เกือบตายโหงเพราะเชื่อว่าผิดศีลข้อ 1 (ฆ่าสัตว์) แล้วกรรมจะตามสนอง--คิดอะไรก็ได้อย่างนั้นตามกฎแรงดึงดูด!

ช่วงน้ำท่วมใหญ่รู้สึกจะเป็นปี 2554  หนูบุกเข้ามาเต็มบ้านเรา พ่อเราเอากรงดักหนู แล้วเอาหนูไปปล่อย แต่หนูก็กลับมาอีก เราเลยเอากับดักแบบ "จับตาย" ทำให้เราฆ่าหนูไปหลายสิบตัว

อยู่ดีๆจิตคิดถึงหนังสือกฎแห่งกรรม ที่เราเคย "หลงโง่อ่าน" เมื่อหลายปีมาแล้ว เนื้อเรื่องทำนองว่า รถทัวร์ไปคว่ำแล้วคนในรถตายหมด แล้วเค้าสอนว่า เพราะชาติก่อนคนพวกนี้เคยเป็นแก้งค์โจรปล้นฆ่าชาวบ้าน กรรมเลยตามมาสนอง

หนังสือกฎแห่งกรรมที่เราเคยอ่านมีอิทธิพลต่อจิตเป็นอย่างมาก ตอนนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ในซอยเล็กๆ จะไปห้างสรรพสินค้าใกล้ๆบ้าน เค้าขี่ตามหลังรถ van ที่วิ่งช้าๆเหมือนเต่า คนขี่มอเตอร์ไซค์ก็เลยแซงขึ้นไป แล้วมีรถเก๋งสวนมา ซึ่งก็ดูว่าจะพ้นได้อย่างปลอดภัย แต่อยู่ดีๆเจ้ารถ van มันดันเร่งความเร็วขึ้นมาอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจะทำให้มอเตอร์ไซค์คันที่เรานั่งโดนชนจากสองฝั่งจนแหลกกระจุย!  เรารีบตั้งสติคิดถึงคำสอนที่ว่า "คิดอะไรก็ได้อย่างนั้นตามกฎแรงดึงดูด" ที่เราเรียนมาจากหนังสือภาษาอังกฤษที่นักคิดฝรั่งเขียนไว้เมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว เรารีบพูดตะโกนใส่จิตสำนึกเราดังๆว่า "กฎแห่งกรรมเป็นเท็จ เราต้องไม่ตายเพราะฆ่าหนูที่มารบกวนเรา พลังจิตที่ได้จากพลังจักรวาลต้องช่วยชีวิตเรา!" แล้วเราเอานิ้วจิกสีข้างคนขี่มอเตอร์ไซค์พร้อมกับกระซิบข้างหูเค้าว่า "เฮ้ย ไม่พ้น!"  เค้าเลยรีบฉากหลบออกไปข้างทาง เข้าไปในพุ่มไม้ ทำให้ทั้งตัวเค้าและเรารอดตายได้อย่างหวุดหวิด!

คราวนี้มาเล่าย้อนถึงความเป็นมาในอดีต เราพยายามฝึกคิดบวกให้ได้สิ่งที่ต้องการตามกฎแรงดึงดูด (ตามคำสอนว่า "คิดอะไรก็ได้อย่างนั้น") แต่ฝึกมาหลายปีไม่สำเร็จ เราจึงคิดทบทวน แล้วเห็นว่า มันเป็นเพราะในอดีตเราเคยเชื่อเรื่อง ปาบบุญคุณโทษ ถือศีล ปฏิบัติธรรม ทำบุญตักบาตร ฟังพระเทศน์ สวดมนต์ ปลง ละกิเลศตัณหา เพื่อไปสู่นิพพาน ซึ่งเป็นการคิดลบ ผลที่ได้ ก็คือ เรายากจนแทบจะต้องไปนอนข้างทาง และป่วยแทบจะพิการนอนติดเตียง เครียดสุดๆ ชีวิตทนทุกข์ทรมาณมากๆ!

แต่พอเราเรียนรู้เรื่องกฎแรงดึงดูดและฝึกคิดบวกตามแนวคิดของนักคิดฝรั่งชาวอเมริกันยุคประมาณ 100 ปี (เราอ่านหนังสือภาษาอังกฤษของพวกเค้าหลายคนมากๆ)  มันทำให้เรากล้าพอที่จะ ลบล้างความเชื่อว่าเราทุกข์ยากเพราะเกิดมามีกรรม เลิกเชื่อว่ามีกรรมอื่นๆอีกหลังเกิด เลิกเชื่อว่าจะต้องทำบุญเพื่อบรรเทาบาปกรรม เลิกเชื่อว่าจะต้องละกิเลส เพื่อที่จะบรรลุนิพพานลมๆแล้งๆ 

เช่น เรียนรู้จาก หนังสือ The Master Key System ที่ เขียนโดย Charles F. Haanal เมื่อปี 1912 ที่สอนว่า

*******"คนเราเกิดมาพร้อมกับพลังอันยิ่งใหญ่ ที่จักรวาลให้มา บางคนร่ำรวยสุขภาพดี บางคนยากจนป่วย และอีกหลายๆคนมีชีวิตในรูปแบบต่างๆที่หลากหลายกันมากๆ ตัวตัดสิน "ไม่ใช่กรรม" แต่มันคือ "พลังจิต" ถ้าเราป้อนข้อมูลในเชิงลบเข้าไปในจิต เช่น "เชื่อว่ามีกรรม เราก็จะเจอแต่ความชั่วร้าย (ตามกฎแรงดึงดูด ที่อยู่เหนือกฎแห่งกรรม)" แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรามีกิเลศตัณหา แล้วเชื่ออย่างแรงกล้าว่า "กิเลศตัณหาของเราจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ เราก็จะสมหวังในทุกอย่าง และจะมีความสุขในชีวิตจนเปี่ยมล้น"*******

จากนั้นเราเรียน คำสอนของฝรั่งนักคิดชาวอเมริกันอีกคนคือ Napoleon Hill คืออันนี้ (มาจากหนังสือของเขาคือ Think And Grow Rich ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1937)
มันเป็นคำสอนให้คิดบวก "ให้มีกิเลศตัณหาอันแรงกล้า แล้วทำให้มันเป็นจริง"
เขาสอนแบบนี้

"The starting point of all achievement is DESIRE. Keep this constantly in mind. Weak desire brings weak results, just as a small fire makes a small amount of heat.
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งหมด คือ กิเลศตัณหา  จงให้จิตคิดเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง กิเลสตัณหาน้อย ผลลัพธ์ก็แผ่ว เหมือนกองไฟเล็กๆ ที่ให้ความร้อนเพียงแค่นิดเดียว"
^
เราเจตนาแปลคำว่า desire เป็น กิเลสตัณหา (ไม่แปลว่า ความปรารถนาอันแรงกล้า)  เพราะเราต้องการตอกย้ำว่า "กิเลศตัณหาเป็นสิ่งที่มีค่า หากไร้ซึ่งกิเลศตัณหา ชีวิตนี้ก็ไร้ค่า ไร้ความหมาย เพราะปราศจากเป้าหมายอันทะเยอทะยาน"  

เราจึงเลิกเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม และลาออกจากศาสนาพุทธไปเมื่ออายุ 63 ปี และชีวิตเราดีขึ้นเรื่อยๆ อยู่ดีๆเราดึงดูดข้อมูลดีๆเรื่องอาหารและโภชนาการใหม่ๆ เข้ามาได้ ทำให้เราหายป่วยจากโรคคนแก่ และตอนนี้เราอายุ 71 ปลอดโรคทั้งปวง สุขภาพดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีข้อมูลดีๆวิ่งเข้ามาหาเรา ทำให้เรารู้วิธีหาเงิน online ได้มากกว่าเดิม

เราอยู่คนเดียวมาตั้งแต่อายุ 63 ถึงตอนนี้ 71 ไม่ว้าเหว่ ต่างจากผู้สูงวัยส่วนใหญ่ที่เดินยักแย่ยักยันเข้าวัดเข้าวา แล้วปลง (คิดลบ) จนป่วยหลายโรค แต่เราคิดบวก และพัฒนาตนเองอยู่เรื่อยๆ วันๆเราค้นข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ online เพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ๆให้ทันโลก

แล้วกลายเป็นฝันแต่เรื่องดีๆเท่านั้น ไม่เคยฝันเห็นผีอีกเลย! แล้วก็ฝันเรื่องที่ดึงดูดให้เกิดเหตุการณ์ที่จิตคิดอยู่ตาม the law of attraction (กฎแรงดึงดูด) ได้อย่างน่ามหัศจรรย์จริงๆด้วยสิ!

หลังจากเลิกคิดลบว่าตัวเองมีกรรม แต่เปลี่ยนเป็นคิดว่าตัวเองได้รับพลังอันยิ่งใหญ่จากจักรวาล นี่คืออัศจรรย์ของพลังจิตที่เกิดขึ้นกับเรา!

น่าจะเมื่อประมาณเกือบๆ 2 เดือนมาแล้ว ก่อนเข้านอนเราคิดถึงเพื่อนเก่า ชื่อ "ก1" ที่เคยชวนคุยเรื่องหนังสือที่สอน the law of attraction (กฎแรงดึงดูด) และสอนเรื่อง think positive (คิดบวก) เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พอตื่นเช้ามาเราเข้าไปใน email เก่าที่เคยติดต่อกันเมื่อ 20 ปีมาแล้ว แต่เราไม่ได้ใช้ email นี้น่าจะ 10 ปีแล้ว เข้าไปดู contacts โห ยังมีอยู่นะ!

เราจด email address กับเบอร์โทรของ "ก1" ไว้ แต่ไม่กล้าโทรไปหาเค้า  เราส่งแค่ email ไปหา แล้วเค้าก็ไม่ตอบมา น่าจะเป็นเพราะเค้าก็เลิกใช้ email address นั้นเหมือนกัน

แต่...แต่อะไร? ตอนเราค้น email address กับ เบอร์โทร "ก1" เราเจอ email address ของเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นนักแปลเหมือนเรา เพื่อนคนนี้ ชื่อ "ก2" นามสกุล "ร" เราก็คิดถึงเค้านะ ก่อนเข้านอนก็คิดถึงเค้าอยู่พักใหญ่ๆ แล้วพอเราหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา อยู่ดีๆลูกค้ารายหนึ่งส่งสัญญาก่อนแต่งงานภาษาไทยมาให้เราแปลจากไทยเป็นอังกฤษ แปลๆไปแล้วตกใจ เจ้าสาวในสัญญานามสกุล "ร" เหมือนกัน และอายุเจ้าสาวก็อ่อนกว่า "ก2" ประมาณเกือบๆ 30 ปี เป็นไปได้ว่าเจ้าสาวเป็นลูกสาวของเพื่อนเรา!

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าทึ่งมากๆก็คือ เรายื่น ภงด 90 แบบ online ไปตั้งแต่ต้นปีนี้แล้ว และ printed ออกมาเก็บไว้เป็นหลักฐาน แล้วก็รอที่จะได้ภาษีคืน แต่เวลาผ่านไปเกือบสองเดือน เราเข้าไปดูรายการที่ยื่นไว้ ปรากฎว่า "ไม่มีข้อมูลอะไรเลย" นั่นก็แสดงว่าเรา printed ภงด 90 เป็น pdf file ออกมาไว้เป็นหลักฐาน แต่ไม่ได้กดปุ่มส่ง งานเข้าหละสิ! จะยื่น online ใหม่ก็ไม่ได้ ระบบปิดแล้ว ต้องไปยื่นที่สำนักงานสรรพกรเขต ยื่นเป็นกระดาษ โห ต้องเสียค่าปรับ 200 บาท แล้วรอคิวยาว  เราเลยคิดเรื่องนี้หมกมุ่นอยู่หลายวัน แล้วคืนหนึ่งก่อนนอน คิดว่าจะไปจ้างสำนักงานบัญชีใกล้ๆบ้านให้ยื่น ภงด 90 ให้เรา เราจะได้ไม่ต้องไปยืนเข้าคิวยาวๆ คิดเรื่องนี้แล้วนอนฝันเห็นตัวเองเข้าไปนั่งในสำนักงานบัญชี เพื่อจ้างเค้าให้ยื่น ภงด 90 ให้เรา

พอตื่นขึ้นมา โห มหัศจรรย์สุดอะ! ลูกค้ารายหนึ่งส่งเอกสารที่ใช้ในการยื่นแบบฟอร์มเสียภาษี มาให้เราแปล!

มันทำให้เราต้องระวังว่าจะคิดเรื่องอะไร เพราะคิดอะไรก็ได้อย่างนั้น!

นั่นก็หมายความว่าเรา ถ้าเราเชื่อว่า เราเกิดมาเพราะมีกรรม หรือแม้กระทั่งเชื่อว่าเราทำบาป แล้วกรรมจะตามมาสนองเรา เราก็จะดึงดูดเอาแต่สิ่งที่ชั่วร้ายให้เข้ามาในชีวิตเรา!

แต่ถ้าเราเชื่อว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับพลังอันยิ่งใหญ่ที่จักรวาลให้มา และคิดบวก คือคิดแต่สิ่งที่ดีงาม the law of attraction (กฎแรงดึงดูด) ก็จะดึงดูดเอาแต่โชคลาภและสิ่งที่ดีงามให้เข้ามาในชีวิตเรา!

เรื่องศีลข้อ 1
*******เราว่า "ถ้ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ถือศีลข้อ 1 อย่างเคร่งครัด มนุษย์ก็จะตายกันหมดโลกเพราะไม่มีอาหารกิน!" 
ถ้าไม่เชื่อก็ลองอ่านไปแล้วคิดไปให้ดีๆ******* 


ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ 
มนุษย์ล่าสัตว์กินเป็นอาหารหลักน่าจะนานถึง 2.6 ล้านปีมาแล้ว 
ไปศึกษาข้อมูลเรื่องนี้ได้ที่นี่
https://www.nature.com/scitable/knowledge/library/evidence-for-meat-eating-by-early-humans-103874273/
มนุษย์เพิ่งทำการเกษตรเมื่อ 15,000 ปีที่ผ่านมานี้เอง แต่มนุษย์ก็ยังต้องฆ่าสัตว์ในกระบวนการเกษตร 

ดู clip นี้ซึ่งเป็นข่าวที่ชาวนาออสเตรเลียต้องฆ่าหนูนับล้านๆตัวเพื่อปกป้องไร่นาตัวเองที่ปลูกพืช 

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ไม่เพียงแต่ที่ออสเตรเลียเท่านั้น แต่การเกษตรทุกหนแห่งบนโลกเพื่อให้ได้พืชมากินนั้น มนุษย์ต้องฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมาก ในกระบวนการต่างๆ คือ การพรวนดิน ไถนา จัดการกับหน้าดิน เก็บเกี่ยว ทำให้สัตว์ ตั้งแต่หนู กระต่าย ผีเสื้อ ตั๊กแตน นก กุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์เลื้อยคลาน ตัวหนอน และแมลง เป็นจำนวนมากต้องตาย! ถ้าไม่ตายเพราะโดนคนหรือรถไถเหยียบหรือทับ ก็โดนสารเคมีฆ่าตาย มันเป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่ชีวิตหนึ่งจะอยู่รอดได้ ก็ต้องเบียดเบียนชีวิตอื่น! พืชกินสัตว์เป็นอาหารก็ยังมีเลย!  เท่านั้นไม่พอยังมีพืชซึ่งเป็นนักเคมีที่ผลิตสารเคมีบางอย่างขึ้นมาเพื่อฆ่าคนและสัตว์ที่ริอ่านจะกินมัน! อ้าวแล้วอย่างนี้พืชไม่ตกนรกกันแล้วยังอยู่ในนรกหรอกหรือ?

*******นี่คือกระบวนความคิดของเรา ที่ defy (ไม่เชื่อฟัง ท้าทาย) คำสอนเรื่องบาปแห่งการฆ่าสัตว์  หากคำสอนเรื่องโทษของการฆ่าสัตว์คือตกนรกเป็นจริง มนุษย์จะต้องยังชดใช้บาปอยู่ในนรก และสูญพันธ์ไปแบบไดโนเสาร์ ไม่มีมนุษย์มาเกิดใหม่จนล้นโลกอย่างทุกวันนี้หรอก และหากมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ถือศีลข้อ 1 อย่างเคร่งครัด คือไม่ฆ่าสัตว์ มนุษย์ทั้งโลกก็จะต้องอดตายกันหมด เพราะไม่มีอาหารจะกิน อย่าตอบว่า กินเจ โดยการกินเนื้อเทียมนะ เพราะการผลิตเนื้อเทียมก็ต้องเอา cells สัตว์ไปเพาะเลี้ยง และต่อให้เอา cells พืชไปเพาะเป็นเนื้อเทียม หรือต่อให้กินแต่พืช พืชก็ต้องมาจากกระบวนการเกษตรที่มนุษย์จำเป็นต้องฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมากดังที่กล่าวไว้ข้างบน*******

สรุปแล้วตามกฎแห่งธรรมชาติ ชีวิตหนึ่งจะอยู่รอดได้ก็ต้องเบียดเบียนชีวิตอื่นๆ 
เราแค่ลาออกจากศาสนาพุทธแบบไทยๆนะ แต่เราก็ยังเรียนศาสนาพุทธที่พระวัดเส้าหลินสอน ที่มีแต่เรื่องการออกกำลัง (ฝึกวิทยายุทธ์) ฝึกเดินลมปราณ เรียนวิชาการแพทย์แผนจีน (ที่มาจากอายุรเวชโบราณของอินเดีย) เพื่อสุขภาพ อย่างเช่นใน clip นี้เป็นต้น

Shaolin Qi Gong 🙆🏻‍♂️ 20 Minute Daily Morning Routine 🙆🏻‍♀️ 八段锦 Ba Duan Jin (Complete Form)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่