อน ขี้เหวี่ยง ขี้วีน ขี้น้อยใจ ขี้เอาแต่ใจ โมโหร้าย เศร้ามากเกิน และไม่คิดจะเข้าใจสภาพแวดล้อมหรือความรู้สึกคนอื่น รู้จักตนเอง รู้จักข้อบกพร่องตนเอง พวกนี้แทบจะเป็นกลุ่มคำสำหรับคนที่ขาด EQ มากๆจะเป็นกัน และเมื่อคุณขาดคุณเชื่อไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันจะเกิดกลุ่มของคนที่พบเจอปัญหามาเกาะกันในพันทิพย์ เมื่อคุณรับมือกับคนขาด EQ ทำให้คุณเลิกมั่งหละ อยู่กันแบบอดทนอดกลั้น เป็นต้น
8.หน้าตา ทุกคนล้วนมีสเปคครับผมเข้าใจ แทบจะเป็นข้อแรกๆที่มอง แต่ผมยกมาปิดท้ายเพราะ มันอธิบายน้อยสุดเลย

ทีนี้เมื่อคุณอ่านจนถึงจุดนี้ คุณจะเข้าใจความคิดของผมส่วนนึงแล้วหละว่า ผมคิดมากจนกลัวเรื่องการคบหาคนจริงๆ เพราะเรามีทั้งบทเรียนจากพ่อแม่พี่น้องตัวเอง เห็นเลยว่าการมีครอบครัวแล้วสภาพย่ำแย่เป็นอย่างไร มันจึงทำให้เรากลายเป็นคนกลุ่ม 2 ที่คิดพวกนี้เสมอก่อนจะเลือกคบหาใคร และ ปัญหาหนักสุดสำหรับผม ผมมองว่า เราไม่สามารถคบคนที่ ขาด 1-7 ข้อนี้ได้เลย เพราะค่อนข้างสำคัญมากๆ ถึงแม้บางข้อจะใช้ข้ออื่นเสริมแทนได้ แต่ผมเชื่อเถอะว่า ในกลุ่มของคนไทยนั้น ศีล 1 ใน 5 ยังทำยาก ผมเข้าใจเราโตมาไม่เหมือนกันทุกคน แต่การขาดยิ่งขาดมากข้อขึ้น ชีวิตคู่ก็ค่อนข้างใช้ลำบากมากขึ้นเท่าที่ขาด เต็มที่ผมมองว่าขาดไป 3 ข้อก็มีเรื่องให้คุยให้คิดแล้วหละครับ

ทีนี้เมื่อคุณท่องโลกมาด้วยอายุ จริงๆต้องเสริมอีกนิดว่าผมค่อนข้างลงไปศึกษาหรือถามความคิดเห็นแง่คิดของคนหลายกลุ่มมากๆ คุณจะเข้าใจเลยว่า สังคมมันค่อยๆเปลี่ยนกลุ่มลักษณะนิสัยคนไปทีละเล็กน้อยโดยที่คุณไม่รู้ตัว อันนี้เรื่องจริงครับ ให้ดูแนวความคิดพ่อแม่เรากับน้องๆเราเลยก็ได้

ทั้งหมดทั้งมวลเนี้ยทุกคนว่าผมคิดมากไปเองคนเดียวหรือจริงๆทุกๆคนก็มีคนคิดมากเหมือนกันผมที่มองว่า มันต้องกลัวจริงๆหละเรื่องพวกนี้และไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย ทำให้มีปัญหาว่าผมแทบจะไม่เปิดใจเลย ต่อให้สวยหรือหน้าตาดี มีฐานะยังไง ถ้าเจอบางข้อหักล้างผมเชื่อว่า มันจะไม่แน่ใจแล้วหละว่า เราจะใช้ความอดทนกับเรื่องนี้จริงๆหรอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
_ ทุกคนว่าผมคิดมากไปเองคนเดียวหรือจริงๆทุกๆคนก็มีคนคิดมากเหมือนกันผมที่มองว่า มันต้องกลัวจริงๆหละเรื่องพวกนี้_ ???

คุณคิดมากจริงๆ แต่ก็ไม่ผิดหรอกค่ะ  มันเป็นสไตล์ การเลือกคู่ของแต่ละคนอ่ะนะ

เราในวัยเท่าคุณ ก็มีข้อแม้เยอะ … เราไม่ได้ มีเป้าหมายในชีวิตคู่ จึงเลือกมาก ใครไม่ผ่านเกณฑ์ ก็ไม่ฝืน  ไม่รีบ  ไม่จำเป็น

เราในวัยนี้ มีข้อแม้เดียว คือ ใจ … กลับกลายเป็นว่า ข้อแม้เดียวที่ว่านี้ ผ่านยากกว่า
เพราะจากประสบการณ์ การใช้ชีวิตที่ผ่านมา มันกลั่นกรองจนเป็นอุปนิสัยไปแล้ว

ที่จะประมาท เลือกใครมาง่ายๆ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

เพราะฉะนั้น … ไม่ได้กลัวเลย ที่จะต้องคบหาใคร
ปัญหาอยู่ตรงที่ จะมีใคร คนที่ เราถูกใจ คนนั้น หรือ เปล่า ต่างหากล่ะ

ยิ่งอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างสบายดี … หากมีก็ดี ไม่มีก็ได้ ยิ่งทำให้ไม่ง้อใครเข้าไปใหญ่

สรุป คือ ไม่ได้กลัว แค่ยังไม่ถูกใจใคร แลไม่ได้มีเวลามากพอที่จะไปแสวงหาใคร

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่