จดหมายที่อยากส่งให้ถึงคนบนเครื่อง

“สวัสดีครับ ผมขอไลน์ได้มั้ยครับ”
“ขอบคุณครับ ไว้ทักไปหานะครับ”  หรือไม่ก็  “ไม่เป็นไรครับ ขอโทษที่รบกวนครับ”
ภาพเหตุการณ์ที่ผมเล่นซ้ำๆ ในหัว ตลอดระยะเวลาบิน 1.10 ชั่วโมง เพื่อให้สามารถรับมือสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกชั่วโมงนิดๆ ข้างหน้า

สวัสดีครับ วันนี้อยากมาขอแรงชาวพันทิป ช่วยตามหาคนๆ หนึ่ง เพื่อให้ความทรงจำของผมสมบูรณ์ และหายค้างคาใจ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไรก็ตาม เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นในช่วงการเดินทางกลับจากท่องเที่ยวเชียงใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำและประสบการณ์ดีๆ มากมาย

พบกันครั้งแรก
ณ สนามบินเชียงใหม่ วันที่ 17 พ.ค. 65 เวลาประมาณ 16.30 น. ผมพบเธอครั้งแรกที่บริเวณใกล้กับ check-in counter ของ Air asia ผมกำลังเดินหาที่พิมพ์ boarding pass จนมาเจอเครื่อง self-check in ที่หน้าจอเล่นซ้ำๆ ถึงวิธีการเช็คอินออนไลน์ ผมจึงมองหาพนักงานเพื่อสอบถามว่าที่สนามบินนี้ ใช้ e-boarding pass ขึ้นเครื่องได้หรือไม่ 

ระหว่างที่ผมมองไปที่ counter-check in ผมได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านหน้าผม เธอมาคนเดียวและมุ่งตรงไปที่ counter นั้น “ผู้หญิงคนนี้น่ารักดีนะ” ผมคิด  “แต่เธอน่าจะมีใครอยู่แล้วหรือเปล่า” ผมคิดต่อเพราะสังเกตว่าเธอสวมแหวนที่นิ้วนางข้างขวา ตอนนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ที่ counter เธอจึงเดินออกมาและเราก็สวนกัน ผมสบตาเธอและยิ้มทักทายด้วยสายตา ก่อนผมจะมองไปเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ของ AOT อยู่ตรงบันไดเลื่อนทางขึ้นไป terminal ผมจึงเดินไปเพื่อสอบถามสิ่งที่ผมสงสัย 

“ถ้าเปิดจาก application ใช้ได้เลยค่ะ” ผมได้รับคำตอบที่ผมต้องการจึงมุ่งหน้าขึ้นบันไดเลื่อนไป ก่อนจะหันกลับมามองตรงโถง check in อีกครั้ง เธอกำลังง่วนกับเครื่อง self-check in ที่ผมไปดูมาก่อนหน้านี้และพบว่ามันใช้พิมพ์ boarding pass ไม่ได้  “คนนี้ดูน่าจะสามารถดูแลตัวเองได้” ผมชื่นชมเธอในใจจากที่เห็นว่าเธอสามารถทำอะไรคนเดียวได้ ณ ช่วงเวลาสั้นๆ ในตอนนั้น 

ใน Terminal
กำหนดเดินทางของผมคือเที่ยวบินที่ FD3430 ออกเดินทาง 19.10 น. และ boarding time คือ 18.30 น. เนื่องจากมาถึงก่อนเวลานานมาก บริเวณทางออกขึ้นเครื่อง 4 จึงเต็มไปด้วยผู้โดยสารของสายการบินก่อนหน้าที่ใช้ทางออกเดียวกัน ผมจึงเดินไปร้านหนังสือ ซื้อหนังสือมา 1 เล่ม และไปหาที่นั่งอ่านอีกฝากนึงของ terminal แถวประตูทางออกที่ 6 ซึ่งแทบไม่มีผู้คน ในใจหวังลึกๆ ว่าถ้าเธอคิดคล้ายๆ ผม เธอน่าจะมาหาที่รอแถวนี้เหมือนกันนะ แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้น

เวลาประมาณ 18.00 น. สายการบินอื่นทยอยออกไปแล้ว ผมย้ายมาหาที่นั่งบริเวณประตูทางออก 4 อ่านหนังสือของผมต่อและคอยฟังประกาศจากเจ้าหน้าที่สายการบินไปด้วย ผ่านไปสักครู่ผมเงยหน้าขึ้นมาพักสายตา และเห็นว่าเธออยู่บริเวณนั้นเหมือนกัน ถัดจากผมไปข้างหน้าแค่ 2 แถว คราวนี้สังเกตว่าเธอน่าจะมากับญาติผู้ใหญ่ที่เธอกำลังคุยด้วยอยู่ ผมสังเกตรอบๆ ดูคนที่เธอมาด้วยแล้วว่าไม่น่าจะมีคนที่อาจเป็นคู่ของเธอ

Boarding call
ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง ทางแอร์เอเชียร์กำหนดโซนเรียกขึ้นเครื่องออกเป็น 3 โซน ที่นั่งผมอยู่โซน 2 จึงอ่านหนังสือรอไประหว่างที่พนักงานเรียกกลุ่มแรกขึ้นเครื่อง พอเรียกโซน 2 ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิด e-boarding pass เพื่อจะใช้แสดงต่อพนักงาน ทว่า อาจจะเพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ดี ทำให้โหลดไม่ขึ้น ผมเปิดๆ ปิดๆ แอพอยู่พักใหญ่ จนพนักงานเรียกทุกคนที่เหลือขึ้นเครื่องผมก็ยังเปิด e-boarding pass ไม่ได้ ผมตัดสินใจที่จะเดินไปต่อแถวและเดี๋ยวไปคุยกับพนักงานเอา จังหวะเดียวกันนั้น ผมเห็นเธอและกลุ่มคนที่เธอมาด้วยเดินไปต่อแถวเช่นกัน เธอยืนอยู่คนที่ 3 ข้างหน้าผม  ผมที่กำลังง่วนกับการเปิดแอพจึงยังไม่ได้ทักทายเธอ พอใกล้ถึงพนักงาน จังหวะนั้นเอง ผมก็สามารถเข้าถึง e-boarding pass ได้  

ด้วยเหตุอะไรไม่ทราบได้ พนักงานต้องสแกน e-boarding pass ของผมถึง 3 รอบ กว่าจะผ่าน ตอนนั้นเธอเดินไปไกลหลายช่วงตัวแล้ว  ในใจคิดว่า “เอาหละ อย่างน้อยเดี๋ยวจะได้สังเกตว่าเธอนั่งตรงไหน”  พอผมเข้าประตูเครื่อง ผมก็กวาดสายตาทันที (ขออภัยที่อาจดูไม่สุภาพ) จนมาเห็นว่าเธอนั่งอยู่แถวที่ 15E โดยมีญาติผู้ใหญ่ของเธอนั่งประกบ ระหว่างรอให้คนข้างหน้าผมเก็บสัมภาระเพื่อเปิดทางให้ผมเดินต่อไป เราก็ได้สบตากันอีกรอบและผมได้ยิ้มให้เธออีกครั้ง (ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง เธอดูไม่ได้รำคาญที่ผมมองหรือยิ้มให้นะ)  ความที่ขึ้นเครื่องได้ช้าทำให้ผมต้องวางกระเป๋าที่แถว 18 ซึ่งไกลจากที่นั่งของผมที่แถว 23 พอประมาณ แต่ข้อดีก็คือ การขึ้นเครื่องได้ช้าทำให้ผมได้รู้ว่าเธอนั่งตรงไหน

In flight
เมื่อผมนั่งลงกับที่แล้ว ผมก็ตัดสินใจทันทีว่า ผมอยากรู้จักกับเธอคนนี้ให้มากขึ้น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมจะทักคนแปลกหน้าเพื่อขอทำความรู้จัก ผมจึงประหม่ามาก ตลอดระยะเวลาบนเครื่องได้แต่เล่นภาพซ้ำๆ ในหัวว่าผมต้องรับมือกับคำตอบของเธออย่างไร เพื่อให้ทุกอย่างไหลลื่นที่สุด

ผมรู้ดีว่าเมื่อเครื่องจอด พนักงานจะเรียกลงทีละ 5 แถว เธอจะลงเป็นกลุ่มที่ 3 ส่วนผมลงกลุ่มที่ 5 ซึ่งคำนวณแล้วว่าพอลงเครื่องผ่านงวงช้างแล้ว ต้องเดินอีกไม่ต่ำกว่า 4-500 เมตรจึงจะถึงทางออก ประกอบกับเธอมากับผู้ใหญ่  ผมจึงมั่นใจมากว่าผมจะเดินตามกลุ่มของเธอทัน และนั่นน่าจะเป็น perfect moment หรือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะขอไลน์ของเธอ เพราะถ้าเธอปฏิเสธ เราจะอยู่ในบรรยากาศอึดอัดด้วยกันเพียงชั่วครู่จนถึงทางออกสนามบินเท่านั้น และเพื่อไม่ให้ผิดพลาด ผมจึงจดจำลักษณะคนรอบๆ เธอไว้ด้วย เพื่อให้มีจุดสังเกตมากขึ้น

Landing

และแล้วช่วงเวลาสำคัญก็มาถึง ตอนที่เครื่องกำลังร่อนลง ผมเตรียมพร้อมแผนที่ซักซ้อมมาในหัวทั้งหมดด้วยความตื่นเต้นมากที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง และพอเครื่องจอดสนิท ผมมองออกไปนอกหน้าต่างทันที เพียงเพื่อพบว่า ภาพมันต่างจากที่ผมคิด

มีรถบัสสีแดงและรถนำเปิดไฟหมุนๆ สีเหลืองรออยู่ไม่ไกล และผมมองไม่เห็นงวงช้างแถวนั้นเลย  “ไม่นะ...เราไม่มีงวงช้างเหรอ” ผมคิด เนื่องจากทุกครั้งที่ผมลงดอนเมือง ไม่มีครั้งไหนที่ไม่มีงวงช้างและทางเดินอันยาวไกล  “แย่แล้ว เอาไงดี” ผมเริ่มจินตนาการแผน 2 ทันที  “เอาหละ มองในแง่ดี เรายังเหลือระยะทางเดินจากลงรสบัสไปทางออกแน่ๆ” ซึ่งจุดนี้ผมได้แต่เพียงหวังว่าระยะทางที่จะช่วยให้ผมได้เจอ perfect moment จะยาวพอ  “หรือผมอาจจะได้ขึ้นรถบัสคันเดียวกับเธอก็ได้นะ” ยังคงคิดเข้าข้างตัวเอง  “หรือจะแซงคนอื่น เพื่อให้ได้ลงเครื่องพร้อมเธอไปเลย” แผนชั่วร้ายเกิดในหัว

“เอาหละ ผมควรรักษามารยาททางสังคม เดี๋ยวค่อยไปวิ่งตามเธอตรงทางเดินก่อนถึงทางออกตามแผนเดิม” ผมตัดสินใจ

ช่วงเวลาแห่งความจริง
“ขอเชิญแถวที่ 21-25 ค่ะ” ผมรีบกระโจนไปหยิบกระเป๋าที่แถว 18 ทันที (ขอโทษคนอื่น ๆ ที่อาจดูเสียมารยาทด้วยครับ) คนข้างหน้าหยุดเดิน ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง รถบัสคันแรกวิ่งออกไปแล้ว ผมมองไม่เห็นเธอที่หัวแถว “ไม่นะ เราไม่ได้ไปรถคันเดียวกันแน่แล้ว” ผมคิด แต่จังหวะนั้นผมทำอะไรไม่ได้แล้ว เหลือแต่ความหวังสุดท้ายให้ระยะทางจากจุดลงรสบัสจนถึงทางออกมีระยะทางยาวพอที่ผมจะตามเธอทัน

ทันทีที่รถจอด ผมพุ่งตัวลงจากรถเข้าไปในอาคารทันที ระยะทางจากจุดลงรถบัสไปถึงทางออก ไม่น่าเกิน 100 เมตร “แย่แล้ว” ผมคิด แต่ก็ยังมีความหวัง พยามกวาดสายตามองหากลุ่มคนที่มากับเธอ ทั้งตรงทางเดิน หน้าห้องน้ำ สายพานรับกระเป๋า แต่ไม่เจอเธอหรือกลุ่มของเธอเลย  ผมรีบวิ่งมาที่ทางออก คนส่วนใหญ่จะเดินออกทางซ้ายมือเพื่อไปทางออก 12 หรือเดินเลยประตู 12 ไปอีกเพื่อขึ้นแท๊กซี่  ผมจึงมองไปทางขวาก่อน เพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มของเธอไม่ได้ไปทางนั้น และก้าวอย่างรวดเร็วมาทางซ้าย ออกประตู 12 เพื่อเช็คว่ากลุ่มของเธอรออยู่ที่ชานชาลาหรือไม่ ก็ไม่พบ  ระหว่างที่กำลังจะกลับเข้ามาในอาคารเพื่อเดินต่อไปหาที่จุดขึ้นแท๊กซี่ โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น คุณพ่อที่กำลังมารับ โทรมาบอกว่ามาถึงประตู 11 แล้ว  ผมอึกอัก “ยังไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยครับ” คือข้ออ้างที่ผมใช้  “ไม่เป็นไร ไปเข้าก่อนเดี๋ยวป๊าวนอีกรอบ” พ่อผมตอบ  ในใจเริ่มรู้สึกผิด ประกอบกับผมพาตัวเองมาอยู่บนชานชาลาใกล้ประตู 11 แล้ว จึงบอกพ่อว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเข้าที่บ้านหรือแวะปั๊มก็ได้” พ่อผมมาจอดเทียบไม่นานหลังจากนั้น 

ด้วยความกระวนกระวาย ผมขึ้นรถโดยไม่ได้คุยกับพ่อด้วยซ้ำ สายตายังคงมองเข้าไปในอาคารเผื่อว่าผมจะวิ่งแซงกลุ่มของเธอออกมา ผมมองจนไม่สามารถมองในอาคารได้อีก เป็นอันว่าความหวังของผมที่จะได้ทักทายเธอ ณ ตอนนั้นสิ้นสุดลง

ผมไลน์หาเพื่อนผู้หญิงที่สนิททันทีด้วยความร้อนใจเพื่อปรึกษาว่าควรทำยังไงดี หลังจากคุยกันชั่วโมงกว่าก็ได้ข้อสรุปว่า ผมควรลงพันทิป

และนี่ก็เป็นเรื่องราวที่ทำให้ผมร้อนใจจนแทบจะนอนไม่หลับทั้งคืน เพื่อตื่นมาสมัครสมาชิกพันทิปและเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาโพสต์ให้ทุกคนช่วย ถึงแม้จะเป็นโอกาสเพียงเล็กน้อยแค่ไหนที่จะได้เจอ แถมยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอายมากสำหรับผม แต่หากผมไม่โพสต์ โอกาสที่ผมจะได้รับคำตอบจากเธอแทบจะเป็น 0

มองย้อนกลับไป ผมมีโอกาสทักทายเธอไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง
ครั้งแรก ที่ โถง check in อันนี้ก็จะเสี่ยงหน่อยถ้าเธอมีใครมาด้วยซึ่งไม่ได้เดินมาพร้อมกัน
ครั้งที่ 2 ใน terminal ก่อนขึ้นเครื่อง ซึ่งตอนนั้นพอจะมั่นใจได้ระดับหนึ่งแล้วว่า เธอไม่ได้มากับใครที่อาจจะเป็นคนของเธอ
ครั้งที่ 3 บนเครื่อง ผมทราบดีว่าเธอนั่งตรงไหน และผมมีเวลาเกือบชั่วโมงที่สัญญาณรัดเข็มขัดไม่ได้เปิดอยู่เพื่อเดินไปทักทาย แต่ก็ไม่ได้ทำ (ตอนนั้นคิดในใจว่าถ้าเธอให้ไลน์ก็แอดไม่ได้เพราะไม่มีอินเทอร์เน็ต และถ้าเธอไม่ให้ก็จะต้องอยู่ในบรรยากาศอึดอัดบนเครื่องไปอีกครู่ใหญ่)
ครั้งที่ 4 ตอนลงเครื่อง ถ้าผมทนกระแสสังคม ลุกตอนพนักงานเรียกแถวของเธอ ผมก็คงจะได้มีโอกาสคุยกับเธอบนรถบัสไปที่อาคารทางออก

ผมไม่ใช้โอกาสทั้ง 4 ครั้ง และตอนนี้ ผมได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสครั้งที่ 5 และผมสัญญาว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย

เล่ามาซะยาว ก็ขอขอบคุณคนที่ยังอ่านมาถึงตรงนี้ และคนที่จะช่วยแชร์ออกไปด้วยครับ อย่างน้อยถ้าผมหาเธอไม่เจอ ก็อาจจะมีความคาใจต่อไปว่าเธอจะตอบว่าอะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรผมจะได้บทเรียนล้ำค่าที่เก็บไว้เตือนใจตัวเอง และน่าจะใช้ได้กับทุกๆ เรื่อง อยากจะแชร์ให้ทุกๆ คนด้วย จะได้ไม่เสียใจภายหลังเหมือนผมครับ

บทเรียน
-             หากคิดจะลงมือทำอะไรและได้ไตร่ตรองอย่างดีแล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุด (perfect moment) คือ “ตอนนี้” ตอนที่ยังมีโอกาส 
-             หากได้เริ่มลงมือทำ จะมีโอกาสมากกว่า 0 ที่จะสำเร็จ แต่หากไม่ลงมือทำเลย โอกาสประสบความสำเร็จ = 0 อย่างแน่นอน
-             เสียใจที่สุด คือไม่ได้ลงมือทำในตอนที่ยังมีโอกาส (ดังนั้น ผมจึงหยิบเอาเรื่องนี้มาเล่าเพื่อให้โอกาสยังพอมี ถึงแม้จะน้อยนิดแค่ไหนก็ตาม) ผมเชื่อว่าถ้าคำตอบที่ได้รับคือคำปฏิเสธ ยังจะเสียใจน้อยกว่านี้ และหายคาใจอย่างแน่นอนที่สุด

และถ้าคุณคนนั้นได้อ่านโพสต์นี้ มันอาจจะดูแปลก ๆ หน่อย เชื่อเถอะว่านี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมจะต้องโพสต์เรื่องแบบนี้ 
ผมก็หวังว่าคุณจะทักทายมาเพื่อให้คำตอบกับผมนะ 😊

Backpacker เสื้อเขียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่