Scott Ritter เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของนาวิกโยธินสหรัฐฯ และผู้เขียน 'SCORPION KING: America's Suicidal Embrace of Nuclear Weapons from FDR to Trump' เขาทำงานในสหภาพโซเวียตฐานะผู้ตรวจการตามสนธิสัญญา INF กับเจ้าหน้าที่ของนายพลชวาร์สคอฟ ในช่วงสงครามอ่าว และระหว่างปี 2534 ถึง 2541 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้ตรวจอาวุธ กับสหประชาชาติในอิรัก ปัจจุบัน นายริทเทอร์ เขียนถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงระหว่างประเทศ กิจการทหารรัสเซียและตะวันออกกลาง ตลอดจนการควบคุมอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธ ติดตามเขาบน Twitter @RealScottRitter
เขาได้เขียนบทความบันทึกเกี่ยวกับ ความจริงแห่งเมืองบูชา เอาไว้ว่า "The truth about Bucha is out there, but perhaps too inconvenient to be discovered "
การค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลเรือนที่ถูกสังหารหมู่ในประเทศยูเครน น่าจะเป็นเรื่องง่าย ???
“ในสงคราม ความจริงคือเหยื่อรายแรก” คำพูดนี้มาจาก Aeschylus ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมกรีกครั้งที่ 6 ก่อนคริสตศักราช ที่กล่าวถึง "การใช้ภาพจำนวนมาก พาดพิงในตำนาน ภาษาที่ยิ่งใหญ่ การเล่นคำและปริศนา"
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเหมาะสมที่ชายผู้ให้แนวคิดเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุคสงครามสมัยใหม่ ก่อนจะเห็นคำพูดของเขามีชีวิตขึ้นมาในยูเครนปัจจุบัน
รัฐบาลเคียฟ และที่ปรึกษาการทำสงครามข้อมูลทางตะวันตกของพวกเขา อาจใช้แนวคิดของนักเขียนบทละครอย่าง Aeschylus มาช่วยร่วมกันสร้างโศกนาฏกรรมสมัยใหม่ในเมือง Bucha ของยูเครน ซึ่งได้ยกตัวอย่าง
แนวคิดเรื่องโกหก ว่าไม่ใช่แค่ผลพลอยได้เท่านั้น แต่ยังเป็นอาวุธสงครามอีกด้วย
แหล่งที่มาหลักของรายงานโศกนาฏกรรม Bucha คือวิดีโอเทป ที่ตำรวจแห่งชาติยูเครน ถ่ายโดยขบวนรถขบวนหนึ่งของพวกเขา ที่กำลังขับผ่านถนนในเมือง และเห็นศพหลายสิบศพเกลื่อนถนน วิดีโอนี้แพร่กระจายจนทำให้เกิดความปวดร้าว และความโกรธไปทั่วโลก ดึงดูดความสนใจของประมุขแห่งรัฐ และประมุขของคริสตจักรคาทอลิก ส่งผลให้เกิดกระแสการประณาม และความขุ่นเคืองที่ส่งไปยังรัสเซีย และประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ระหว่างวิดีโอกับฟันเฟืองทั่วโลกนั้น ชัดเจน the former could not exist without the latter.
บทเรียนแรกๆ ของความเป็นกลางคือการไคร่ครวญพิจารณาสิ่งต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าความจริงจะไม่ถูกบดบังด้วยอารมณ์ วิดีโอเทปกรณีเมืองบูชา เป็นการรบกวนจิตใจได้ระดับหนึ่ง วิดีโอได้เผยแพร่โดยเจตนาชัดเจนในการสร้างความ "ตกใจและหวาดกลัว" สำหรับผู้ดู หากเป็นกรณีนี้จริง ผู้ที่ปล่อยมัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติยูเครน - ประสบความสำเร็จเกินจินตนาการ
ความเชื่อมโยงระหว่างคนตายกับกองทัพรัสเซียเกิดขึ้นทันที โดยไม่มีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงใดๆ สำรอง และต่อมาก็สะท้อนออกมาในสื่อทุกรูปแบบ ทั้งกระแสหลักและสังคมรอง ใครก็ตามที่กล้าตั้งคำถาม "อาจไม่ใช่การกระทำของรัสเซีย?" จะถูกตะโกนด่าและดูถูกว่าเป็น "หน้าม้าของรัสเซีย" หรือแย่กว่านั้น
ข้อสรุปประเด็นของการเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นจำนวนมากเป็นผลพลอยได้ "เหตุใดจึงต้องพยายามทำให้เป็นจริง" มี “การวางแผนรับมือทางสังคมล่วงหน้า” สร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ชมยอมรับในสิ่งที่เห็นแค่เพียงตรงหน้าเพราะขาดการใช้วิจารณญาณ แม้ว่าข้อเท็จจริงของเรื่องราวยังไม่ได้ชัดเจนนักก็ตาม
ลำดับเหตุการณ์ของการเล่าเรื่อง ทำให้เกิดคำถามเป็นธงแดงว่า สิ่งนี้ยูเครนสร้างและสะท้อนไปทางทิศตะวันตก แต่กลับไม่ตรงความจริงที่กองทหารรัสเซียถอนกำลังออกจากเมือง Bucha ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม และตำรวจแห่งชาติยูเครนเริ่มเข้าสู่ Bucha วันที่ 31 มีนาคม และในวันเดียวกันนั้นเองนายกเทศมนตรีของ Bucha ประกาศว่าเมืองนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ยูเครนเรียบร้อยแล้ว และต่อมาก็ไม่มีข้อเสนอแนะใด ๆ จากนายกเทศมนตรีหรือเจ้าหน้าที่ยูเครนคนอื่น ๆ เกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่ดำเนินการโดยรัสเซีย
และมาพบว่าทางการยูเครนเผยแพร่วิดีโอเทปดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 เมษายน ไม่แน่ใจว่าถ่ายวิดีโอก่อนหน้านี้หรือในวันนั้น ที่แน่นอนคือภาพที่แสดงในวิดีโอแตกต่างอย่างมากจากคำบอกเล่าของนายกเทศมนตรี ในตอนต้น
ในส่วนของรัสเซีย ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างรุนแรงนี้ และได้ขอให้มีการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อหารือเกี่ยวกับสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียเรียกว่า
“การยั่วยุทางอาญาโดยทหารยูเครนและกลุ่มหัวรุนแรง” ในบูชา บริเตนใหญ่เป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคง และคณะผู้แทนของอังกฤษประจำสหประชาชาติ
ได้ปฏิเสธคำขอของรัสเซีย ทันที
อาจมีคนคิดว่าคณะมนตรีความมั่นคงซึ่งได้แสดงความพร้อมในอดีต ที่จะประชุมในเวลาอันสั้น เพื่อหารือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครน จะพยายามหาทางตอบสนองคำขอของรัสเซีย ในเรื่องที่มีความสำคัญดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของอังกฤษดูเหมือนจะไม่ใช่การแสวงหาความจริง และความยุติธรรมอย่างรวดเร็ว
แต่เป็นการซื้อเวลา เพื่อให้ผลกระทบทางการเมืองจากการสังหารหมู่ในบูชาที่ถูกกล่าวหาพัฒนาต่อไป
ตัวอย่างหนึ่งของกลวิธีที่แสดงออก คือปฏิกิริยาของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ
“คุณเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในบูชาแล้ว” เขาอธิบายในความคิดเห็นกับนักข่าว และเสริมว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย
“เป็นอาชญากรสงคราม”
ไบเดนฉวยโอกาสจากวิกฤตบูชา เพื่อสนับสนุนการส่งมอบอาวุธให้ยูเครนมากขึ้น
“เราต้องจัดหาอาวุธให้ยูเครนต่อไปเพื่อดำเนินการต่อสู้ต่อไป” เขากล่าว “และเราต้องรวบรวมรายละเอียดทั้งหมดเข้าพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามเพื่อความจริงได้ปรากฎ ” ทั้งหมดนี้มาจากประธานาธิบดีของประเทศที่ปฏิเสธศาลอาญาระหว่างประเทศ
ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบูชา ยังคงรอการค้นพบ แต่น่าเสียดายที่ความจริงนั้นดูเหมือนจะไม่สะดวกสำหรับการสอบสวนในสถานที่จริงตามนิติเวช
เพราะหากเกิดตรวจสอบขึ้นจริงแล้วอาจปรากฏว่า ในที่สุดตำรวจแห่งชาติยูเครนได้สังหารพลเรือนชาวยูเครน หรือรวมถึงรัฐบาลสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีอาชญากรรมใดๆ ? ....อ่านต่อได้ที่
https://www.rt.com/russia/553293-bucha-war-crimes-truth/
Scott Ritter อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองนาวิกโยธินสหรัฐฯ ความจริงแห่งเมืองบูชา
Scott Ritter เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของนาวิกโยธินสหรัฐฯ และผู้เขียน 'SCORPION KING: America's Suicidal Embrace of Nuclear Weapons from FDR to Trump' เขาทำงานในสหภาพโซเวียตฐานะผู้ตรวจการตามสนธิสัญญา INF กับเจ้าหน้าที่ของนายพลชวาร์สคอฟ ในช่วงสงครามอ่าว และระหว่างปี 2534 ถึง 2541 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้ตรวจอาวุธ กับสหประชาชาติในอิรัก ปัจจุบัน นายริทเทอร์ เขียนถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงระหว่างประเทศ กิจการทหารรัสเซียและตะวันออกกลาง ตลอดจนการควบคุมอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธ ติดตามเขาบน Twitter @RealScottRitter
เขาได้เขียนบทความบันทึกเกี่ยวกับ ความจริงแห่งเมืองบูชา เอาไว้ว่า "The truth about Bucha is out there, but perhaps too inconvenient to be discovered "
การค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลเรือนที่ถูกสังหารหมู่ในประเทศยูเครน น่าจะเป็นเรื่องง่าย ???
“ในสงคราม ความจริงคือเหยื่อรายแรก” คำพูดนี้มาจาก Aeschylus ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมกรีกครั้งที่ 6 ก่อนคริสตศักราช ที่กล่าวถึง "การใช้ภาพจำนวนมาก พาดพิงในตำนาน ภาษาที่ยิ่งใหญ่ การเล่นคำและปริศนา"
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเหมาะสมที่ชายผู้ให้แนวคิดเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุคสงครามสมัยใหม่ ก่อนจะเห็นคำพูดของเขามีชีวิตขึ้นมาในยูเครนปัจจุบัน
รัฐบาลเคียฟ และที่ปรึกษาการทำสงครามข้อมูลทางตะวันตกของพวกเขา อาจใช้แนวคิดของนักเขียนบทละครอย่าง Aeschylus มาช่วยร่วมกันสร้างโศกนาฏกรรมสมัยใหม่ในเมือง Bucha ของยูเครน ซึ่งได้ยกตัวอย่าง แนวคิดเรื่องโกหก ว่าไม่ใช่แค่ผลพลอยได้เท่านั้น แต่ยังเป็นอาวุธสงครามอีกด้วย
แหล่งที่มาหลักของรายงานโศกนาฏกรรม Bucha คือวิดีโอเทป ที่ตำรวจแห่งชาติยูเครน ถ่ายโดยขบวนรถขบวนหนึ่งของพวกเขา ที่กำลังขับผ่านถนนในเมือง และเห็นศพหลายสิบศพเกลื่อนถนน วิดีโอนี้แพร่กระจายจนทำให้เกิดความปวดร้าว และความโกรธไปทั่วโลก ดึงดูดความสนใจของประมุขแห่งรัฐ และประมุขของคริสตจักรคาทอลิก ส่งผลให้เกิดกระแสการประณาม และความขุ่นเคืองที่ส่งไปยังรัสเซีย และประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ระหว่างวิดีโอกับฟันเฟืองทั่วโลกนั้น ชัดเจน the former could not exist without the latter.
บทเรียนแรกๆ ของความเป็นกลางคือการไคร่ครวญพิจารณาสิ่งต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าความจริงจะไม่ถูกบดบังด้วยอารมณ์ วิดีโอเทปกรณีเมืองบูชา เป็นการรบกวนจิตใจได้ระดับหนึ่ง วิดีโอได้เผยแพร่โดยเจตนาชัดเจนในการสร้างความ "ตกใจและหวาดกลัว" สำหรับผู้ดู หากเป็นกรณีนี้จริง ผู้ที่ปล่อยมัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติยูเครน - ประสบความสำเร็จเกินจินตนาการ
ความเชื่อมโยงระหว่างคนตายกับกองทัพรัสเซียเกิดขึ้นทันที โดยไม่มีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงใดๆ สำรอง และต่อมาก็สะท้อนออกมาในสื่อทุกรูปแบบ ทั้งกระแสหลักและสังคมรอง ใครก็ตามที่กล้าตั้งคำถาม "อาจไม่ใช่การกระทำของรัสเซีย?" จะถูกตะโกนด่าและดูถูกว่าเป็น "หน้าม้าของรัสเซีย" หรือแย่กว่านั้น
ข้อสรุปประเด็นของการเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นจำนวนมากเป็นผลพลอยได้ "เหตุใดจึงต้องพยายามทำให้เป็นจริง" มี “การวางแผนรับมือทางสังคมล่วงหน้า” สร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ชมยอมรับในสิ่งที่เห็นแค่เพียงตรงหน้าเพราะขาดการใช้วิจารณญาณ แม้ว่าข้อเท็จจริงของเรื่องราวยังไม่ได้ชัดเจนนักก็ตาม
ลำดับเหตุการณ์ของการเล่าเรื่อง ทำให้เกิดคำถามเป็นธงแดงว่า สิ่งนี้ยูเครนสร้างและสะท้อนไปทางทิศตะวันตก แต่กลับไม่ตรงความจริงที่กองทหารรัสเซียถอนกำลังออกจากเมือง Bucha ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม และตำรวจแห่งชาติยูเครนเริ่มเข้าสู่ Bucha วันที่ 31 มีนาคม และในวันเดียวกันนั้นเองนายกเทศมนตรีของ Bucha ประกาศว่าเมืองนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ยูเครนเรียบร้อยแล้ว และต่อมาก็ไม่มีข้อเสนอแนะใด ๆ จากนายกเทศมนตรีหรือเจ้าหน้าที่ยูเครนคนอื่น ๆ เกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่ดำเนินการโดยรัสเซีย
และมาพบว่าทางการยูเครนเผยแพร่วิดีโอเทปดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 เมษายน ไม่แน่ใจว่าถ่ายวิดีโอก่อนหน้านี้หรือในวันนั้น ที่แน่นอนคือภาพที่แสดงในวิดีโอแตกต่างอย่างมากจากคำบอกเล่าของนายกเทศมนตรี ในตอนต้น
ในส่วนของรัสเซีย ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างรุนแรงนี้ และได้ขอให้มีการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อหารือเกี่ยวกับสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียเรียกว่า “การยั่วยุทางอาญาโดยทหารยูเครนและกลุ่มหัวรุนแรง” ในบูชา บริเตนใหญ่เป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคง และคณะผู้แทนของอังกฤษประจำสหประชาชาติ ได้ปฏิเสธคำขอของรัสเซีย ทันที
อาจมีคนคิดว่าคณะมนตรีความมั่นคงซึ่งได้แสดงความพร้อมในอดีต ที่จะประชุมในเวลาอันสั้น เพื่อหารือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครน จะพยายามหาทางตอบสนองคำขอของรัสเซีย ในเรื่องที่มีความสำคัญดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของอังกฤษดูเหมือนจะไม่ใช่การแสวงหาความจริง และความยุติธรรมอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการซื้อเวลา เพื่อให้ผลกระทบทางการเมืองจากการสังหารหมู่ในบูชาที่ถูกกล่าวหาพัฒนาต่อไป
ตัวอย่างหนึ่งของกลวิธีที่แสดงออก คือปฏิกิริยาของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ “คุณเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในบูชาแล้ว” เขาอธิบายในความคิดเห็นกับนักข่าว และเสริมว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย “เป็นอาชญากรสงคราม”
ไบเดนฉวยโอกาสจากวิกฤตบูชา เพื่อสนับสนุนการส่งมอบอาวุธให้ยูเครนมากขึ้น “เราต้องจัดหาอาวุธให้ยูเครนต่อไปเพื่อดำเนินการต่อสู้ต่อไป” เขากล่าว “และเราต้องรวบรวมรายละเอียดทั้งหมดเข้าพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามเพื่อความจริงได้ปรากฎ ” ทั้งหมดนี้มาจากประธานาธิบดีของประเทศที่ปฏิเสธศาลอาญาระหว่างประเทศ
ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบูชา ยังคงรอการค้นพบ แต่น่าเสียดายที่ความจริงนั้นดูเหมือนจะไม่สะดวกสำหรับการสอบสวนในสถานที่จริงตามนิติเวช
เพราะหากเกิดตรวจสอบขึ้นจริงแล้วอาจปรากฏว่า ในที่สุดตำรวจแห่งชาติยูเครนได้สังหารพลเรือนชาวยูเครน หรือรวมถึงรัฐบาลสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีอาชญากรรมใดๆ ? ....อ่านต่อได้ที่ https://www.rt.com/russia/553293-bucha-war-crimes-truth/