การทำทานที่ส่งให้อานิสงส์ในชาตินี้
พระพุทธเจ้าเปรียบการทำทาน เหมือนการหว่านเมล็ดข้าว ลงในเนื้อนา (บุญ)
เราจะได้รับอนิสงส์ผลบุญ ตราบเมื่อเมล็ดข้าวเจริญงอกงาม เป็นรวงข้าว ซึ่ง 90% จะส่งผลในชาติหน้าและชาติต่อๆไป
แต่การทำบุญที่ให้อานิสงส์ในชาตินี้ ตัวอย่างเช่น มหาทุคคตะ เป็นผู้ยากจนที่สุดในเมือง เมื่อเศรษฐีแจ้งข่าวว่า ได้นิมนต์ พระพุทธเจ้ากัสสปะและพระสงฆ์ 20,000 รูป มหาทุคคตะ อยากร่วมในทานนั้น จึงขอนิมนต์พระสงฆ์ 1 รูป เพื่อถวายภัตตาหาร
มหาทุคคตะเป็นชายยากจน เข็ญใจ เงินซื้ออาหารเลี้ยงตนจึงแทบไม่มี จึงไปใช้แรงงานหาเงินเพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร ด้วยความตั้งใจอย่างมาก
ในตอนเช้า แล้วรีบนำภัตตาหารมาถวายพระ
เมื่อมาถึง…พบว่าพระสงฆ์ ทั้ง 20,000 รูปถูกเศรษฐีนิมนต์หมดแล้ว มหาทุคคตะเสียใจอย่างยิ่ง เพราะตั้งใจจะถวายทานนี้เป็นอย่างมาก จนทราบโดยพระญาณของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงถวายบาตรให้แก่มหาทุคคตะ หมายถึง มหาทุคคตะจะได้เป็นผู้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้า……
พระราชา และเศรษฐีทั้งหลายอยากเป็นผู้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้ามาก จึงเสนอทรัพย์สินเงินทองให้แก่มหาทุคคตะมากมาย แต่มหาทุคคตะ ไม่ขอรับทรัพย์สินนั้น กล่าวว่า
“ทรัพย์สิน เงินทองที่ท่านทั้งหลายให้มา ตายไปข้าพเจ้านำไปด้วยไม่ได้ มีเพียงบุญเท่านั้นที่ติดตัวไปได้ วันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจมาถวายทานเพื่อเป็นบุญติดตัวไป ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เกิดเป็นผู้ยากจนเข็ญใจอีกเลย”
และได้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าด้วยความปลาบปลื้มใจอย่างมาก
ด้วยอานิสงส์ของบุญนั้น เมื่อมหาทุคคตะกลับถึงบ้านเกิดมหาสมบัติกองใหญ่ผุดขึ้นกลางบ้าน ทำให้มหาทุคคตะเป็นอภิมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมือง
หลังจากตายก็เกิดเป็นมหาเศรษฐีทุกชาติ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม
เหตที่อานิสงส์ผลทานส่งผลเร็วในชาตินี้ เพราะ
มหาทุคคตะ ตั้งใจใช้แรงงานเพื่อแลกวัตถุดิบมาทำภัตตาหารด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง เปรียบดังเมล็ดข้าวพันธุ์ดีและพระพุทธเจ้าเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐที่สุดในโลก ผลบุญจึงส่งผลได้รวดเร็ว
การทำทานที่ส่งให้อานิสงส์ในชาตินี้
พระพุทธเจ้าเปรียบการทำทาน เหมือนการหว่านเมล็ดข้าว ลงในเนื้อนา (บุญ)
เราจะได้รับอนิสงส์ผลบุญ ตราบเมื่อเมล็ดข้าวเจริญงอกงาม เป็นรวงข้าว ซึ่ง 90% จะส่งผลในชาติหน้าและชาติต่อๆไป
แต่การทำบุญที่ให้อานิสงส์ในชาตินี้ ตัวอย่างเช่น มหาทุคคตะ เป็นผู้ยากจนที่สุดในเมือง เมื่อเศรษฐีแจ้งข่าวว่า ได้นิมนต์ พระพุทธเจ้ากัสสปะและพระสงฆ์ 20,000 รูป มหาทุคคตะ อยากร่วมในทานนั้น จึงขอนิมนต์พระสงฆ์ 1 รูป เพื่อถวายภัตตาหาร
มหาทุคคตะเป็นชายยากจน เข็ญใจ เงินซื้ออาหารเลี้ยงตนจึงแทบไม่มี จึงไปใช้แรงงานหาเงินเพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร ด้วยความตั้งใจอย่างมาก
ในตอนเช้า แล้วรีบนำภัตตาหารมาถวายพระ
เมื่อมาถึง…พบว่าพระสงฆ์ ทั้ง 20,000 รูปถูกเศรษฐีนิมนต์หมดแล้ว มหาทุคคตะเสียใจอย่างยิ่ง เพราะตั้งใจจะถวายทานนี้เป็นอย่างมาก จนทราบโดยพระญาณของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงถวายบาตรให้แก่มหาทุคคตะ หมายถึง มหาทุคคตะจะได้เป็นผู้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้า……
พระราชา และเศรษฐีทั้งหลายอยากเป็นผู้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้ามาก จึงเสนอทรัพย์สินเงินทองให้แก่มหาทุคคตะมากมาย แต่มหาทุคคตะ ไม่ขอรับทรัพย์สินนั้น กล่าวว่า
“ทรัพย์สิน เงินทองที่ท่านทั้งหลายให้มา ตายไปข้าพเจ้านำไปด้วยไม่ได้ มีเพียงบุญเท่านั้นที่ติดตัวไปได้ วันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจมาถวายทานเพื่อเป็นบุญติดตัวไป ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เกิดเป็นผู้ยากจนเข็ญใจอีกเลย”
และได้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าด้วยความปลาบปลื้มใจอย่างมาก
ด้วยอานิสงส์ของบุญนั้น เมื่อมหาทุคคตะกลับถึงบ้านเกิดมหาสมบัติกองใหญ่ผุดขึ้นกลางบ้าน ทำให้มหาทุคคตะเป็นอภิมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมือง
หลังจากตายก็เกิดเป็นมหาเศรษฐีทุกชาติ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม
เหตที่อานิสงส์ผลทานส่งผลเร็วในชาตินี้ เพราะ
มหาทุคคตะ ตั้งใจใช้แรงงานเพื่อแลกวัตถุดิบมาทำภัตตาหารด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง เปรียบดังเมล็ดข้าวพันธุ์ดีและพระพุทธเจ้าเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐที่สุดในโลก ผลบุญจึงส่งผลได้รวดเร็ว