‘Jab We Met’ เป็นหนังที่มาจากฝั่งของบอลลิวู้ดบล็อคบลัสเตอร์ซึ่งมีชื่อแปลไทยว่า “เมื่อเราได้พบกัน” แต่ถ้าในชื่อไทยใช้ชื่อว่า สวรรค์ลิขิตสลับขั้วหัวใจ หนังเล่าเรื่องราวของชายกับหญิงแปลกหน้าที่พบกันบนรถไฟและพัฒนาความสัมพันธ์กลายเป็นความรัก ความประทับใจของหนังนอกจากเนื้อเรื่องแล้วยังรวมไปถึงเพลงและบรรยากาศสถานที่ที่พาเราไปฟีลกู๊ดพร้อมๆกับพระ-นาง
____________________________________
เรื่องย่อ
Jab We Met (2007) เล่าเรื่องราวของ Aditya (Shahid Kapoor) หนุ่มนักธุรกิจที่เจอมรสุมชีวิตเดินหนีปัญหาขึ้นรถไฟไปอย่างไร้จุดหมาย ที่นั่นเขาบังเอิญได้พบกับ Geet (Kareena Kapoor) สาวช่างจ้ออารมณ์ดีที่มีแนวคิดและการใช้ชีวิตต่างกับเขาสุดขั้ว นักธุรกิจหนุ่มที่จิตใจเลื่อนลอยกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันในชีวิตอันแสนวุ่นวายของหญิงแปลกหน้าผู้นี้เสียแล้ว
____________________________________
โดยรวมเป็นหนังรักละมุนที่ทำออกมาได้ครบรสชาติ ทั้งช่วงโรแมนติก ดราม่า และตลก เนื้อเรื่องเล่าสนุกเข้าถึงง่าย ถึงจะมีความยาวสองชั่วโมงครึ่งแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด ความรักในเรื่องถูกเปรียบเทียบเหมือนการเดินทาง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีเหตุการณ์ทั้งสุขและทุกข์ที่สองตัวละครพระ-นางต้องคอยดูแลเป็นกำลังให้กันและกัน หนังใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบโดยผ่านการผจญภัยไปในสถานที่ต่างๆ นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือหนังเริ่มต้นเรื่องด้วยรถไฟ ซึ่งมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์สื่อถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และในหนังเองจะมีอยู่ประโยคหนึ่งที่ถูกพูดขึ้นมาว่า “ชีวิตก็เหมือนรถไฟ ถ้าขยับสักนิ้วชีวิตจะบิดพลิ้วไปเป็นกิโล” มีความหมายสื่อถึงตัวละครของพระ-นางที่บังเอิญมาเจอกันปุบปับและความสัมพันธ์ที่ก่อตัวอย่างรวดเร็ว
นอกจากเรื่องของความรักแล้ว สิ่งที่ทำให้หนังฟีลกู๊ดอีกอย่างคือเรื่องของสถานที่ บรรยากาศและวัฒนธรรมตั้งแต่สเกลครอบครัวจนถึงระดับชุมชนของชาวปันจาบ และเผ่าต่างๆ ทางอินเดียตอนเหนือ รวมไปถึงบทเพลงที่ไพเราะติดหูทั้งสิ้น โดยเฉพาะ theme song ที่เป็นเพลงหลักของเรื่องฟังแล้วเหมือนถูกมนต์สะกด เพลงช้าฟังเพลิน เพลงเร็วสนุกเร้าใจผสานเข้ากับการเต้นในแบบฉบับปันจาบสไตล์เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ทั้งนี้รวมไปถึงคอสตูมเครื่องแต่งกายที่มีสีสันฉูดฉาดกับฉากหลังวิวทิวทรรศที่สวยแปลกตา
ทางด้านงานแสดง คู่พระนาง – Shahid Kapoor และ Kareena Kapoor (นามสกุลเหมือนกันเฉยๆ) ทำหน้าที่ตัวเองได้ดี แต่ฝ่ายหญิงดูจะมีภาษีดีกว่าตรงที่ตัวละครของเธอนั้นคือสีสันสำคัญของเรื่อง ซึ่งส่งผลให้เจ้าหล่อนคว้ารางวัลสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากหลากหลายสถาบัน และก็ไม่น่าแปลกใจอันใดนักเพราะตัวละครหญิงนี้เล่นได้ยากพอสมควร ตั้งแต่บทพูดที่รัวอย่างกับแร็บจนไปถึงการแสดงออกทางอารมณ์ที่แปรปรวน Kareena เล่นได้เนียนเป็นธรรมชาติ บวกกับพลังที่เต็มร้อยไม่มีตก นอกจากนี้ในชีวิตจริงตอนถ่ายทำภาพยนตร์ Kareena กำลังคบหาดูใจกับ Shahid อยู่ด้วยแต่ตัดสินใจเลิกราในช่วงหนังใกล้ปิดกล้อง ซึ่งเป็นข่าวช็อตวงการเนื่องจากทั้งสองเป็นคู่รักที่คบหากันมาหลายปีและอยู่ในสายตาของแฟนหนังบอลลิวู้ด
สำหรับเราหนังเรื่องนี้ครบรสชาติหนังรักฟีลกู๊ด เป็นหนังที่หยิบมาดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ดูยังไงก็ไม่เบื่อ ถึงหนังจะเป็นแนวชวนฝันแต่ทำให้รู้สึกอิ่มเอิบดีต่อใจเป็นอย่างมาก หนังเล่าเรื่องสนุก การแสดงดีงาม มุกตลกชวนหัวเราะ ส่วนทางด้านบรรยากาศสถานที่คือจุดขายของเรื่องเลยก็ว่าได้ หนังมีใน Netflix บรรยายอังกฤษ แต่ส่วนตัวแนะนำให้ดูพากย์ไทยดีกว่า ซึ่งเห็นมีลงเอาไว้ในเว็บหนังออนไลน์
____________________________________
หากสนใจในหนังเก่า คลาสสิกยุคจอเงิน หรือบทความเกี่ยวกับนักแสดง ผู้กำกับ
ฝากกดไลค์ติดตามเพจด้วยนะคะ มีอัพเดททุกสัปดาห์ :
https://www.facebook.com/classicreviwerth
หรืออ่านรีวิวหนัง :
https://classicreviewer.wordpress.com
รีวิวหนังรอมคอมน่ารัก Jab We Met (2007) เมื่อชายกับหญิงแปลกหน้าที่พบกันบนรถไฟและพัฒนาความสัมพันธ์กลายเป็นความรัก
____________________________________
เรื่องย่อ
Jab We Met (2007) เล่าเรื่องราวของ Aditya (Shahid Kapoor) หนุ่มนักธุรกิจที่เจอมรสุมชีวิตเดินหนีปัญหาขึ้นรถไฟไปอย่างไร้จุดหมาย ที่นั่นเขาบังเอิญได้พบกับ Geet (Kareena Kapoor) สาวช่างจ้ออารมณ์ดีที่มีแนวคิดและการใช้ชีวิตต่างกับเขาสุดขั้ว นักธุรกิจหนุ่มที่จิตใจเลื่อนลอยกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันในชีวิตอันแสนวุ่นวายของหญิงแปลกหน้าผู้นี้เสียแล้ว
____________________________________
โดยรวมเป็นหนังรักละมุนที่ทำออกมาได้ครบรสชาติ ทั้งช่วงโรแมนติก ดราม่า และตลก เนื้อเรื่องเล่าสนุกเข้าถึงง่าย ถึงจะมีความยาวสองชั่วโมงครึ่งแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด ความรักในเรื่องถูกเปรียบเทียบเหมือนการเดินทาง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีเหตุการณ์ทั้งสุขและทุกข์ที่สองตัวละครพระ-นางต้องคอยดูแลเป็นกำลังให้กันและกัน หนังใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบโดยผ่านการผจญภัยไปในสถานที่ต่างๆ นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือหนังเริ่มต้นเรื่องด้วยรถไฟ ซึ่งมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์สื่อถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และในหนังเองจะมีอยู่ประโยคหนึ่งที่ถูกพูดขึ้นมาว่า “ชีวิตก็เหมือนรถไฟ ถ้าขยับสักนิ้วชีวิตจะบิดพลิ้วไปเป็นกิโล” มีความหมายสื่อถึงตัวละครของพระ-นางที่บังเอิญมาเจอกันปุบปับและความสัมพันธ์ที่ก่อตัวอย่างรวดเร็ว
นอกจากเรื่องของความรักแล้ว สิ่งที่ทำให้หนังฟีลกู๊ดอีกอย่างคือเรื่องของสถานที่ บรรยากาศและวัฒนธรรมตั้งแต่สเกลครอบครัวจนถึงระดับชุมชนของชาวปันจาบ และเผ่าต่างๆ ทางอินเดียตอนเหนือ รวมไปถึงบทเพลงที่ไพเราะติดหูทั้งสิ้น โดยเฉพาะ theme song ที่เป็นเพลงหลักของเรื่องฟังแล้วเหมือนถูกมนต์สะกด เพลงช้าฟังเพลิน เพลงเร็วสนุกเร้าใจผสานเข้ากับการเต้นในแบบฉบับปันจาบสไตล์เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ทั้งนี้รวมไปถึงคอสตูมเครื่องแต่งกายที่มีสีสันฉูดฉาดกับฉากหลังวิวทิวทรรศที่สวยแปลกตา
ทางด้านงานแสดง คู่พระนาง – Shahid Kapoor และ Kareena Kapoor (นามสกุลเหมือนกันเฉยๆ) ทำหน้าที่ตัวเองได้ดี แต่ฝ่ายหญิงดูจะมีภาษีดีกว่าตรงที่ตัวละครของเธอนั้นคือสีสันสำคัญของเรื่อง ซึ่งส่งผลให้เจ้าหล่อนคว้ารางวัลสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากหลากหลายสถาบัน และก็ไม่น่าแปลกใจอันใดนักเพราะตัวละครหญิงนี้เล่นได้ยากพอสมควร ตั้งแต่บทพูดที่รัวอย่างกับแร็บจนไปถึงการแสดงออกทางอารมณ์ที่แปรปรวน Kareena เล่นได้เนียนเป็นธรรมชาติ บวกกับพลังที่เต็มร้อยไม่มีตก นอกจากนี้ในชีวิตจริงตอนถ่ายทำภาพยนตร์ Kareena กำลังคบหาดูใจกับ Shahid อยู่ด้วยแต่ตัดสินใจเลิกราในช่วงหนังใกล้ปิดกล้อง ซึ่งเป็นข่าวช็อตวงการเนื่องจากทั้งสองเป็นคู่รักที่คบหากันมาหลายปีและอยู่ในสายตาของแฟนหนังบอลลิวู้ด
สำหรับเราหนังเรื่องนี้ครบรสชาติหนังรักฟีลกู๊ด เป็นหนังที่หยิบมาดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ดูยังไงก็ไม่เบื่อ ถึงหนังจะเป็นแนวชวนฝันแต่ทำให้รู้สึกอิ่มเอิบดีต่อใจเป็นอย่างมาก หนังเล่าเรื่องสนุก การแสดงดีงาม มุกตลกชวนหัวเราะ ส่วนทางด้านบรรยากาศสถานที่คือจุดขายของเรื่องเลยก็ว่าได้ หนังมีใน Netflix บรรยายอังกฤษ แต่ส่วนตัวแนะนำให้ดูพากย์ไทยดีกว่า ซึ่งเห็นมีลงเอาไว้ในเว็บหนังออนไลน์
____________________________________
หากสนใจในหนังเก่า คลาสสิกยุคจอเงิน หรือบทความเกี่ยวกับนักแสดง ผู้กำกับ
ฝากกดไลค์ติดตามเพจด้วยนะคะ มีอัพเดททุกสัปดาห์ : https://www.facebook.com/classicreviwerth
หรืออ่านรีวิวหนัง : https://classicreviewer.wordpress.com