ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคนี้ พ.ศ.นี้ กระแสการไปเที่ยวคนเดียวค่อนข้างมาแรง มีหลายยูทูปเบอร์ที่ทำคอนเทนต์ต่าง ๆ นานาออกมาให้ได้รับชม จุดแรงบันดาลใจ ปลุกความกล้าหาญในตัวเองให้ลองออกเดินทางคนเดียวสักครั้ง
แต่สำหรับคนที่ชอบอยู่กับผู้คน พูดคุยแบบเรา แม้ก่อนที่จะกระแสนี้จะแรงก็เคยแอบคิดกับตัวเองเล่น ๆ ว่าการไปเที่ยวคนเดียวเป็น 1 ใน mission ที่อยากจะลองทำสักครั้งก่อนที่จะอายุมากไปกว่านี้ สิ่งที่ไม่เชิงกลัว แต่ดันคิดไปก่อนไม่ใช่เรื่องความปลอดภัย ความสะดวกสบาย ความราบรื่นของการเดินทาง หรืออะไรก็ตาม เพราะเรื่องราวเหล่านั้นชินเสียแล้วกับความไม่แน่นอน สิ่งที่กังวลก็คือใจของตัวเองนี่แหละ...จะเหงามากไหมนะ ?
ด้วยโอกาส จังหวะชีวิต หรืออะไรก็ตามแต่ทำให้เราต้องลองก้าวออกไปทำภารกิจนี้ให้สำเร็จสักที...และนี่คือทริปเที่ยวคนเดียวครั้งแรก(จริงๆ นับตั้งแต่ก้าวออกจากบ้าน) No one กึ่ง ๆ No plan แต่ No make up (อย่าตกใจหน้าสดนะ) No filter ที่อยากมาเล่าสู่กันอ่านค่ะ 😊
เตือนแล้วนะ : กระทู้นี้ยาวมาก ๆ เลยนะ
Day 0 : Let’s start it
ที่บอกว่าทริปนี้กึ่ง ๆ โนแพลน อาจจะไม่ได้สิ้นเชิงนะ เพราะจองตั๋วรถ ตั๋วเรือ ที่พัก และกิจกรรมหลักที่ทำให้อยากไปโคตร ๆ เอาไว้แล้ว คืนวันเดินทางเราเดินทางกับบริษัทลมพระยา จองรถ+เรือไปกับเขาเลย รถออกเวลา 21.00 น.ที่ถนนข้าวสาร อย่าลืมเผื่อเวลาเช็คอินล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมงเพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ
ในวันที่ไป นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาแล้ว เป็นนิมิตหมายอันดีของการท่องเที่ยวบ้านเรา รถที่เราจองเป็นรถบัส VIP ตัวรถจะจอดอยู่หน้าวัดบวรฯ ที่จะมีเจ้าหน้าที่พาเดินไปขึ้นรถ หันไปสปีคกับฝรั่งที่เดินมาด้วยกันนิดหน่อย เพราะจู่ ๆ ก็ได้รับหน้าที่พาเดินนำแทนเจ้าหน้าที่ที่ไปรอรับคนอีกกลุ่ม...เอ่อ เปิดทริปมาก็สนุกละ รถคันที่ได้เป็นเบาะคู่ทั้งสองฝั่ง นั่งข้างสาวคนหนึ่งที่ชิงหลับไปก่อน บนรถแจกผ้าห่ม และน้ำเปล่าให้คนละ 1 ขวด
ระหว่างที่นั่งรอรถออกมองเบาะแล้วก็คิดเล่น ๆ ตอนเด็ก ๆ เราขึ้นรถทัวร์บ่อยมาก และแน่นอนว่าหนึ่งในสิ่งที่ผู้โดยสารต้องทำคือการปรับเบาะนอน เคยเจอทั้งคนที่ปรับน้อย ๆ อย่างเกรงใจ คนที่หันมาถามก่อน และคนที่ปรับพรึบลงมาจนหนีบเข่าคนข้างหลัง เรียกว่าเจอมาทุกรูปแบบ ตอนนั้นก็คิดว่าทำไมคนสร้างรถเขาไม่ทำให้เบาะปรับได้ระดับแค่นี้ แล้วไปต่อไม่ได้ซะก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนคนข้างหลัง...แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ โตมาได้เฝ้ามองอีกครั้งจึงแอบคิดว่า หรือมันจะมีหนึ่งในความหมายเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ ที่ทำให้คนไม่น้อยต้องหันมามองคนข้างหลังอยู่ดี
รถเคลื่อนตัวออกมาสักพัก จึงเริ่มปิดไฟ คนข้างหน้าหันมาถามเราสองรอบแล้ว และเราก็ยิ้มตอบไปพร้อมกับบอกให้ปรับตามสบาย เขายังไม่วายหันมาบอกว่าถ้าชนขาให้รีบบอก นับเป็นบทสนทนาสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่ทำให้โลกแคบ ๆ บนรถทัวร์น่าโดยสารขึ้นเยอะ
Day 1 : Let it begin
เมื่อคืนรถทัวร์จอดแวะทานมื้อดึกที่ครัวคุณต้น อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เราลงไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายนิดหน่อยก็ขึ้นรถมาเลย หลับ ๆ ตื่น ๆ กันไปต่อ ก่อนรถจะเดินทางมาถึง ‘ท่าเรือทุ่งมะขามน้อย’ จ.ชุมพร ขนกระเป๋าลงไปเช็คอินรับตั๋วเรือเรียบร้อย ตอนนี้เป็นเวลาตี 4 ครึ่ง ตั๋ว VIP สามารถนำไปแลกของว่างได้ที่เวลาตี 5 ครึ่ง และเราได้เรือรอบแรก เรียกขึ้นเรือ 6 โมงครึ่ง
บริเวณจุดรอเรือของลมพระยาทำได้ดีทีเดียว มีห้องน้ำ บริเวณให้ชาร์จแบตมือถือ ร้านอาหาร และร้านกาแฟ พอได้เวลาร้านอาหารเปิดทำการ เราก็ไปแลกโอวัลตินร้อน ๆ กับขนมมานั่งกินรอเรือ จังหวะที่นั่งเล่นอยู่นั่นเอง เริ่มเห็นคนเฮโลกันไปทางท่าเรือ เราจึงได้เดินตามออกไปดูบ้าง พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เป็นบรรยากาศที่เงียบสงบ และสวยงามมากจริง ๆ
ยืนชมวิวอีกสักพักก็ได้เวลาลงเรือ เรือเป็นเรือเฟอรี่ลำใหญ่ที่ข้ามไปได้หลายเกาะ เริ่มจากเกาะนางยวน เกาะเต่า เกาะพะงัน และปลายทางคือเกาะสมุย สะพานไม้ที่ทอดยาวไปกลางทะเลมีระยะทางไม่น้อย พื้นไม้บางจุดตะปุ่มตะป่ำ คนที่เอาเป้มาก็สบายหน่อย ส่วนคนที่เอากระเป๋าล้อลากมาก็ต้องระมัดระวัง ออกแรงกันหน่อย
เหมือนเรือข้ามฟากทั่วไปที่มีส่วนที่นั่งให้เลือกระหว่างห้องแอร์ กับดาดฟ้าเรือที่เป็นพื้นที่เปิดโล่ง รอรับลมทะเล แน่นอน...เราเลือกอย่างแรก เพราะไม่อยากไปตัวเหนียวกับไอทะเล และไม่อยากไปลุ้นกับควันบุหรี่ที่เคยพบเจอมาหลาย ๆ ทริป ด้านหลังยังมีห้องน้ำ ส่วนด้านในห้องโดยสารก็มีเคาต์เตอร์ขายอาหารทานเล่น นั่ง ๆ เบื่อ ๆ จะเดินออกไปถ่ายรูปก็ยังได้
นั่งมาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ เรือก็จอดส่งคนที่จุดแรกคือเกาะนางยวน ยังสวยเหมือนในวันวานไม่มีผิด เรือแล่นต่อมาอีกหน่อยก็ถึงจุดหมายปลายทางของเราที่ท่าเรือแม่หาดของ ‘เกาะเต่า’
เกาะเต่าในวันนี้คนเยอะใช้ได้ มีค่าบำรุงเกาะต้องเสียคนละ 20 บาท บริเวณท่าเรือมีห้องน้ำ ที่นั่งพักคอย รอบนี้เราเลือกพักกับที่ ‘coral grand resort’ รถมารอรับเรียบร้อย เป็นรถสองแถวของทางที่พักพาเราจากท่าเรือไปยังหาดทรายรี ถนนหนทางบนเกาะเต่าลาดปูนมีโค้งบ้างบางจุด คงไม่ยากสำหรับคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์เป็น แต่สำหรับเรา วางแผนไว้ตั้งนานแล้วว่าต้องเดินทางบนเกาะด้วยสองขาเท่าที่จะไปไหวเนี่ยแหละ
เช็คอินเข้าที่พักกันเรียบร้อย ห้องพักสำหรับทริปนี้เป็นห้องพัดลมคืนละ 300 บาท ไม่ได้หรูหรามาก แต่สบายมากสำหรับคนเดียว (จริง ๆ นอกจากประหยัดคือมีเหตุผลนะที่เลือกห้องแบบนี้ แล้วจะค่อยเล่าให้อ่าน) เก็บของเสร็จก็รีบไปหาอะไรกินก่อนเลย เพราะยังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เมื่อคืน
เราจุมปุ๊กสั่งข้าวจานเดียวที่ที่พักนี่แหละ เป็นทะเลรวมทอดกระเทียมราคา 120 บาท แต่นั่นยังไม่พอ ตั้งใจว่าจะเดินเลียบหาดดูนู่นดูนี่ไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นเลยลองเสิร์ชชื่อคาเฟ่เกาะเต่าขึ้นมา ชื่อแรกที่ขึ้นมาทำให้เราตัดสินใจไปทันที
หาดทรายรีท่ามกลางแสงแดดตอนสิบเอ็ดโมงไม่ใช่เรื่องตลก แต่มันตลกตรงที่เรามาเดินนี่แหละ ฝรั่งหลายคนหาผ้ามาปูอาบแดด นอนอ่านหนังสือ นั่งดูทะเลเงียบ ๆ เป็นภาพที่โรแมนติกพิลึก ไร้บทสนทนาแต่เราต่างสนใจยังจุด ๆ เดียวกัน เดิน ๆ ไป พอเจอมุมเหมาะเลยพยายามเซลฟี่ เก็บบรรยากาศไว้เป็นที่ระลึก
แต่ก็อยากได้ภาพถ่ายจากคนอื่นอยู่ดี ไม่รอช้า ปฏิบัติการขอฝรั่งถ่ายรูปจึงเริ่มขึ้น
และนี่คือรูปไปคนเดียวที่ถ่ายโดยคนอื่น , Thank you 😊
เดิน ๆ ไปจนเหงื่อท่วมในที่สุดก็มาถึงคาเฟ่ ‘blue water’ คาเฟ่ขึ้นชื่อของเกาะเต่า น่าเสียดายตอนที่ไปไม่รู้ว่าคาเฟ่เพิ่งเปิดหรืออะไร แต่เราไม่เจอชีสเค้กเสาวรสตามรีวิว จึงตัดสินใจสั่งอีกเมนูแทน
ชาเย็น และบราวนี่ริมทะเลแบบนี้ มันดีไม่หยอกนะ
[CR] Solo trip@ เกาะเต่า...ไม่เหงาอย่างที่คิด
แต่สำหรับคนที่ชอบอยู่กับผู้คน พูดคุยแบบเรา แม้ก่อนที่จะกระแสนี้จะแรงก็เคยแอบคิดกับตัวเองเล่น ๆ ว่าการไปเที่ยวคนเดียวเป็น 1 ใน mission ที่อยากจะลองทำสักครั้งก่อนที่จะอายุมากไปกว่านี้ สิ่งที่ไม่เชิงกลัว แต่ดันคิดไปก่อนไม่ใช่เรื่องความปลอดภัย ความสะดวกสบาย ความราบรื่นของการเดินทาง หรืออะไรก็ตาม เพราะเรื่องราวเหล่านั้นชินเสียแล้วกับความไม่แน่นอน สิ่งที่กังวลก็คือใจของตัวเองนี่แหละ...จะเหงามากไหมนะ ?
ด้วยโอกาส จังหวะชีวิต หรืออะไรก็ตามแต่ทำให้เราต้องลองก้าวออกไปทำภารกิจนี้ให้สำเร็จสักที...และนี่คือทริปเที่ยวคนเดียวครั้งแรก(จริงๆ นับตั้งแต่ก้าวออกจากบ้าน) No one กึ่ง ๆ No plan แต่ No make up (อย่าตกใจหน้าสดนะ) No filter ที่อยากมาเล่าสู่กันอ่านค่ะ 😊
Day 0 : Let’s start it
ที่บอกว่าทริปนี้กึ่ง ๆ โนแพลน อาจจะไม่ได้สิ้นเชิงนะ เพราะจองตั๋วรถ ตั๋วเรือ ที่พัก และกิจกรรมหลักที่ทำให้อยากไปโคตร ๆ เอาไว้แล้ว คืนวันเดินทางเราเดินทางกับบริษัทลมพระยา จองรถ+เรือไปกับเขาเลย รถออกเวลา 21.00 น.ที่ถนนข้าวสาร อย่าลืมเผื่อเวลาเช็คอินล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมงเพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ
ในวันที่ไป นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาแล้ว เป็นนิมิตหมายอันดีของการท่องเที่ยวบ้านเรา รถที่เราจองเป็นรถบัส VIP ตัวรถจะจอดอยู่หน้าวัดบวรฯ ที่จะมีเจ้าหน้าที่พาเดินไปขึ้นรถ หันไปสปีคกับฝรั่งที่เดินมาด้วยกันนิดหน่อย เพราะจู่ ๆ ก็ได้รับหน้าที่พาเดินนำแทนเจ้าหน้าที่ที่ไปรอรับคนอีกกลุ่ม...เอ่อ เปิดทริปมาก็สนุกละ รถคันที่ได้เป็นเบาะคู่ทั้งสองฝั่ง นั่งข้างสาวคนหนึ่งที่ชิงหลับไปก่อน บนรถแจกผ้าห่ม และน้ำเปล่าให้คนละ 1 ขวด
ระหว่างที่นั่งรอรถออกมองเบาะแล้วก็คิดเล่น ๆ ตอนเด็ก ๆ เราขึ้นรถทัวร์บ่อยมาก และแน่นอนว่าหนึ่งในสิ่งที่ผู้โดยสารต้องทำคือการปรับเบาะนอน เคยเจอทั้งคนที่ปรับน้อย ๆ อย่างเกรงใจ คนที่หันมาถามก่อน และคนที่ปรับพรึบลงมาจนหนีบเข่าคนข้างหลัง เรียกว่าเจอมาทุกรูปแบบ ตอนนั้นก็คิดว่าทำไมคนสร้างรถเขาไม่ทำให้เบาะปรับได้ระดับแค่นี้ แล้วไปต่อไม่ได้ซะก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนคนข้างหลัง...แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ โตมาได้เฝ้ามองอีกครั้งจึงแอบคิดว่า หรือมันจะมีหนึ่งในความหมายเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ ที่ทำให้คนไม่น้อยต้องหันมามองคนข้างหลังอยู่ดี
รถเคลื่อนตัวออกมาสักพัก จึงเริ่มปิดไฟ คนข้างหน้าหันมาถามเราสองรอบแล้ว และเราก็ยิ้มตอบไปพร้อมกับบอกให้ปรับตามสบาย เขายังไม่วายหันมาบอกว่าถ้าชนขาให้รีบบอก นับเป็นบทสนทนาสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่ทำให้โลกแคบ ๆ บนรถทัวร์น่าโดยสารขึ้นเยอะ
Day 1 : Let it begin
เมื่อคืนรถทัวร์จอดแวะทานมื้อดึกที่ครัวคุณต้น อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เราลงไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายนิดหน่อยก็ขึ้นรถมาเลย หลับ ๆ ตื่น ๆ กันไปต่อ ก่อนรถจะเดินทางมาถึง ‘ท่าเรือทุ่งมะขามน้อย’ จ.ชุมพร ขนกระเป๋าลงไปเช็คอินรับตั๋วเรือเรียบร้อย ตอนนี้เป็นเวลาตี 4 ครึ่ง ตั๋ว VIP สามารถนำไปแลกของว่างได้ที่เวลาตี 5 ครึ่ง และเราได้เรือรอบแรก เรียกขึ้นเรือ 6 โมงครึ่ง
บริเวณจุดรอเรือของลมพระยาทำได้ดีทีเดียว มีห้องน้ำ บริเวณให้ชาร์จแบตมือถือ ร้านอาหาร และร้านกาแฟ พอได้เวลาร้านอาหารเปิดทำการ เราก็ไปแลกโอวัลตินร้อน ๆ กับขนมมานั่งกินรอเรือ จังหวะที่นั่งเล่นอยู่นั่นเอง เริ่มเห็นคนเฮโลกันไปทางท่าเรือ เราจึงได้เดินตามออกไปดูบ้าง พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เป็นบรรยากาศที่เงียบสงบ และสวยงามมากจริง ๆ
ยืนชมวิวอีกสักพักก็ได้เวลาลงเรือ เรือเป็นเรือเฟอรี่ลำใหญ่ที่ข้ามไปได้หลายเกาะ เริ่มจากเกาะนางยวน เกาะเต่า เกาะพะงัน และปลายทางคือเกาะสมุย สะพานไม้ที่ทอดยาวไปกลางทะเลมีระยะทางไม่น้อย พื้นไม้บางจุดตะปุ่มตะป่ำ คนที่เอาเป้มาก็สบายหน่อย ส่วนคนที่เอากระเป๋าล้อลากมาก็ต้องระมัดระวัง ออกแรงกันหน่อย
เหมือนเรือข้ามฟากทั่วไปที่มีส่วนที่นั่งให้เลือกระหว่างห้องแอร์ กับดาดฟ้าเรือที่เป็นพื้นที่เปิดโล่ง รอรับลมทะเล แน่นอน...เราเลือกอย่างแรก เพราะไม่อยากไปตัวเหนียวกับไอทะเล และไม่อยากไปลุ้นกับควันบุหรี่ที่เคยพบเจอมาหลาย ๆ ทริป ด้านหลังยังมีห้องน้ำ ส่วนด้านในห้องโดยสารก็มีเคาต์เตอร์ขายอาหารทานเล่น นั่ง ๆ เบื่อ ๆ จะเดินออกไปถ่ายรูปก็ยังได้
นั่งมาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ เรือก็จอดส่งคนที่จุดแรกคือเกาะนางยวน ยังสวยเหมือนในวันวานไม่มีผิด เรือแล่นต่อมาอีกหน่อยก็ถึงจุดหมายปลายทางของเราที่ท่าเรือแม่หาดของ ‘เกาะเต่า’
เกาะเต่าในวันนี้คนเยอะใช้ได้ มีค่าบำรุงเกาะต้องเสียคนละ 20 บาท บริเวณท่าเรือมีห้องน้ำ ที่นั่งพักคอย รอบนี้เราเลือกพักกับที่ ‘coral grand resort’ รถมารอรับเรียบร้อย เป็นรถสองแถวของทางที่พักพาเราจากท่าเรือไปยังหาดทรายรี ถนนหนทางบนเกาะเต่าลาดปูนมีโค้งบ้างบางจุด คงไม่ยากสำหรับคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์เป็น แต่สำหรับเรา วางแผนไว้ตั้งนานแล้วว่าต้องเดินทางบนเกาะด้วยสองขาเท่าที่จะไปไหวเนี่ยแหละ
เช็คอินเข้าที่พักกันเรียบร้อย ห้องพักสำหรับทริปนี้เป็นห้องพัดลมคืนละ 300 บาท ไม่ได้หรูหรามาก แต่สบายมากสำหรับคนเดียว (จริง ๆ นอกจากประหยัดคือมีเหตุผลนะที่เลือกห้องแบบนี้ แล้วจะค่อยเล่าให้อ่าน) เก็บของเสร็จก็รีบไปหาอะไรกินก่อนเลย เพราะยังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เมื่อคืน
เราจุมปุ๊กสั่งข้าวจานเดียวที่ที่พักนี่แหละ เป็นทะเลรวมทอดกระเทียมราคา 120 บาท แต่นั่นยังไม่พอ ตั้งใจว่าจะเดินเลียบหาดดูนู่นดูนี่ไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นเลยลองเสิร์ชชื่อคาเฟ่เกาะเต่าขึ้นมา ชื่อแรกที่ขึ้นมาทำให้เราตัดสินใจไปทันที
หาดทรายรีท่ามกลางแสงแดดตอนสิบเอ็ดโมงไม่ใช่เรื่องตลก แต่มันตลกตรงที่เรามาเดินนี่แหละ ฝรั่งหลายคนหาผ้ามาปูอาบแดด นอนอ่านหนังสือ นั่งดูทะเลเงียบ ๆ เป็นภาพที่โรแมนติกพิลึก ไร้บทสนทนาแต่เราต่างสนใจยังจุด ๆ เดียวกัน เดิน ๆ ไป พอเจอมุมเหมาะเลยพยายามเซลฟี่ เก็บบรรยากาศไว้เป็นที่ระลึก
แต่ก็อยากได้ภาพถ่ายจากคนอื่นอยู่ดี ไม่รอช้า ปฏิบัติการขอฝรั่งถ่ายรูปจึงเริ่มขึ้น
และนี่คือรูปไปคนเดียวที่ถ่ายโดยคนอื่น , Thank you 😊
เดิน ๆ ไปจนเหงื่อท่วมในที่สุดก็มาถึงคาเฟ่ ‘blue water’ คาเฟ่ขึ้นชื่อของเกาะเต่า น่าเสียดายตอนที่ไปไม่รู้ว่าคาเฟ่เพิ่งเปิดหรืออะไร แต่เราไม่เจอชีสเค้กเสาวรสตามรีวิว จึงตัดสินใจสั่งอีกเมนูแทน
ชาเย็น และบราวนี่ริมทะเลแบบนี้ มันดีไม่หยอกนะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้