One for the road ภาคสี่ของซูไหล่เจิน ต่อจาก2046



หว่างกาไว กำกับหนังรักไตรภาคระดับขึ้นหิ้ง ได้แก่


阿飛正傳(อาเฟยเจิ้งจ่วน เรื่องราวของนักเลงหนุ่ม) A day of being wild


花样年华(ฮัวย่างเหนียนหัว  วัยหนุ่มสาวนั้นสดใสดุจดังดอกไม้บาน ขณะเดียวกันความงดงามเยี่ยงนั้นก็ผ่านไปรวดเร็วไม่ต่างจากเหล่าบุปผาที่โรยรา)หัวงรักอารมณ์เสน่หา In the mood for love


2046

เล่าถึงฮ่องกง ปี60-70
ทั้งสามเรื่องมีตัวละครเดียวกันเดินเรื่อง คือ
ซูไหล่เจิน แสดงโดย จางม่านอวี้
เจาโมวาน แสดงโดย เหลียงเฉาเหว่ย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


一杯上路(อิเปยซ่างลู่ หนึ่งจอกก่อนขึ้นรถ)
วันสุดท้าย ก่อนบายเธอ

ในหนังไทยเรื่องนี้ ซูไหล่เจิน เป็นแม่ของบอส ที่เหมือนกับ ยกไจ๊ แสดงโดย เลสลี่ จาง พระเอกภาค1 แบบกลับชาติมาเกิด แต่ลดความงี่เง่า ปัญญาอ่อนลงไปมาก

ค.ศ.1966 สองแม่ลูกย้ายจากฮ่องกงมาอยู่ไทย
ซูไหลเจินแต่งงานกับเจ้าสัวที่พัทยา

อาเจายังอยู่ฮ่องกงด้วยหัวใจแตกสลาย

"เมื่อดอกโบตั๋นบาน
เธอยืนตระหง่านแล้วจากไป
ไม่ทิ้งความนัยให้ล่วงรู้"


ฮิการิ ชินจิ ลอกยกไจ๊มาทั้งดุ้น เพราะอันโนะเป็นสาวกหนังหว่องกาไว

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
"ผมเคยได้ยินเรื่องนกไร้ขา มันได้แต่บินและบิน เหนื่อยก็นอนในสายลม ชีวิตจะลงดินเพียงครั้งเดียวคือ วันตายของมัน"

ยกไจ๋(เลสลี่ จาง) ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่หญิงสาวพร้อมจะตกหลุมรักและต้องหัวใจแตกสลาย

เพราะเขาไม่เคยคิดจริงจังหรือแต่งงานกับใคร ยกไจ๋ไม่ทำงาน มีรถ มีเงินใช้อยู่สบายด้วยเงินทองจากแม่เลี้ยงที่เป็นโสเภณีชั้นสูง

ส่วน ไหล่เจิน(จางม่านอวี้) สาวขายน้ำ และ มีมี่ (หลิวเจียหลิง) สาวนักเต้นคาบาเรต์ ผู้หญิงสองคนที่เขาคบหาในช่วงนั้น

ต่างหลงรักเขาจนไม่อาจถอนตัว แต่ยกไจ๋ก็ปฏิเสธได้อย่างเย็นชา ราวกับว่าช่วงเวลาที่เคยมีต่อกันไม่มีค่าอะไรเลย 
 
ความเชื่อในความรักของเขาบางเบาเหมือนควันบุหรี่ที่ลอยอบอวลในภาพยนตร์ มองเห็น แต่ไม่อาจคว้าเอาไว้ได้

"ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามีผู้หญิงกี่คน ผมไม่รู้ว่า ผมจะรักใครจนกว่าผมจะตาย"

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ตัวละครหลัก
เมื่อเทียบกับหนังสามภาคก่อน และเรื่องอื่น เพราะมีบุคลิกคล้ายกัน

บอส ยกไจ๊(旭仔 ซู่จ๋าย) เลสลี่ จาง

อู๊ด เจาโมวาน(周慕雲 โจวมู่อวิ๋น) เหลียงเฉาเหว่ย ช่วงต้นเหมือนยกไจ๊มาก
ช่วงท้ายเรื่องเป็นอาเจาบางส่วน

พริม ไป่หลิง จางจื่อยี่ บูชาความรัก ทุ่มเททุกอย่าง

อลิซ มีมี่ หลิวเจียหลิง

หนูนา กงลี่ ซูไหล่เจิน อีกคนฉายา แม่ม่ายดำ ที่สิงคโปร์

รุ้ง มือปืน หลินชิงเสีย จากเรื่อง จุงกิง เอ็กซ์เพรส

ตั๊ก ซูไหล่เจิน(蘇麗珍 ซูลี่เจิน) จางม่านอวี้

หนังไทยเรื่องนี้ จึงมีความดิบ เถื่อน มากกว่าสามภาคก่อน
เพราะหว่องจะไม่เล่าเรื่องแบบแจงละเอียด หรือใช้คำพูดหยาบคาย ป่าเถื่อน
แต่เน้นภาษากวี

ความสัมพันธ์ก็เหมือน-เหล้า
ปล่อยไหลมาก วันหนึ่งก็จะเมาเป็นหมา

"รู้ไหมน้ำกับเหล้าต่างกันอย่างไร
เหล้ายิ่งดื่มยิ่งร้อน
ส่วนน้ำยิ่งดื่มยิ่งเย็น"
จอมยุทธพเนจรกล่าวกับอึ้งเอียะซือในโรงเตี๊ยม
มังกรหยกศึกอภิมหายุทธ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คำบรรยายความคิดตัวละคร
แสงสีสื่ออารมณ์ ความรู้สึกขณะนั้น
แม้แต่ควันบุหรี่ การสูบ แทนการครุ่นคิดกังวล กลุ่มควันจะลอยเป็นก้อนเป็นลำขึ้นมา

การเดินเรื่อง
ช่วงต้นถึงหนูนา ในกองถ่ายฉีเคอะ เหมือนงานถ่ายซ่อม การจัดแสงสีด้อยกว่าช่วงหลังของหนัง
ไม่มีกรวยส่องแสงเข้าหน้านักแสดงเวลาคุยกัน
ถ่ายใกล้หน้าชัด มีน้อยไป เล่นแทบตายคนดูมองไม่เห็น

ฉากอลิซ,หนูนา คุยกับอู๊ด อู๊ดหน้าดำเยอะมาก ปกติคริสโตเฟอร์ ดอยล์ จะจัดแสงให้คู่สนทนามีไฟส่องหน้า เพื่อให้ดูเด่น สมกับที่เหนื่อยยากกับการทำงานทรหด มีกำหนดปิดกล้องไม่แน่นอน

ฉากอลิซเต้นรำกับอู้ด มาจากhappy together

ฉากหนูนายิงเจ้าบ่าวด้วยปืนคู่11มม. แล้วมีฝูงนกพิราบบิน มาจากจอห์น วู จากหนังโหด เลว ดี โจวเหวินฟะ ใช้ปืนคู่

ช่วงรุ้งถึงจบเรื่อง
จัดแสงสี มุมกล้องดีสมเป็นหนังหว่อง มุมกล้องถ่ายใกล้เน้นสีหน้า แววตา สมกับที่นักแสดงทุ่มเทหลายสิบเทคต่อหนึ่งฉาก

ใช้ภาพช้าได้ดี หนังถ่ายที่24fps
ถ่ายภาพช้า12fps บอสกับแหม่ม จากจุงกิงเอ็กซ์เพลส

ฉากชงเหล้าดีเลิศ เหมือนนำเรื่องราวสามสาวมาเก็บไว้ในแก้ว
ถ้าฉากอู๊ดดื่ม มีฉากหลังเป็นคนเดินไปมาและเร่งความเร็ว แต่อู๊ดยกดื่มจิบช้าๆ จะเหมือนในจุงกิง เอ็กเพลส

วีเด่น ดูดีมาก เล่นดีเป็นธรรมชาติ ฉากชงเหล้าถ้ามีหลังคากระจกมีน้ำไหล แสงสีแดง จะใช่เลย
บอสสู้ไม่ได้ มีไอซึที่รับส่งได้ดี สองคนนี้มีลุ้นรางวัล
นักแสดงที่ผ่านการเคี่ยวกรำของหว่องได้ จะยกระดับฝีมือการแสดงไปอีกขั้น

ฉากพริมกับบอส พูดเรื่องทิ้งที่นี้ไปเมืองนอก
สะท้อนถึงความรู้สึกของหว่องที่มีต่อฮ่องกง
ช่วงจนท.ปราบปรามกบฏเป่ยต้า ที่ฝรั่งหนุนหลัง แล้วหนีไปกบดานก่อหวอด ได้สร้างความวุ่นวายจนคนในเกาะแตกแยกต่อไม่ติด

วีเล่นได้ถึงทั้งท่าทาง น้ำเสียง
เหมือนคนไทยในต่างแดน คิดไปตายเอาดาบน้ำ
ชม.บินที่เล่นหนังเต๋อมาช่วยได้เยอะ

บท
น่าจะมีปรับแก้หลายครั้ง แต่ไม่ถึงรื้อถ่ายใหม่หมด
เนื่องการแสดงที่ดีแต่ละเทค จะนำไปสู่การปรับบทได้
แต่งานนี้พยายามตีกรอบให้อยู่ในบท

ความงี่เง่าในบทเยอะจนน่ารำคาญในหลายจุด เพราะแต่ละคนไม่กล้ายอมรับความจริง
ปรกติยกไจ๊จะงี่เง่าคนเดียว คนอื่นจะมีเหตุผลในการตัดสินใจ

แต่พอนำบทมาใช้กับคนไทยพ.ศ.นี้เล่น ซึ่งมีบริบทต่างจาก ฮ่องกงยุค90มาก และยังเล่นอยู่ในกรอบแบบคนไทย คนฮ่องกงจะเข้าถึงเรื่องนี้ได้ดี เพราะวัฒนธรรมใกล้กัน คล้ายเป็นมณฑลเดียวกันแค่ต่างอำเภอ

กำกับศิลป์
นำพื้นหลังจากตัวละครสามภาคก่อนในใส่

ห้องพักใต้ดิน ของอาเจา
ห้องพักหรู ของยกไจ๊

แต่สิ่งเคลื่อนไหวในภาพน้อย ภาพจึงนิ่ง ตาย บางช่วง
ยิ่งภาพสั่นด้วย ทำให้ไม่ประณีตเท่าที่ควร ทั้งที่ควรใช้อุปกรณ์ค้ำจุน กันสั่นตลอด

ดนตรีประกอบ
ทำได้ดี แต่ไม่สร้างบรรยากาศ บรรยายความรู้สึกตัวละคน เท่าสามภาคก่อน

ตัดต่อ
ตัดได้ต่อเนื่อง ลื่นไหล แม้เนื้อหาบางช่วงจะน่าเร่งหนีก็ตาม

เมื่อเทียบกับหนังลูกศิษย์หว่างกาไว ก่อนหน้า
เรื่องนี้ทำดีกว่ามาก เข้าถึงความเป็นหว่อง มีความเหงา รันทด หักมุม เป็นจุดขายที่โดดเด่นดั้งเดิม

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอMV Take my breath away
ประกอบหนัง As tear go
ฉบับหว่องกาไว ร้องภาษาจีนกวางตุ้ง


ผกก.และคณะมากฝีมือ ความอดทนสูงมาก ที่สามารถทำงานกับหว่อง ด้วยศรัทธาในชื่อชั้นฝีมือระดับโลก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอประสบการณ์คนไทยร่วมงานกับเจ็ตโทนถ่าย in the mood for love กับ2046 ไปพร้อมๆกันช่วงปี40

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
หวังว่าผกก.และคณะจะมีโอกาสร่วมงานกับเจ็ตโทนอีก จะได้สร้างชื่อเสียงระดับโลกต่อไป ให้สมกับความเหนื่อยยาวนานในการผลิตและส่งประกวด

ท้ายนี้ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนตัองขออภัยมา ณ ที่นี้ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่