ไปกระโดดน้ำที่ลำคลองงูกันไหม ?
ช่วงหลายปีให้หลังนี้ จุดกระโดดน้ำวัดใจของ ‘ลำคลองงู’ ดูจะเป็นที่กล่าวถึงกันในวงกว้าง ทำไมต้องเป็นที่นี่ ทำไมต้องไป ที่นี่ดังขึ้นมาเพียงเพราะรีวิวเท่านั้นหรือ ใคร ๆ เขาก็ไปกัน เราจึงจำเป็นต้องไปตาม ? หรือว่ามันจะมีอะไรพิเศษกว่านั้นที่ซ่อนอยู่...
ถ้าอยากรู้...ก็ตามมาสิ
>>>>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<
เนื่องจากลำคลองงูตั้งอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยระยะทางที่ไม่ได้ไกลมาก ทำให้เราไม่ต้องรีบออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่หัวค่ำ โดยเฉพาะในปีนี้ (พ.ศ.2565) ทางอุทยานฯมีประกาศใหม่ คือปิดห้ามเข้าถ้ำเสาหิน ให้เข้าได้เฉพาะถ้ำนกนางแอ่น ซึ่งโดยปกติ ตารางการท่องเที่ยวมักจะใช้เวลา 2 วันเพื่อเข้าถ้ำละวัน เมื่อเข้าได้เพียงถ้ำเดียว และจองคิวเข้าได้วันอาทิตย์ วันเสาร์จึงเป็นวันว่าง ถ้าอย่างนั้นแวะเข้าไปที่ตัวสังขละบุรีกันดีกว่า
สังขละบุรียามเช้าในวันนั้นคลาคล่ำไปด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวมหาศาลที่หลั่งไหลกันเข้ามาท่องเที่ยว และแน่นอน กิจกรรมยามเช้าที่ห้ามพลาดคือการตักบาตรที่สะพานมอญ
ร้านขายชุดตักบาตรมีอยู่ด้วยกันหลากหลายร้าน ไม่จำเป็นต้องเตรียมของมาเอง นอกจากชุดตักบาตรแล้ว บางร้านยังมีบริการให้เช่าชุดมอญสวมตักบาตรไปด้วยเลย ด้วยสังขละบุรีมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอยู่รวมกัน โดยเฉพาะชาวมอญที่ยังรักษาวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง นอกจากชาวมอญแล้วก็ยังมีชาวไทยใหญ่(พม่า) อาศัยปะปนกัน เอกลักษณ์ของผู้คนที่สังขละบุรีที่ใครมาก็ต้องเห็น คือการที่ผู้หญิงจะเทินของไว้เหนือศีรษะเดินเหินไปไหนมาไหนได้อย่างสบาย นี่ถ้าเป็นเราไม่คอเคล็ดก็คงสะดุดล้มตั้งแต่แรก
สะพานมอญเปี่ยมมนต์ขลังเสมอ ยิ่งแสงแรกแห่งวันสาดส่อง ท่ามกลางผู้คนมากมาย หัวใจกลับรู้สึกสงบ
ตักบาตรกันเรียบร้อย เราไม่พลาดที่จะแวะไปสักการะร่างของหลวงพ่ออุตตมะ เกจิชื่อดังที่ทั้งนักบุญ และนักพัฒนาแห่งสังขละบุรี แม้ในวันนี้ หลวงพ่อจะมรณภาพไปนานแล้ว แต่ยังมีการเก็บสังขารของท่านไว้ในโลงแก้ว เนื่องจากสังขารของท่านเกิดความมหัศจรรย์คือไม่เน่าไม่เปื่อย นอกจากนั้นแล้วที่วัดวังวิเวกการามแห่งใหม่นี้(ส่วนที่ไม่ใช่วัดจมน้ำ)ยังมีสถาปัตยกรรมที่น่าเดินชมมากมาย เป็นศิลปะแบบผสมของไทย มอญ พม่าที่แปลกตาไม่แพ้ที่ใด
ไม่ไกลกันนักยังเป็นที่ตั้งของเจดีย์พุทธคยา ช่วงที่เราไปตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้เจอผู้คนออกมาทำบุญกันมากมาย โดยเฉพาะชาวเพื่อนบ้านของเราที่มีกิจกรรมที่น่าสนใจ ปกติแล้วคนไทยจะทำการก่อพระเจดีย์ทรายในช่วงสงกรานต์ แต่ที่นีไม่ใช่เลย เขาก่อกันจริงจังมาก เสียงฮุยเลฮุ้ยดังมาตั้งแต่ก้าวลงจากรถ เราเข้าไปยืนมองอย่างสนใจ
นี่มันไม่ใช่แค่ก่อเจดีย์ทรายแล้ว แต่นี่มันจะสร้างบ้านแล้ว นับถือในความศรัทธาและหัวใจของพวกเขาจริง ๆ
ตอนที่ไป เจดีย์กำลังบูรณะ จึงไม่เหลืองทองเหมือนที่เคยมา แต่งดงามไม่แพ้กัน
มากาญจนบุรีไฉนจะพลาดการไปด่านเจดีย์สามองค์ ในตอนนี้เนื่องจากสถานการณ์โควิดเลยยังปิดเขตแดน ทำให้เราไม่สามารถข้ามไปที่ฝั่งประเทศพม่าได้ ในวันที่สถานการณ์ดีขึ้น สองประเทศคงได้เดินทางไปมาหาสู่กันได้ดังเดิม
เจดีย์สามองค์ที่มากี่ครั้งก็ยังนึกถึงวิชาสังคมสมัยตอนเด็กอยู่เสมอ และยังรู้สึกขอบคุณในความเสียสละของบรรพบุรุษไทย
ขนมบาเยีย ของชอบ ที่นี่ทอดกันสด ๆ ขายกันตรงนั้นเลย เรียกว่าทอดสุกปุ๊บเทใส่ถุงพลาสติกปั๊บ อาจจะไม่ถูกสุขลักษณะเท่าไหร่ แต่ที่นี่มันคือเรื่องปกติ...คือวิถีชีวิต
ร้านกาแฟรสชาติดีที่ห้ามพลาด ท่ามกลางร้านขายของที่ระลึกมากมาย ร้านแห่งนี้มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
ช่วงบ่าย เราเดินทางสู่จุดกางเต๊นท์ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนจากตัวอช.ลำคลองงูที่เมื่อก่อนจะให้กางตรงนี้
สู่จุดกางเต๊นท์น้ำตกนางครวญ ซึ่งอยู่ถัดเข้ามาด้านใน ระหว่างทางสวยงามมาก เป็นภาพจำของกาญจนบุรีที่คุ้นตาทุกครั้งที่มา ทุ่งหญ้าแห้ง ๆ ป่าไผ่ที่ดูเหมือนอากาศน่าจะร้อนอบอ้าว แต่กลับมีลมเย็นพัดมาตลอดทั้งวัน
คืนนี้นอนกันที่นี่นะ
กางเต๊นท์เก็บของจนเสร็จ เราก็เดินเที่ยมไปตาม ‘เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกนางครวญ’ ระยะทางเดินง่ายมีเส้นทางชัดเจน เดินผ่านป่า ผ่านลำธารไปเรื่อย ๆ บางจุดเป็นทางเดินธรรมชาติแบบนี้ เป็นไม้ไผ่มาวางเป็นโครงให้ได้เดินโยกเยกกันนิดหน่อย
ก็จะถึงน้ำตกนางครวญชั้นที่ 1 ซึ่งน้ำตกแห่งนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ชั้น แต่ทางอุทยานฯอนุญาตให้เดินไปได้แค่ชั้นที่ 3 เท่านั้น เนื่องจากชั้นที่ 4 ไปค่อนข้างยาก หนทางลาดชัน
น้ำตกนางครวญชั้นที่ 1 สดชื่นและสวยในแบบของตัวเอง ลงเล่นน้ำได้อย่างสบายใจ
เราเดินต่อไปยังชั้นที่ 2 เริ่มข้ามน้ำไปเรื่อยๆ จุดนี้เป็นจุดที่เราชอบมาก มันเป็นทางไหลของน้ำตกที่เราต้องตัดไป ตอนแรกก็กลัวว่าจะลื่น แต่กลับเป็นลานหินที่ไม่ลื่นเลย และน่าเล่นน้ำมาก ๆ
มาแล้วก็ต้องห้ามพลาดสิ นี่มันอ่างจากุชชี่ส่วนตัวเลยนะ
แต่ปรากฏว่าเดินมาถึงชั้นที่ 2 ทางเดินก็ถูกกั้นไว้ เดาว่าอาจจะเพราะบันไดหรือเส้นทางมันผุพัง เราก็เลยลงไปไม่ได้ เราจึงเดินเลยมาถึงชั้นที่ 3
ชั้นที่ 3 มีชานไม้ให้เดินขึ้นไปยืนถ่ายรูป
และน้ำตกชั้นที่ 3 ก็สวยงามไม่แพ้กัน
ถ่ายรูปเล่น เล่นน้ำสักพักก็เดินย้อนกลับมาทางเดิม ข้อเตือนใจของการเดินท่องเที่ยวในอช.คืออย่าเข้าไปและกลับออกมาเย็นนัก เนื่องจากสภาพอากาศในป่า เวลาเย็นที บางครั้งมันจะมืดเร็วมาก ๆ และบางจุดก็ไม่ได้มีจนท.ไปนั่งประจำคอยตามเก็บคน นักท่องเที่ยวจึงควรรับผิดชอบตัวเองให้ดีที่สุด
เย็นนี้กับข้าวอร่อยมากมาย ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศหรือสิ่งใด อีกทั้งภาชนะที่ใช้ก็เป็นสายรักษ์โลก ทำมาจากกาบหมากที่ย่อยสลายได้ สำหรับขยะที่ย่อยไม่ได้ เราต้องเก็บรวบรวมไว้แล้วนำไปทิ้งนอกอช.ตามระเบียบอช.ที่ประกาศออกมาใหม่ เป็นการลดขยะ รักษ์โลก ช่วยกันคนละไม้คนละมือ
คืนนี้จันทร์สว่างมาก ไม่ต้องเปิดไฟฉายก็เดินไปไหนมาไหนได้สบาย
และเราก็หลับฝันท่ามกลางแสงจันทร์
[CR] ลำ ค ล อ ง งู : ชื่อนี้มีดีกว่าที่รีวิว
ช่วงหลายปีให้หลังนี้ จุดกระโดดน้ำวัดใจของ ‘ลำคลองงู’ ดูจะเป็นที่กล่าวถึงกันในวงกว้าง ทำไมต้องเป็นที่นี่ ทำไมต้องไป ที่นี่ดังขึ้นมาเพียงเพราะรีวิวเท่านั้นหรือ ใคร ๆ เขาก็ไปกัน เราจึงจำเป็นต้องไปตาม ? หรือว่ามันจะมีอะไรพิเศษกว่านั้นที่ซ่อนอยู่...
ถ้าอยากรู้...ก็ตามมาสิ
สังขละบุรียามเช้าในวันนั้นคลาคล่ำไปด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวมหาศาลที่หลั่งไหลกันเข้ามาท่องเที่ยว และแน่นอน กิจกรรมยามเช้าที่ห้ามพลาดคือการตักบาตรที่สะพานมอญ
ร้านขายชุดตักบาตรมีอยู่ด้วยกันหลากหลายร้าน ไม่จำเป็นต้องเตรียมของมาเอง นอกจากชุดตักบาตรแล้ว บางร้านยังมีบริการให้เช่าชุดมอญสวมตักบาตรไปด้วยเลย ด้วยสังขละบุรีมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอยู่รวมกัน โดยเฉพาะชาวมอญที่ยังรักษาวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง นอกจากชาวมอญแล้วก็ยังมีชาวไทยใหญ่(พม่า) อาศัยปะปนกัน เอกลักษณ์ของผู้คนที่สังขละบุรีที่ใครมาก็ต้องเห็น คือการที่ผู้หญิงจะเทินของไว้เหนือศีรษะเดินเหินไปไหนมาไหนได้อย่างสบาย นี่ถ้าเป็นเราไม่คอเคล็ดก็คงสะดุดล้มตั้งแต่แรก
สะพานมอญเปี่ยมมนต์ขลังเสมอ ยิ่งแสงแรกแห่งวันสาดส่อง ท่ามกลางผู้คนมากมาย หัวใจกลับรู้สึกสงบ
ตักบาตรกันเรียบร้อย เราไม่พลาดที่จะแวะไปสักการะร่างของหลวงพ่ออุตตมะ เกจิชื่อดังที่ทั้งนักบุญ และนักพัฒนาแห่งสังขละบุรี แม้ในวันนี้ หลวงพ่อจะมรณภาพไปนานแล้ว แต่ยังมีการเก็บสังขารของท่านไว้ในโลงแก้ว เนื่องจากสังขารของท่านเกิดความมหัศจรรย์คือไม่เน่าไม่เปื่อย นอกจากนั้นแล้วที่วัดวังวิเวกการามแห่งใหม่นี้(ส่วนที่ไม่ใช่วัดจมน้ำ)ยังมีสถาปัตยกรรมที่น่าเดินชมมากมาย เป็นศิลปะแบบผสมของไทย มอญ พม่าที่แปลกตาไม่แพ้ที่ใด
ไม่ไกลกันนักยังเป็นที่ตั้งของเจดีย์พุทธคยา ช่วงที่เราไปตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้เจอผู้คนออกมาทำบุญกันมากมาย โดยเฉพาะชาวเพื่อนบ้านของเราที่มีกิจกรรมที่น่าสนใจ ปกติแล้วคนไทยจะทำการก่อพระเจดีย์ทรายในช่วงสงกรานต์ แต่ที่นีไม่ใช่เลย เขาก่อกันจริงจังมาก เสียงฮุยเลฮุ้ยดังมาตั้งแต่ก้าวลงจากรถ เราเข้าไปยืนมองอย่างสนใจ
นี่มันไม่ใช่แค่ก่อเจดีย์ทรายแล้ว แต่นี่มันจะสร้างบ้านแล้ว นับถือในความศรัทธาและหัวใจของพวกเขาจริง ๆ
ตอนที่ไป เจดีย์กำลังบูรณะ จึงไม่เหลืองทองเหมือนที่เคยมา แต่งดงามไม่แพ้กัน
มากาญจนบุรีไฉนจะพลาดการไปด่านเจดีย์สามองค์ ในตอนนี้เนื่องจากสถานการณ์โควิดเลยยังปิดเขตแดน ทำให้เราไม่สามารถข้ามไปที่ฝั่งประเทศพม่าได้ ในวันที่สถานการณ์ดีขึ้น สองประเทศคงได้เดินทางไปมาหาสู่กันได้ดังเดิม
เจดีย์สามองค์ที่มากี่ครั้งก็ยังนึกถึงวิชาสังคมสมัยตอนเด็กอยู่เสมอ และยังรู้สึกขอบคุณในความเสียสละของบรรพบุรุษไทย
ขนมบาเยีย ของชอบ ที่นี่ทอดกันสด ๆ ขายกันตรงนั้นเลย เรียกว่าทอดสุกปุ๊บเทใส่ถุงพลาสติกปั๊บ อาจจะไม่ถูกสุขลักษณะเท่าไหร่ แต่ที่นี่มันคือเรื่องปกติ...คือวิถีชีวิต
ร้านกาแฟรสชาติดีที่ห้ามพลาด ท่ามกลางร้านขายของที่ระลึกมากมาย ร้านแห่งนี้มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
ช่วงบ่าย เราเดินทางสู่จุดกางเต๊นท์ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนจากตัวอช.ลำคลองงูที่เมื่อก่อนจะให้กางตรงนี้
สู่จุดกางเต๊นท์น้ำตกนางครวญ ซึ่งอยู่ถัดเข้ามาด้านใน ระหว่างทางสวยงามมาก เป็นภาพจำของกาญจนบุรีที่คุ้นตาทุกครั้งที่มา ทุ่งหญ้าแห้ง ๆ ป่าไผ่ที่ดูเหมือนอากาศน่าจะร้อนอบอ้าว แต่กลับมีลมเย็นพัดมาตลอดทั้งวัน
คืนนี้นอนกันที่นี่นะ
กางเต๊นท์เก็บของจนเสร็จ เราก็เดินเที่ยมไปตาม ‘เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกนางครวญ’ ระยะทางเดินง่ายมีเส้นทางชัดเจน เดินผ่านป่า ผ่านลำธารไปเรื่อย ๆ บางจุดเป็นทางเดินธรรมชาติแบบนี้ เป็นไม้ไผ่มาวางเป็นโครงให้ได้เดินโยกเยกกันนิดหน่อย
ก็จะถึงน้ำตกนางครวญชั้นที่ 1 ซึ่งน้ำตกแห่งนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ชั้น แต่ทางอุทยานฯอนุญาตให้เดินไปได้แค่ชั้นที่ 3 เท่านั้น เนื่องจากชั้นที่ 4 ไปค่อนข้างยาก หนทางลาดชัน
น้ำตกนางครวญชั้นที่ 1 สดชื่นและสวยในแบบของตัวเอง ลงเล่นน้ำได้อย่างสบายใจ
เราเดินต่อไปยังชั้นที่ 2 เริ่มข้ามน้ำไปเรื่อยๆ จุดนี้เป็นจุดที่เราชอบมาก มันเป็นทางไหลของน้ำตกที่เราต้องตัดไป ตอนแรกก็กลัวว่าจะลื่น แต่กลับเป็นลานหินที่ไม่ลื่นเลย และน่าเล่นน้ำมาก ๆ
มาแล้วก็ต้องห้ามพลาดสิ นี่มันอ่างจากุชชี่ส่วนตัวเลยนะ
แต่ปรากฏว่าเดินมาถึงชั้นที่ 2 ทางเดินก็ถูกกั้นไว้ เดาว่าอาจจะเพราะบันไดหรือเส้นทางมันผุพัง เราก็เลยลงไปไม่ได้ เราจึงเดินเลยมาถึงชั้นที่ 3
ชั้นที่ 3 มีชานไม้ให้เดินขึ้นไปยืนถ่ายรูป
และน้ำตกชั้นที่ 3 ก็สวยงามไม่แพ้กัน
ถ่ายรูปเล่น เล่นน้ำสักพักก็เดินย้อนกลับมาทางเดิม ข้อเตือนใจของการเดินท่องเที่ยวในอช.คืออย่าเข้าไปและกลับออกมาเย็นนัก เนื่องจากสภาพอากาศในป่า เวลาเย็นที บางครั้งมันจะมืดเร็วมาก ๆ และบางจุดก็ไม่ได้มีจนท.ไปนั่งประจำคอยตามเก็บคน นักท่องเที่ยวจึงควรรับผิดชอบตัวเองให้ดีที่สุด
เย็นนี้กับข้าวอร่อยมากมาย ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศหรือสิ่งใด อีกทั้งภาชนะที่ใช้ก็เป็นสายรักษ์โลก ทำมาจากกาบหมากที่ย่อยสลายได้ สำหรับขยะที่ย่อยไม่ได้ เราต้องเก็บรวบรวมไว้แล้วนำไปทิ้งนอกอช.ตามระเบียบอช.ที่ประกาศออกมาใหม่ เป็นการลดขยะ รักษ์โลก ช่วยกันคนละไม้คนละมือ
คืนนี้จันทร์สว่างมาก ไม่ต้องเปิดไฟฉายก็เดินไปไหนมาไหนได้สบาย
และเราก็หลับฝันท่ามกลางแสงจันทร์
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้