สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
คำพูดแรงๆ จาก “คนที่เรารัก” เท่านั้นค่ะ ถึงจะทำร้ายใจเราได้
และการถูกทำร้ายบ่อยๆ จะทำให้เราเริ่มสงสัยจุดยืนตนเอง ว่า เราต้องทนไปเพื่ออะไร ?
ถ้าคุณยังเจ็บ ยังรู้สึก นั่นแปลว่า คุณยังรัก และ ยังแคร์เขาอยู่มาก
ถ้าคุณยังร้องไห้ ก็ไม่จำเป็นต้อง รีบบอกลาค่ะ
และเมื่ออยู่ไกลกัน แนะนำว่าให้เขียน … บรรยายทุกเรื่องที่เขาทำให้คุณเสียใจ ส่งให้เขาอ่าน
บอกเขาว่า ความอดทนของคุณ “ใกล้ถึง” ขีดจำกัดเต็มทีแล้ว
ทำแค่นี้ค่ะ ไม่ต้องมากกว่านี้ แล้วห่างออกมา
ยังไม่ต้องบอกเลิก แค่หยุดคุยเหมือนเก่า ไม่ต้องทักไป เขาคุยมา ก็พูดด้วยเป็นพิธี
ค่อยๆให้หัวใจของคุณชินกับการไม่มีเขา
หากเขาถาม ว่าเป็นอะไร ก็บอกให้เขาย้อนไปอ่านสิ่งที่คุณพิมพ์ใหม่อีกครั้ง
เวลาผ่านไป หากเขายังไม่ปรับตัว หากเขายังไม่มาขอโทษอีก
รักของคุณจะจืดจางไปเอง
รุ่งเช้าของวันหนึ่ง คุณจะพบว่า คุณลืมไปแล้วจริงๆ ว่าคุณสองคน เคยรักกันอย่างไร
ในเมื่อเขาไม่แคร์ ถึงเวลาหนึ่ง ใจคุณจะไม่เหลือเยื่อใยให้เขาเช่นกัน
ความรักจะจบลง เวลาของคุณทั้งสองจะหมดลงไป พร้อมๆกับเรื่องน่าปวดหัวทั้งหลายที่คุณเผชิญอยู่ตอนนี้ค่ะ
ถึงตอนนั้น ใครจะเป็นฝ่ายบอกเลิกใคร ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
และการถูกทำร้ายบ่อยๆ จะทำให้เราเริ่มสงสัยจุดยืนตนเอง ว่า เราต้องทนไปเพื่ออะไร ?
ถ้าคุณยังเจ็บ ยังรู้สึก นั่นแปลว่า คุณยังรัก และ ยังแคร์เขาอยู่มาก
ถ้าคุณยังร้องไห้ ก็ไม่จำเป็นต้อง รีบบอกลาค่ะ
และเมื่ออยู่ไกลกัน แนะนำว่าให้เขียน … บรรยายทุกเรื่องที่เขาทำให้คุณเสียใจ ส่งให้เขาอ่าน
บอกเขาว่า ความอดทนของคุณ “ใกล้ถึง” ขีดจำกัดเต็มทีแล้ว
ทำแค่นี้ค่ะ ไม่ต้องมากกว่านี้ แล้วห่างออกมา
ยังไม่ต้องบอกเลิก แค่หยุดคุยเหมือนเก่า ไม่ต้องทักไป เขาคุยมา ก็พูดด้วยเป็นพิธี
ค่อยๆให้หัวใจของคุณชินกับการไม่มีเขา
หากเขาถาม ว่าเป็นอะไร ก็บอกให้เขาย้อนไปอ่านสิ่งที่คุณพิมพ์ใหม่อีกครั้ง
เวลาผ่านไป หากเขายังไม่ปรับตัว หากเขายังไม่มาขอโทษอีก
รักของคุณจะจืดจางไปเอง
รุ่งเช้าของวันหนึ่ง คุณจะพบว่า คุณลืมไปแล้วจริงๆ ว่าคุณสองคน เคยรักกันอย่างไร
ในเมื่อเขาไม่แคร์ ถึงเวลาหนึ่ง ใจคุณจะไม่เหลือเยื่อใยให้เขาเช่นกัน
ความรักจะจบลง เวลาของคุณทั้งสองจะหมดลงไป พร้อมๆกับเรื่องน่าปวดหัวทั้งหลายที่คุณเผชิญอยู่ตอนนี้ค่ะ
ถึงตอนนั้น ใครจะเป็นฝ่ายบอกเลิกใคร ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ความคิดเห็นที่ 11
ขอเอามา Re-Post นะครับ เคยตอบไปเมื่อนานแล้ว คิดว่าอาจจะยังพอมีประโยชน์อยู่ (คนอื่นอาจจะมีแนวทางที่ละเอียดขึ้นก็แก้ไขได้ครับ)
ธรรมชาติของคนเรา ถูกเหวี่ยงให้มาพบกับใครคนใดคนหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่งๆเสมอ จากเหตุคือวาสนาหรือจะเรียกว่า กรรมสัมพันธ์ก็ได้ครับ
ถ้าเราเคยสร้างเหตุไว้ในอดีต และเหตุนั้นให้ผลเป็นคนที่จะมาใช้ชีวิตกับเราช่วงหนึ่ง (อันนี้ใช้ได้หมดทั้งความเป็นพ่อแม่พี่น้องหรือคนรัก)
พอหมดเหตุแล้ว หากต่างฝ่ายต่างไม่ได้สร้างเหตุที่จะครองคู่กันต่ออย่างราบรื่น มันก็ทำให้เกิดรอยแยก เริ่มตั้งแต่จิตใจที่ไม่รู้สึกแนบแน่นเหมือนแต่ก่อน ลามไปจนถึงเกิดความคิดประหวั่นว่าอะไรอะไรเข้ากันได้มากแค่ไหน
.................
หากสำรวจดูประเด็นหลักๆที่จะครองคู่กันแล้ว พบว่ามีความไม่ลงรอยกันหลายอย่าง ก็ต้องคุยๆกันว่าพอจะปรับจูนได้ไหม
ถ้าคุยไม่ได้ มันก็จะลำบาก
...................
ส่วนประเด็นที่ผมแนะนำให้สำรวจว่า เรากับหล่อน ไปด้วยกันได้ไหม ก็จะมีดังนี้นะครับ
1.ปัจจัยชุ่มชื่นหัวใจและวาบหวาม ประกอบด้วย Romantic / Erotic / Love language
1.1 Romantic คือเรื่องความใส่ใจ การจำรายละเอียด >> ให้ดูว่าเธอหรือเราอินกับเรื่องนี้ไหม และต่างฝ่ายต่างทำให้กับฝ่ายที่อินในเรื่องนี้ไหม (รวมประเด็นปลีกย่อยเช่น ชอบให้ทำแบบนี้ จำแบบนี้ ใส่ใจแบบนี้)
1.2 Erotic คือเรื่องการให้อีกฝ่ายสุขสมทางเพศรส >> ให้ดูว่าเธอหรือเราอินกับเรื่องนี้ไหม ต่างฝ่ายต่างพยายามปรับเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจไหม (รวมประเด็นเรื่องการดูแลตัวเอง รูปร่าง ต่างๆด้วย)
1.3 Love language หรือ "ภาษารัก" อันแตกย่อยได้อีก 5 อย่างคือ
การสัมผัสทางกาย / การให้ของขวัญและการ์ด / การให้กำลังใจและคำปรึกษา / การให้การบริการช่วยเหลือ / การให้เวลาคุณภาพร่วมกัน
ซึ่งคนเราจะอินหรือไม่อินในแต่ละข้อไม่เหมือนกัน คำถามคือ เราหรือเธอ ได้ให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายเค้ารู้สึกอินบ้างหรือไม่ (ไม่จำเป็นต้องอินข้อเดียวกัน แต่ต้องสอดรับกันคือ อีกฝ่ายต้องให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายอินแบบที่ไม่ฝืนใจตัวเองเกินไปนัก)
.........................................
2.ปัจจัยคนรู้ใจที่ร่วมกันเดินทางระยะยาว ประกอบด้วยหลักๆ 4 ประเด็นคือ
2.1 เป้าหมายในชีวิตหลักๆคล้ายกันไหม เช่น เรื่องมีลูก มีบ้าน มีระดับการอาศัยอยู่ มีเงิน ประมาณไหน
2.2 เสียสละให้แก่กันและกัน ในระดับที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้สึกถูกเอาเปรียบไหม เช่น คนนึงทำงานหาเงินมาใช้จ่ายร่วมกันในบ้าน อีกคนทำงานบ้าน จัดแจงอาหาร เลี้ยงลูก หรือจะทำงานทั้งคู่ และแบ่งเบาภาระไปทั้งคู่พร้อมๆกันก็ได้ แต่สำคัญคือ ต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกเอาเปรียบนานๆ เพราะยิ่งนานจะยิ่งเกิดความรู้สึกเหนื่อย และความรักค่อยๆลดลงได้ บางทีถ้ายิ่งเต็มใจอยากทำให้อีกฝ่าย และอีกฝ่ายไม่ได้จ้องจะคิดเอาเปรียบเกินไป กลับยิ่งทำให้รับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีและซึ้งใจ ทำให้อยากให้คืนแก่คนรักวนไปอีก
2.3 พูดคุยกันในเรื่องต่างๆและมีความเห็น มีความเข้าใจ มีการใช้เหตุผลและอารมณ์ ในระดับที่คล้ายกันไหม ไม่ใช่เหมือนพูดๆไปแล้วฝ่ายนึงใช้เหตุผล อีกฝ่ายเอาแต่ใช้อารมณ์ หรือเล็กๆน้อยๆก็โอ๊ยๆ ไม่อยากฟัง
2.4 มีพฤติกรรมนิสัย กรอบความประพฤติและ lifestyle คล้ายๆกันไหม
...........................................
ทั้งปัจจัยข้อ 1 (รวม 3 ข้อ) ต้องคอยเติมเต็มให้ชุ่มชื่นวาบหวามแก่กันและกัน give and take ang give and take ไปเรื่อยๆ ถ้ารู้สึกเริ่มไม่คลิก ก็ต้องเริ่มคุยกัน ปรับให้แก่กันและกันเป็นแบบที่อีกฝ่ายชอบ โดยที่อีกฝ่ายไม่ฝืนจนเกินไป (ถ้าต้องฝืนจนเกินไปก็ลองคุยกันว่าลดความต้องการตรงนี้ลงได้บ้างไหม ถ้ามีข้ออื่นๆเสริมดีอยู่ อาจจะไม่ต้องคลิกเป๊ะๆก็ได้)
ทั้งปัจจัยข้อ 2 (รวม 4 ข้อ) ต้องคอยวางแผนพูดคุย และคอยสำรวจตลอดทางอย่างเป็นกลางว่า เรากับเธอเข้ากันได้ไหม ลองคิดดูว่าถ้าคนสองคนคิดจะเดินทางไกลด้วยกัน
-หากมีเป้าหมายเดียวกัน ก็เหมือนจับมือเดินไปทางเดียวกัน
-หากมีความเสียสละเสมอกัน ก็เหมือนช่วยกันแบ่งเบาภาระน้อยใหญ่ระหว่างทางกันไปตลอด
-หากมีระดับการพูดคุยด้วยสติปัญญาคล้ายๆกัน ก็จะทำให้คุยกันถูกคอเข้าใจกันไปเรื่อยๆ เข้าใจในความคิดอีกฝ่าย
-หากมีพฤติกรรม/นิสัยและ lifestyle คล้ายๆกัน ก็เหมือนระหว่างทางมีกิจกรรมที่ล้อไปด้วยกันได้ เข้าใจในพฤติกรรมของอีกฝ่าย
.............................................
การเข้ากันได้ทั้งสองส่วน การพยายามจูนทั้งสองส่วนแบบที่ไม่ฝืนจนเกินไปให้เข้าใจตรงกัน จะเป็นเหตุที่ทำให้ความรักของคนรัก สามารถครองคู่กันไปได้อย่างชุ่มชื่นหัวใจ ทั้งวาบหวามเป็นระยะ และยังรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเหมือนคนรักเหมือนเพื่อนรู้ใจที่เดินทางไกลไปด้วยกันครับ
ธรรมชาติของคนเรา ถูกเหวี่ยงให้มาพบกับใครคนใดคนหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่งๆเสมอ จากเหตุคือวาสนาหรือจะเรียกว่า กรรมสัมพันธ์ก็ได้ครับ
ถ้าเราเคยสร้างเหตุไว้ในอดีต และเหตุนั้นให้ผลเป็นคนที่จะมาใช้ชีวิตกับเราช่วงหนึ่ง (อันนี้ใช้ได้หมดทั้งความเป็นพ่อแม่พี่น้องหรือคนรัก)
พอหมดเหตุแล้ว หากต่างฝ่ายต่างไม่ได้สร้างเหตุที่จะครองคู่กันต่ออย่างราบรื่น มันก็ทำให้เกิดรอยแยก เริ่มตั้งแต่จิตใจที่ไม่รู้สึกแนบแน่นเหมือนแต่ก่อน ลามไปจนถึงเกิดความคิดประหวั่นว่าอะไรอะไรเข้ากันได้มากแค่ไหน
.................
หากสำรวจดูประเด็นหลักๆที่จะครองคู่กันแล้ว พบว่ามีความไม่ลงรอยกันหลายอย่าง ก็ต้องคุยๆกันว่าพอจะปรับจูนได้ไหม
ถ้าคุยไม่ได้ มันก็จะลำบาก
...................
ส่วนประเด็นที่ผมแนะนำให้สำรวจว่า เรากับหล่อน ไปด้วยกันได้ไหม ก็จะมีดังนี้นะครับ
1.ปัจจัยชุ่มชื่นหัวใจและวาบหวาม ประกอบด้วย Romantic / Erotic / Love language
1.1 Romantic คือเรื่องความใส่ใจ การจำรายละเอียด >> ให้ดูว่าเธอหรือเราอินกับเรื่องนี้ไหม และต่างฝ่ายต่างทำให้กับฝ่ายที่อินในเรื่องนี้ไหม (รวมประเด็นปลีกย่อยเช่น ชอบให้ทำแบบนี้ จำแบบนี้ ใส่ใจแบบนี้)
1.2 Erotic คือเรื่องการให้อีกฝ่ายสุขสมทางเพศรส >> ให้ดูว่าเธอหรือเราอินกับเรื่องนี้ไหม ต่างฝ่ายต่างพยายามปรับเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจไหม (รวมประเด็นเรื่องการดูแลตัวเอง รูปร่าง ต่างๆด้วย)
1.3 Love language หรือ "ภาษารัก" อันแตกย่อยได้อีก 5 อย่างคือ
การสัมผัสทางกาย / การให้ของขวัญและการ์ด / การให้กำลังใจและคำปรึกษา / การให้การบริการช่วยเหลือ / การให้เวลาคุณภาพร่วมกัน
ซึ่งคนเราจะอินหรือไม่อินในแต่ละข้อไม่เหมือนกัน คำถามคือ เราหรือเธอ ได้ให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายเค้ารู้สึกอินบ้างหรือไม่ (ไม่จำเป็นต้องอินข้อเดียวกัน แต่ต้องสอดรับกันคือ อีกฝ่ายต้องให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายอินแบบที่ไม่ฝืนใจตัวเองเกินไปนัก)
.........................................
2.ปัจจัยคนรู้ใจที่ร่วมกันเดินทางระยะยาว ประกอบด้วยหลักๆ 4 ประเด็นคือ
2.1 เป้าหมายในชีวิตหลักๆคล้ายกันไหม เช่น เรื่องมีลูก มีบ้าน มีระดับการอาศัยอยู่ มีเงิน ประมาณไหน
2.2 เสียสละให้แก่กันและกัน ในระดับที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้สึกถูกเอาเปรียบไหม เช่น คนนึงทำงานหาเงินมาใช้จ่ายร่วมกันในบ้าน อีกคนทำงานบ้าน จัดแจงอาหาร เลี้ยงลูก หรือจะทำงานทั้งคู่ และแบ่งเบาภาระไปทั้งคู่พร้อมๆกันก็ได้ แต่สำคัญคือ ต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกเอาเปรียบนานๆ เพราะยิ่งนานจะยิ่งเกิดความรู้สึกเหนื่อย และความรักค่อยๆลดลงได้ บางทีถ้ายิ่งเต็มใจอยากทำให้อีกฝ่าย และอีกฝ่ายไม่ได้จ้องจะคิดเอาเปรียบเกินไป กลับยิ่งทำให้รับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีและซึ้งใจ ทำให้อยากให้คืนแก่คนรักวนไปอีก
2.3 พูดคุยกันในเรื่องต่างๆและมีความเห็น มีความเข้าใจ มีการใช้เหตุผลและอารมณ์ ในระดับที่คล้ายกันไหม ไม่ใช่เหมือนพูดๆไปแล้วฝ่ายนึงใช้เหตุผล อีกฝ่ายเอาแต่ใช้อารมณ์ หรือเล็กๆน้อยๆก็โอ๊ยๆ ไม่อยากฟัง
2.4 มีพฤติกรรมนิสัย กรอบความประพฤติและ lifestyle คล้ายๆกันไหม
...........................................
ทั้งปัจจัยข้อ 1 (รวม 3 ข้อ) ต้องคอยเติมเต็มให้ชุ่มชื่นวาบหวามแก่กันและกัน give and take ang give and take ไปเรื่อยๆ ถ้ารู้สึกเริ่มไม่คลิก ก็ต้องเริ่มคุยกัน ปรับให้แก่กันและกันเป็นแบบที่อีกฝ่ายชอบ โดยที่อีกฝ่ายไม่ฝืนจนเกินไป (ถ้าต้องฝืนจนเกินไปก็ลองคุยกันว่าลดความต้องการตรงนี้ลงได้บ้างไหม ถ้ามีข้ออื่นๆเสริมดีอยู่ อาจจะไม่ต้องคลิกเป๊ะๆก็ได้)
ทั้งปัจจัยข้อ 2 (รวม 4 ข้อ) ต้องคอยวางแผนพูดคุย และคอยสำรวจตลอดทางอย่างเป็นกลางว่า เรากับเธอเข้ากันได้ไหม ลองคิดดูว่าถ้าคนสองคนคิดจะเดินทางไกลด้วยกัน
-หากมีเป้าหมายเดียวกัน ก็เหมือนจับมือเดินไปทางเดียวกัน
-หากมีความเสียสละเสมอกัน ก็เหมือนช่วยกันแบ่งเบาภาระน้อยใหญ่ระหว่างทางกันไปตลอด
-หากมีระดับการพูดคุยด้วยสติปัญญาคล้ายๆกัน ก็จะทำให้คุยกันถูกคอเข้าใจกันไปเรื่อยๆ เข้าใจในความคิดอีกฝ่าย
-หากมีพฤติกรรม/นิสัยและ lifestyle คล้ายๆกัน ก็เหมือนระหว่างทางมีกิจกรรมที่ล้อไปด้วยกันได้ เข้าใจในพฤติกรรมของอีกฝ่าย
.............................................
การเข้ากันได้ทั้งสองส่วน การพยายามจูนทั้งสองส่วนแบบที่ไม่ฝืนจนเกินไปให้เข้าใจตรงกัน จะเป็นเหตุที่ทำให้ความรักของคนรัก สามารถครองคู่กันไปได้อย่างชุ่มชื่นหัวใจ ทั้งวาบหวามเป็นระยะ และยังรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเหมือนคนรักเหมือนเพื่อนรู้ใจที่เดินทางไกลไปด้วยกันครับ
ความคิดเห็นที่ 5
การที่จะประคับประคองความสัมพันธ์ต้องทำด้วย
กันทั้งสองฝ่าย ถึงคุณจะพยายามแค่ไหนแต่ถ้าอีก
ฝ่ายไม่เห็นถึงความจำเป็นท้ายที่สุดคุณเองก็จะไม่
เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องพยายามอยู่ฝ่ายเดียว
เช่นกัน
จริงอยู่คนสองคนตัดสินใจคบกันจุดเริ่มต้นคงมาจาก
การตกหลุมรัก แต่หลังจากนั้นสิ่งที่จะประคับประคอง
ความรักความสัมพันธ์ให้ไปต่อได้ มันเป็นเรื่องของ
ความเป็นคุณและความเป็นเขาในที่นี้คือตัวตน หาก
แตกต่างกันมากยังไงซะมันก็จะผลักกันออกโดย
ธรรมชาติ จะพูดว่าคุณเปลี่ยนหรือเขาเปลี่ยนก็ไม่
ผิด แต่บางครั้งมันคือการเติบโตขึ้นในตัวตนของแต่
ละฝ่ายที่มีมุมมองแตกต่างกันมากเกินไป
จากที่คุณเขียนมาการจะพูดคุยกับเขาเพื่อปรับ
เปลี่ยนดูจะยากมาก แต่ยังไงซะก่อนจะถอยออกมา
การได้ลองพยายามพูดคุยกับเขาอีกสักครั้งก็ควร
ทำ ชีวิตคนเรามันสั้นอะไรหากทุกข์มากกว่าสุขก็
ไม่ควรไปยื้อยุดมันเอาไว้ เคยมีคนบอกว่าความ
สัมพันธ์ที่มันอิ่มตัวแล้วก็เหมือนกับเราสั่งอาหารมา
กิน บางครั้งเรารู้สึกอิ่มแล้วการกินก็ไม่ได้ทำให้เรา
รู้สึกอร่อยแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอยากจะฝืนกินเพราะ
สายดายเงินที่ซื้อไป
กันทั้งสองฝ่าย ถึงคุณจะพยายามแค่ไหนแต่ถ้าอีก
ฝ่ายไม่เห็นถึงความจำเป็นท้ายที่สุดคุณเองก็จะไม่
เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องพยายามอยู่ฝ่ายเดียว
เช่นกัน
จริงอยู่คนสองคนตัดสินใจคบกันจุดเริ่มต้นคงมาจาก
การตกหลุมรัก แต่หลังจากนั้นสิ่งที่จะประคับประคอง
ความรักความสัมพันธ์ให้ไปต่อได้ มันเป็นเรื่องของ
ความเป็นคุณและความเป็นเขาในที่นี้คือตัวตน หาก
แตกต่างกันมากยังไงซะมันก็จะผลักกันออกโดย
ธรรมชาติ จะพูดว่าคุณเปลี่ยนหรือเขาเปลี่ยนก็ไม่
ผิด แต่บางครั้งมันคือการเติบโตขึ้นในตัวตนของแต่
ละฝ่ายที่มีมุมมองแตกต่างกันมากเกินไป
จากที่คุณเขียนมาการจะพูดคุยกับเขาเพื่อปรับ
เปลี่ยนดูจะยากมาก แต่ยังไงซะก่อนจะถอยออกมา
การได้ลองพยายามพูดคุยกับเขาอีกสักครั้งก็ควร
ทำ ชีวิตคนเรามันสั้นอะไรหากทุกข์มากกว่าสุขก็
ไม่ควรไปยื้อยุดมันเอาไว้ เคยมีคนบอกว่าความ
สัมพันธ์ที่มันอิ่มตัวแล้วก็เหมือนกับเราสั่งอาหารมา
กิน บางครั้งเรารู้สึกอิ่มแล้วการกินก็ไม่ได้ทำให้เรา
รู้สึกอร่อยแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอยากจะฝืนกินเพราะ
สายดายเงินที่ซื้อไป
แสดงความคิดเห็น
คบกับแฟนเกิน 7 ปี รู้สึกไม่รักกันเหมือนเดิม เขาและเราต่างเปลี่ยนไป ควรทำอย่างไรดีคะ
คือ จขกท กับแฟนอายุห่างกันสิบปี มีปัญหาด้านเจเนอเรชันแก้ปด้วย (ปจบจขกท30 แฟน40) แล้วก็มีเรื่องระยะทาง เนื่องจากเขาย้ายที่ทำงานไปไกลมาก มีโควิดยิ่งทำให้เจอกันอยาก ทะเลาะกันบ่อยในทุกๆแง่มุม แฟนไม่เจ้าชู้ ไม่เคยนอกใจ (หรือจับไม่ได้ก็ไม่แน่ใจ) เป็นคนเก่ง ทำงานเก่ง เติบโตในการงานรวดเร็ว แต่เรื่องใส่ใจความรู้สึกคือให้แค่20จาก100 ไม่หวาน ไม่เซอร์ไพรส์ แทบไม่มีเทศกาลพิเศษอะไรกันเลย แต่ส่วนตัวเราก็เป็นคนที่ไม่ได้ซีเรียสกับเทศกาลพิเศษ บวกกับไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แบบว่าถ้าวันเกิดไปกินข้าวเซอไพร์สเอาเค้กมาให้เป่าแล้วคนมองทั้งร้านเราไม่ชอบแบบนั้นค่ะ
คือที่บอกว่าเขาไม่ใส่ใจก็คือบางทีที่เขาเผลอพูดอะไรไม่ดีทำร้ายจิตใจเรา เราก็จะบอกเขาว่าเราเสียใจที่เขาพูดแบบนั้น สิ่งที่เขาทำก็คือเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่มีขอโทษ ไม่มีแสดงออกว่ารู้สึกผิดที่เผลอทำแบบนั้น 7ปีที่ผ่านมาทะเลาะกันบ่อย แต่ไม่เคยทะเลาะกันรุนแรงจนถึงขั้นเลิกหรือจะเลิกกัน พอมาวันนี้เราทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆแล้วจู่ๆใจเราก็รู้สึกขึ้นมาว่าเหมือนเราไม่ได้รู้สึกกับเขาเหมือนเดิม ไม่อยากอยู่ใกล้เหมือนเคย เราไม่ได้บอกเลิกเขาไปนะคะ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นอารมณ์ชั่ววูบก็ได้ เรามีปากเสียงกันบ่อยในหลายๆเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่การทะเลาะกันแบบรุนแรงขนาดนั้น เราก็ยังรักเขาอยู่ และผูกพันกันมากๆ เขาเป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งเลย
อีกเรื่องหนึ่งคือเราทั้งคู่ต่างเปลี่ยนไป อันนี้รู้ตัวเลยค่ะ เราเคยเชื่อฟังเขา ตามเขาต้อยๆ วันนี้เรารู้ตัวว่าเราปีกกล้าขึ้น เราไม่ฟังเขาและเชื่อตัวเองมากขึ้น เถียงเก่งขึ้น ในขณะที่เราดูกล้าหาญขึ้น เรากลับร้องไห้บ่อยขึ้น สุดท้ายแล้วคำพูดเล็กน้อยของเขาก็ทำเราร้องไห้ในบางที แล้วเขาก็จะบอกเราว่าอีกแล้ว ไม่น่ามาคุยด้วยเลย โดยที่เขาไม่นึกก่อนเวลาจะพูดจะทำอะไรมันทำร้ายใจใครไหม หลายครั้งเราร้องไห้ออกมาเพราะมันอัดอั้น เคยเป็นไหมคะ แบบมีแฟลชแบ็คตอนเก่าๆที่เขาทำร้ายจิตใจเราแว้บเข้ามาจนเขื่อนแตก ร้องไห้
ส่วนของตัวเขา จริงๆแล้วเรารู้จักกันมานานมากก่อนจะคบกัน เราเห็นเขามาตลอด พอจะรู้นิสัยกันอยู่ เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่ทัศนคติเปิดกว้าง รับฟังคนอื่น พยายามเข้าอกเข้าใจ ไม่เคยพูดถึงใครในแง่ลบเลย อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหมนะคะ ตั้งแต่ที่เขาเปลี่ยนงานไปอยู่ไกลๆ (2ปีหลัง) สังคมใหม่ งานใหม่ที่ก้าวหน้าขึ้น เขาก็เริ่มมีพฤติกรรมที่ดูถูกคนอื่นอ่ะค่ะ แบบเผลอพูดถึงความต่ำต้อยกว่าของคนอื่น ซึ่งสำหรับเราไม่น่ารักเลย และเขาไม่เคยเป็นมาก่อน เราบอกเขาว่าสิ่งที่เขาพูดมันดูถูกคน ถ้าเจ้าตัวมาได้ยินจะเสียใจนะ แต่เขาก็ไม่สนใจ และทำอีก อ๋อ มีพฤติกรรมอีกข้อคือถ้าเราพูดอะไรไม่ถูกใจเขา เขาจะทำน้ำเสียงเย้ยหยั่น ย้ำคำที่เราพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น เพิ่งมาเป็นเอาปีนี้ น้ำเสียงและวิธีพูดแบบใหม่ของเขามันทำให้จึ้กค่ะ
เราควรที่จะถอยออกมา หรือเปิดอกคุยกัน (ที่ผ่านมาก็พยายามคุยอยู่นะคะ แต่เขาไม่สนใจเลยเวลาเราพูดหรือทักท้วงพฤติกรรมเขา) มีวิธีไหนที่จะจับเข่าคุยกันแบบที่เขาไม่แกล้งเปลี่ยนเรื่องไหมคะ เคยวกเข้าเรื่องเดิมแล้วนำไปสู่การมีปากเสียงกันเฉยเลย หรือใครมีประสบการณ์ที่ช่วยให้ผ่านช่วงเวลาน่าสับสนแบบนี้ไปได้ค่ะ รู้สึกท้อแท้มากค่ะ
ส่วนเรื่องแต่งงาน เคยคุยกันหลายปีก่อน ดีลกันว่าเราทั้งคู่ควรพร้อมทั้งคู่ หมายถึงการงาน การเงิน และความมั่นคงทางความรู้สึกค่ะ และคือส่วนตัวรู้สึกว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์กำลังสั่นคลอน ความรู้สึกกำลังสับสน เราคิดว่าการแต่งงานไปในช่วงที่ไม่มีอะไรคลี่คลายในความรู้สึกเลยมันอาจจะไม่ใช่จุดที่ดีในตอนนี้
อ่านจบแล้วคิดว่าเรามาระบายก็ได้นะคะ 555