[รูป : พี่แก้ม]
(ป.ล.ค่ายนี้ไปมาเมื่อ 8-10 ธันวาคม 2561 นะคะ หากใครไปตอนนี้ คงมีบางส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้วค่ะ)
ครั้งหนึ่งในชีวิตเราควรลองไป...ค่ายอาสา
ประโยคนี้ดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความทรงจำ จำได้ว่าสมัยเรียน ก็เคยไปค่ายอาสากับมหาวิทยาลัยเหมือนกัน แต่ตอนที่ไปเด็ก ๆ ปิดเทอม เราเลยได้ไปช่วยทาสี สร้างกำแพง ปรับปรุงสถานที่ให้เพียงเท่านั้น ยังไม่ได้คลุกคลีกับเด็ก ๆ สักเท่าไหร่ พอเรียนจบมาก็เริ่มเข้าสู่วงการการทำงานเต็มตัว เที่ยว ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นทั่ว ๆ ไปที่พอได้รับอิสระก็อยากจะใช้ชีวิตให้เต็มที่
จนกระทั่งมาถึงวันหนึ่ง...ที่เห็นโพสต์ค่ายอาสาเด้งขึ้นมา แถมยังเน้นเรื่องทางสาธารณสุขที่เราสามารถทำประโยชน์ให้ได้ สิ่งที่เคยทิ้งไว้เป็นตะกอนในอดีตเลยถูกตีกวนขึ้นมาอีกหน เราใช้ชีวิตได้เต็มที่แล้วเท่าทรัพยากรที่เรามี ไปลองดูกันว่าเราจะแบ่งปัน และสรรสร้างชีวิตที่ดีให้เด็ก ๆ ที่มีทรัพยากรจำกัดได้มากขึ้นหรือไม่...
หากพร้อมลำบาก(แต่สุขใจมาก ๆ)แล้ว ก็ตามมาเลย
สวัสดีชาวแปลกหน้า...ร่วมค่าย
คณะรถตู้จากกรุงเทพฯมาต้อนรับยามเช้ากันที่อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันกันเรียบร้อย เราก็เริ่มออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง
เส้นทางการเดินทางผ่านไปทางดอยอินทนนท์ มีโค้ง มีเขาให้เหม่อมองไปตลอดทาง สุดท้ายแล้วรถตู้ก็มาสิ้นสุดลงที่อ.เชียงดาว สภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ยังร้อนใช้ได้ แม้จะเป็นเดือนธันวาคมก็ยังไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาว แต่ใครจะคิดเล่าว่า เมื่อเวลาผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วโมง เราจะต้องควักเสื้อกันหนาวกันมาใส่นอนแทบไม่ทัน
คณะเดินทางลงมายืดเส้นยืดสาย เราจึงได้เห็นหน้าค่าตากันชัด ๆ หลังจากเมื่อเช้าที่เมาขี้ตายังไม่ได้ทำความรู้จักใคร เราพบกลุ่มวิชาชีพเดียวกัน และต่างวิชาชีพปะปนกันไป บางคนแม้จะไม่ได้เป็นบุคคลากรทางการแพทย์ แต่ก็มาร่วมช่วยด้วยใจอาสาไม่ต่างกัน ทักทายกันพอประมาณ เราก็ต้องเปลี่ยนเป็นรถกระบะเพื่อเดินทางเข้าสู่ ‘บ้านห้วยงู’ จุดหมายปลายทางของค่ายในครั้งนี้
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเราต้องทิ้งรถตู้ไว้ เพราะเส้นทางที่ต้องเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านเป็นดินลูกรังแดง ๆ พี่คนขับรถเล่าให้ฟังว่า หากเป็นหน้าฝนจะเละกว่านี้ และถ้าหากฝนตกหนักก็เรียกได้ว่ารถแทบจะเข้าไปไม่ได้ คนนั่งหลังกระบะอย่างเราพอได้ฟังก็นึกตาม ธรรมชาติข้างทางสวยงาม และยังมีความบริสุทธิ์ บางครั้งที่เรามองว่ามันงดงามได้ถึงขนาดนี้ ก็คงเป็นเพราะเราเพียงผ่านมาแค่บางครา ก่อนจะผ่านไป แต่กับคนที่ต้องอาศัยอยู่ที่นี่ บางทีธรรมชาติที่งดงามก็แปรเปลี่ยนเป็นโหดร้ายได้ พวกเขาจำต้องปรับตัว เรียนรู้ เพื่อที่จะอยู่รอด
จะมีสักครั้งบ้างไหมนะ ที่อยากจะเปลี่ยนเข้าไปอยู่ในเมืองบ้าง ?
นั่งกระเด้งกระดอนหลังกระบะอยู่เกือบชั่วโมง หรืออาจจะชั่วโมงกว่าด้วยซ้ำ เราก็เดินทางมาถึง แต่...ยังไม่ได้ถึงซะทีเดียว เราจำต้องลงจากรถ ปล่อยให้รถกระบะที่น้ำหนักน้อยลงขนเพียงสัมภาระลุยลำธารด้านล่างไปปีนขึ้นยังอีกฝั่ง ส่วนคน ๆ ทั้งหลายก็ต้องเดินข้ามสะพานแขวนที่ใช้สลิงเหล็กยึดโยงไว้ข้ามไป คนกลัวความสูงไม่ต้องคุยกัน ห้ามมองลงไปด้านล่างเด็ดขาด
เพียงเข้ามาถึง ‘ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวง บ้านห้วยงู’ อากาศที่เคยร้อนอบอ้าวก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชื้นอย่างน่าอัศจรรย์
ในวันนี้เรายังไม่ได้เจอชาวบ้านและเด็ก ๆ แต่ทีมของเราแบ่งงานกันเคลียร์สิ่งที่ของที่นำมา ที่นอนคืนนี้คือห้องเรียนที่มีอยู่เพียงห้องเดียว เราจะนอนรวมกันที่นี่ มีคนในทีมบางส่วนที่เลือกไปนอนเต๊นท์ที่นำมากาง จากอาคารปูนหนึ่งเดียวที่เป็นอาคารหลัก ด้านหน้ามีสนามหญ้า เครื่องเล่นของเด็ก ๆ และเสาธงชาติ ไม่ไกลกันยังมีอาคารไม้ที่ค่อนข้างผุพังจนน่าจะใช้เป็นที่นอนไม่ได้ แต่พอใช้เป็นห้องประชุมเตรียมงานกันได้
เราในฐานะหนึ่งในทีมเภสัชกรจึงมีหน้าที่คัดแยกยาบริจาค อันไหนยังใช้ได้ อันไหนต้องทิ้งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมออกหน่วยซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้
ทำงานกันจนเพลิน พองานเสร็จออกมาอีกที แดดก็เริ่มร่ม ลมก็เริ่มตกแล้ว ทีมค่ายบางส่วนได้ลงพื้นที่ออกสำรวจชุมชมไปตั้งแต่บ่าย ๆ พวกเราที่ออกมาทีหลังจึงตัดสินใจเดินดูหมู่บ้านกันใกล้ ๆ จุดค้างคืน ไม่ได้ไปไหนไกลมาก
วิถีชีวิตที่นี่เรียบง่ายจริง ๆ มีการทำการเกษตร และทำปศุสัตว์ น้องวัวที่นี่น่ารักมาก ๆ ไม่ตื่นคน น้องควายก็เป็นนางแบบ นายแบบให้ถ่ายแต่โดยดี ถนนหมู่บ้านบางทีก็ลาดปูน บางช่วงก็เป็นถนนดินง่าย ๆ รถใหญ่ผ่านไม่ได้แน่นอน เด็ก ๆ จึงวิ่งเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน
เดินเล่นกันได้สักพัก ช่วงเวลาที่เร้าใจอีกช่วงก็มาถึง คือการอาบน้ำ น้ำที่นี่ยังเป็นน้ำจากน้ำตกธรรมชาติ ที่ต่อท่อมาใช้ในห้องน้ำ ด้วยจำนวนห้องน้ำที่มีจำกัด และน้ำจากท่อที่ไหลเข้าบ้าง ไหลไม่เข้าบ้าง ทำให้เรากันห้องน้ำไว้สำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ น่ะเหรอ สบายกันเลยสิคราวนี้
นุ่งผ้าถุงอาบน้ำลำธารครั้งแรก ที่สุดของการอาบน้ำที่เคยอาบมาในชีวิต สะอาดหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าสดชื่นมาก ๆ พอพระอาทิตย์ตกดินแล้วที่นี่ก็คือแทบจะมืดไปเลย มืดเร็วเพราะไม่มีแสงไฟฟ้าประดิษฐ์ดังเช่นในเมือง หลังจากทานข้าวเย็นซึ่งทีมครัวทำขึ้นกันอย่างง่าย ๆ เราก็เดินถือไฟฉายคนละอันไปยังอาคารไม้เพื่อประชุมเตรียมพร้อมกิจกรรมที่จะทำกันในวันพรุ่งนี้
กิจกรรมของเรามีหลากหลาย ทั้งออกหน่วยตรวจโรคโดยทีมแพทย์ จ่ายยาโดยทีมเภสัชฯ สอนเรื่องสุขภิบาลโดยทีมพยาบาล และอาสาทั้งหลาย นี่เป็นเพียงแค่ครึ่งเช้า ครึ่งบ่ายเรายังจะได้ไปทำฝายกั้นน้ำร่วมกับเด็ก ๆ อีกด้วย แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว
คืนนั้น...ไฟฉายแทบไม่จำเป็น ขากลับที่เราเดินกลับมายังอาคารนอน แสงจากดวงจันทร์ก็ส่องทางให้เห็นเส้นทางที่พวกเราเลือกที่จะก้าวเดิน...มันเป็นเส้นทางที่สว่างไสวในใจของทุกคนมาตั้งนานแล้ว
โอบุอุจจา...สวัสดีเพื่อนร่วมโลก
ตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับหมอกที่มาต้อนรับอยู่หน้าอาคาร ถือจาน ชามใส่ข้าวคนละใบ พวกเราก็มายืนประชุมซักซ้อมกันอีกรอบเป็นวงกลม
หลังจากเตรียมพร้อมทำความเข้าใจกันเสร็จ แต่ละคนก็แบ่งหน้าที่เข้าไปประจำการในห้องนอนที่วันนี้แปลงโฉมกลายเป็นห้องตรวจโรคย่อย ๆ ทุกคนนั่งตามตำแหน่งที่จัดสรรกันไว้ เราอดตื่นเต้นปนกังวลไม่ได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เจอคนไข้ แต่เป็นครั้งแรกที่คนไข้ส่วนมากพูดภาษาไทยไม่ได้น่ะสิ
พอเริ่มสายชาวบ้านก็ทยอยกันเดินลงมาจากหมู่บ้าน แต่ละคนแต่งตัวง่าย ๆ บางคนนุ่งห่มเสื้อผ้าประจำเผ่า จูงมือลูกเด็กเล็กแดงกันมาคนละคนสองคน บางครอบครัวเรียกว่าแทบจะมากันหมดทั้งบ้าน ผู้ใหญ่ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ มีแต่พวกเด็ก ๆ ที่ดูจะร่าเริงเป็นพิเศษ เด็กป่วยก็เข้ามาตรวจกับทีมแพทย์ เด็กสุขภาพดีก็แยกตัวออกไปทำกิจกรรมสระผม แปรงฟันให้ถูกวิธี
‘โอบุอุจจา (สวัสดี/ขอบคุณ)’
เสียงทักของคนไข้ที่เวียนมาถึงฐานเราดังขึ้น ตรงหน้าเป็นคุณป้าคนหนึ่งพร้อมกับลูกน้อย เรายิ้มให้คุณป้าแม้จะมีแมสกั้นอยู่ คุณป้าพยายามจะพูดอะไรอีกหลายประโยค แต่น่าเสียดายที่เราไม่เข้าใจสักประโยคเดียว ในขณะที่กำลังงง ๆ ว่าจะจ่ายยา อธิบายการกินอย่างไร ฟ้าก็ประทานพี่สาวคนหนึ่งให้เข้ามาช่วยแปล พี่สาวคนนี้พูดภาษาไทยกลางได้มากกว่าคนอื่น ๆ จึงช่วยแปลคำสั่งใช้ยาของเราให้เป็นภาษาถิ่นง่าย ๆ ได้ เราไม่รอช้าที่จะขอเรียนรู้คำจำเป็นซึ่งเป็นคำสั้น ๆ จนได้ความรู้มาหลายประโยค ซึ่งแต่ละคำต้องบอกว่าไม่คุ้นหู และแปลกใหม่มาก ๆ
สุดท้ายแล้ว การจ่ายยาที่เมื่อยมือมากกว่าปากก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ถึงแม้เราจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่น่าประทับใจสุด ๆ ความพยายามไม่เสียหลาย เมื่อคุณป้ายกมือไหว้ที่เรารับไหว้แทบจะไม่ทันก่อนจะจากไป เราก็ได้รับรู้ว่าภารกิจของเราบรรลุผลแล้ว
[CR] อาสาพัฒนาใจ...ค่ายแพทย์อาสา@เชียงดาว
คณะรถตู้จากกรุงเทพฯมาต้อนรับยามเช้ากันที่อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันกันเรียบร้อย เราก็เริ่มออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง
เส้นทางการเดินทางผ่านไปทางดอยอินทนนท์ มีโค้ง มีเขาให้เหม่อมองไปตลอดทาง สุดท้ายแล้วรถตู้ก็มาสิ้นสุดลงที่อ.เชียงดาว สภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ยังร้อนใช้ได้ แม้จะเป็นเดือนธันวาคมก็ยังไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาว แต่ใครจะคิดเล่าว่า เมื่อเวลาผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วโมง เราจะต้องควักเสื้อกันหนาวกันมาใส่นอนแทบไม่ทัน
คณะเดินทางลงมายืดเส้นยืดสาย เราจึงได้เห็นหน้าค่าตากันชัด ๆ หลังจากเมื่อเช้าที่เมาขี้ตายังไม่ได้ทำความรู้จักใคร เราพบกลุ่มวิชาชีพเดียวกัน และต่างวิชาชีพปะปนกันไป บางคนแม้จะไม่ได้เป็นบุคคลากรทางการแพทย์ แต่ก็มาร่วมช่วยด้วยใจอาสาไม่ต่างกัน ทักทายกันพอประมาณ เราก็ต้องเปลี่ยนเป็นรถกระบะเพื่อเดินทางเข้าสู่ ‘บ้านห้วยงู’ จุดหมายปลายทางของค่ายในครั้งนี้
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเราต้องทิ้งรถตู้ไว้ เพราะเส้นทางที่ต้องเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านเป็นดินลูกรังแดง ๆ พี่คนขับรถเล่าให้ฟังว่า หากเป็นหน้าฝนจะเละกว่านี้ และถ้าหากฝนตกหนักก็เรียกได้ว่ารถแทบจะเข้าไปไม่ได้ คนนั่งหลังกระบะอย่างเราพอได้ฟังก็นึกตาม ธรรมชาติข้างทางสวยงาม และยังมีความบริสุทธิ์ บางครั้งที่เรามองว่ามันงดงามได้ถึงขนาดนี้ ก็คงเป็นเพราะเราเพียงผ่านมาแค่บางครา ก่อนจะผ่านไป แต่กับคนที่ต้องอาศัยอยู่ที่นี่ บางทีธรรมชาติที่งดงามก็แปรเปลี่ยนเป็นโหดร้ายได้ พวกเขาจำต้องปรับตัว เรียนรู้ เพื่อที่จะอยู่รอด
จะมีสักครั้งบ้างไหมนะ ที่อยากจะเปลี่ยนเข้าไปอยู่ในเมืองบ้าง ?
นั่งกระเด้งกระดอนหลังกระบะอยู่เกือบชั่วโมง หรืออาจจะชั่วโมงกว่าด้วยซ้ำ เราก็เดินทางมาถึง แต่...ยังไม่ได้ถึงซะทีเดียว เราจำต้องลงจากรถ ปล่อยให้รถกระบะที่น้ำหนักน้อยลงขนเพียงสัมภาระลุยลำธารด้านล่างไปปีนขึ้นยังอีกฝั่ง ส่วนคน ๆ ทั้งหลายก็ต้องเดินข้ามสะพานแขวนที่ใช้สลิงเหล็กยึดโยงไว้ข้ามไป คนกลัวความสูงไม่ต้องคุยกัน ห้ามมองลงไปด้านล่างเด็ดขาด
เพียงเข้ามาถึง ‘ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวง บ้านห้วยงู’ อากาศที่เคยร้อนอบอ้าวก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชื้นอย่างน่าอัศจรรย์
ในวันนี้เรายังไม่ได้เจอชาวบ้านและเด็ก ๆ แต่ทีมของเราแบ่งงานกันเคลียร์สิ่งที่ของที่นำมา ที่นอนคืนนี้คือห้องเรียนที่มีอยู่เพียงห้องเดียว เราจะนอนรวมกันที่นี่ มีคนในทีมบางส่วนที่เลือกไปนอนเต๊นท์ที่นำมากาง จากอาคารปูนหนึ่งเดียวที่เป็นอาคารหลัก ด้านหน้ามีสนามหญ้า เครื่องเล่นของเด็ก ๆ และเสาธงชาติ ไม่ไกลกันยังมีอาคารไม้ที่ค่อนข้างผุพังจนน่าจะใช้เป็นที่นอนไม่ได้ แต่พอใช้เป็นห้องประชุมเตรียมงานกันได้
เราในฐานะหนึ่งในทีมเภสัชกรจึงมีหน้าที่คัดแยกยาบริจาค อันไหนยังใช้ได้ อันไหนต้องทิ้งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมออกหน่วยซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้
ทำงานกันจนเพลิน พองานเสร็จออกมาอีกที แดดก็เริ่มร่ม ลมก็เริ่มตกแล้ว ทีมค่ายบางส่วนได้ลงพื้นที่ออกสำรวจชุมชมไปตั้งแต่บ่าย ๆ พวกเราที่ออกมาทีหลังจึงตัดสินใจเดินดูหมู่บ้านกันใกล้ ๆ จุดค้างคืน ไม่ได้ไปไหนไกลมาก
วิถีชีวิตที่นี่เรียบง่ายจริง ๆ มีการทำการเกษตร และทำปศุสัตว์ น้องวัวที่นี่น่ารักมาก ๆ ไม่ตื่นคน น้องควายก็เป็นนางแบบ นายแบบให้ถ่ายแต่โดยดี ถนนหมู่บ้านบางทีก็ลาดปูน บางช่วงก็เป็นถนนดินง่าย ๆ รถใหญ่ผ่านไม่ได้แน่นอน เด็ก ๆ จึงวิ่งเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน
เดินเล่นกันได้สักพัก ช่วงเวลาที่เร้าใจอีกช่วงก็มาถึง คือการอาบน้ำ น้ำที่นี่ยังเป็นน้ำจากน้ำตกธรรมชาติ ที่ต่อท่อมาใช้ในห้องน้ำ ด้วยจำนวนห้องน้ำที่มีจำกัด และน้ำจากท่อที่ไหลเข้าบ้าง ไหลไม่เข้าบ้าง ทำให้เรากันห้องน้ำไว้สำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ น่ะเหรอ สบายกันเลยสิคราวนี้
นุ่งผ้าถุงอาบน้ำลำธารครั้งแรก ที่สุดของการอาบน้ำที่เคยอาบมาในชีวิต สะอาดหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าสดชื่นมาก ๆ พอพระอาทิตย์ตกดินแล้วที่นี่ก็คือแทบจะมืดไปเลย มืดเร็วเพราะไม่มีแสงไฟฟ้าประดิษฐ์ดังเช่นในเมือง หลังจากทานข้าวเย็นซึ่งทีมครัวทำขึ้นกันอย่างง่าย ๆ เราก็เดินถือไฟฉายคนละอันไปยังอาคารไม้เพื่อประชุมเตรียมพร้อมกิจกรรมที่จะทำกันในวันพรุ่งนี้
กิจกรรมของเรามีหลากหลาย ทั้งออกหน่วยตรวจโรคโดยทีมแพทย์ จ่ายยาโดยทีมเภสัชฯ สอนเรื่องสุขภิบาลโดยทีมพยาบาล และอาสาทั้งหลาย นี่เป็นเพียงแค่ครึ่งเช้า ครึ่งบ่ายเรายังจะได้ไปทำฝายกั้นน้ำร่วมกับเด็ก ๆ อีกด้วย แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว
คืนนั้น...ไฟฉายแทบไม่จำเป็น ขากลับที่เราเดินกลับมายังอาคารนอน แสงจากดวงจันทร์ก็ส่องทางให้เห็นเส้นทางที่พวกเราเลือกที่จะก้าวเดิน...มันเป็นเส้นทางที่สว่างไสวในใจของทุกคนมาตั้งนานแล้ว
โอบุอุจจา...สวัสดีเพื่อนร่วมโลก
ตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับหมอกที่มาต้อนรับอยู่หน้าอาคาร ถือจาน ชามใส่ข้าวคนละใบ พวกเราก็มายืนประชุมซักซ้อมกันอีกรอบเป็นวงกลม
พอเริ่มสายชาวบ้านก็ทยอยกันเดินลงมาจากหมู่บ้าน แต่ละคนแต่งตัวง่าย ๆ บางคนนุ่งห่มเสื้อผ้าประจำเผ่า จูงมือลูกเด็กเล็กแดงกันมาคนละคนสองคน บางครอบครัวเรียกว่าแทบจะมากันหมดทั้งบ้าน ผู้ใหญ่ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ มีแต่พวกเด็ก ๆ ที่ดูจะร่าเริงเป็นพิเศษ เด็กป่วยก็เข้ามาตรวจกับทีมแพทย์ เด็กสุขภาพดีก็แยกตัวออกไปทำกิจกรรมสระผม แปรงฟันให้ถูกวิธี
‘โอบุอุจจา (สวัสดี/ขอบคุณ)’
เสียงทักของคนไข้ที่เวียนมาถึงฐานเราดังขึ้น ตรงหน้าเป็นคุณป้าคนหนึ่งพร้อมกับลูกน้อย เรายิ้มให้คุณป้าแม้จะมีแมสกั้นอยู่ คุณป้าพยายามจะพูดอะไรอีกหลายประโยค แต่น่าเสียดายที่เราไม่เข้าใจสักประโยคเดียว ในขณะที่กำลังงง ๆ ว่าจะจ่ายยา อธิบายการกินอย่างไร ฟ้าก็ประทานพี่สาวคนหนึ่งให้เข้ามาช่วยแปล พี่สาวคนนี้พูดภาษาไทยกลางได้มากกว่าคนอื่น ๆ จึงช่วยแปลคำสั่งใช้ยาของเราให้เป็นภาษาถิ่นง่าย ๆ ได้ เราไม่รอช้าที่จะขอเรียนรู้คำจำเป็นซึ่งเป็นคำสั้น ๆ จนได้ความรู้มาหลายประโยค ซึ่งแต่ละคำต้องบอกว่าไม่คุ้นหู และแปลกใหม่มาก ๆ
สุดท้ายแล้ว การจ่ายยาที่เมื่อยมือมากกว่าปากก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ถึงแม้เราจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่น่าประทับใจสุด ๆ ความพยายามไม่เสียหลาย เมื่อคุณป้ายกมือไหว้ที่เรารับไหว้แทบจะไม่ทันก่อนจะจากไป เราก็ได้รับรู้ว่าภารกิจของเราบรรลุผลแล้ว
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้