สหพันธ์ฟุตบอลยุโรปประกาศเปลี่ยนกฎของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่จะให้มีผลตั้งแต่ซีซั่น 2024-25 เป็นต้นไป อย่างเช่นการเพิ่มโควตาทีมในรอบหลัก และการที่จะไม่มีรอบแบ่งกลุ่มอีกต่อไป
สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ประกาศเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคารที่ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยจะให้มีผลตั้งแต่ฤดูกาล 2024-25 เป็นต้นไป
ตลอดช่วงที่ผ่านมากระแสข่าวการเปลี่ยนรูปแบบของ แชมเปี้ยนส์ ลีก มีออกมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ หลังจาก ยูฟ่า ต้องการเพิ่มจำนวนทีมที่ได้ลงเล่น รวมถึงต้องการทำให้รูปแบบการแข่งขันมีความน่าตื่นเต้นมากกว่าเดิม
กระทั่งล่าสุด องค์กรลูกหนังยุโรปก็บอกว่าตั้งแต่ซีซั่น 2024-25 เป็นต้นไปนั้น จำนวนทีมที่ได้เข้าสู่รอบหลักของ ยูฟ่า จะเพิ่มจาก 32 ทีมไปเป็น 36 ทีม โดยในจำนวน 4 โควตาที่เพิ่มขึ้นมาจะประกอบด้วย
1. มอบโควตา 1 ที่ให้ทีมที่ได้อันดับ 3 ในลีกที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูงสุดเป็นอันดับ 5 ของ ยูฟ่า หลังจากเดิมทีทีมในอันดับ 3 ของลีกระดับนั้นจะต้องไปเริ่มต้นในรอบคัดเลือก รอบ 3 โดยปัจจุบันลีกที่มีค่าสัมประสิทธิ์มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของ ยูฟ่า คือ ลีก เอิง
2. เพิ่ม 1 โควตาจากรอบคัดเลือกให้กับฝั่ง แชมเปี้ยนส์ พาธ โดยฝั่ง แชมเปี้ยนส์ พาธ เป็นรอบคัดเลือกที่มีเฉพาะทีมที่เป็นแชมป์จากลีกเล็กๆ ซึ่งไม่ได้สิทธิ์เข้ารอบหลักโดยตรง
3. มอบ 2 โควตาในฤดูกาลถัดไปให้กับ 2 ชาติที่มีสโมสรทำผลงานโดยรวมในรายการของ ยูฟ่า ได้ดีที่สุดในซีซั่นก่อนหน้านั้น โดยจะตัดสินจากการเอาแต้มโดยรวมที่แต่ละทีมทำได้ในฤดูกาลนั้นๆ มาหารกับโควตาเดิมที่แต่ละชาติได้รับ ยกตัวอย่างเช่น ในฤดูกาล 2021-22 ทีมจากอังกฤษและฮอลแลนด์ทำผลงานได้ดีกว่าชาติอื่นๆ ในรายการต่างๆ ของ ยูฟ่า ดังนั้นในซีซั่น 2022-23 มันก็จะมีการเพิ่มโควตาใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กับ 2 ชาตินั้นชาติละ 1 โควตา เป็นต้น ซึ่งโควตาที่เพิ่มนั้นก็ต้องมอบให้กับทีมที่จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ดีที่สุดถัดจากทีมที่ได้สิทธิ์เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ผ่านทางโควตาลีกเป็นทีมสุดท้ายเท่านั้น อย่างในกรณีของ พรีเมียร์ลีก มันก็จะหมายความว่าทีมที่ได้อันดับ 5 ในฤดูกาลนี้ จะได้สิทธิ์เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นหน้า จากเดิมที่ได้สิทธิ์เล่นแค่ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก นั่นเอง
นอกจากนี้ มันยังมีการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันในรอบแรกด้วย โดยจากเดิมทีที่แบ่งกันเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม มาเป็นแบบลีกที่จะให้ทุกทีมมาอยู่ด้วยกันหมด อย่างไรก็ตาม แต่ละทีมจะต้องเล่นกันทีมละ 8 เกม เท่านั้น โดยพวกเขาจะได้เจอกับคู่แข่งแบบไม่ซ้ำหน้ากัน และแบ่งเป็นเล่นเกมเหย้ากับเกมเยือนอย่างละ 4 นัด
มีการระบุด้วยว่ารูปแบบการแข่งขันจะใช้รูปแบบที่เรียกว่า "สวิส-สไตล์" ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีรายการกีฬาอย่าง แบดมินตัน และการแข่งวิดีโอเกมที่ใช้ระบบนี้เหมือนกัน โดยมันจะเริ่มจากการให้แต่ละทีมมาเจอกันในนัดแรก จากนั้นในนัดสองก็จะเป็นการเจอกันระหว่างทีมที่มีผลงานแบบเดียวกัน อย่างเช่น ทีมที่ชนะในนัดแรกจะมาเจอกันเอง และทีมที่แพ้ในนัดแรกจะมาเจอกันเอง เป็นต้น โดยมันจะดำเนินแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบ
ทั้งนี้ ทีมที่มีผลงานดีที่สุด 8 อันดับแรกจะได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบอัตโนมัติ ส่วนโควตาที่เหลือจะเอาทีมจากอันดับ 9-24 มาเตะกันแบบเหย้า-เยือน เพื่อหาจำนวนทีมให้ครบ โดยมีการประเมินว่าในรอบแรกจะมีการเตะกันเป็นเวลารวมแล้ว 10 สัปดาห์ด้วยกัน ขณะเดียวกัน เกมในรอบแรก ไปจนถึงรอบรองชนะเลิศก็จะยังเตะกันในช่วงกลางสัปดาห์ตามเดิม หลังจากตอนแรกลือกันว่ารอบตัดเชือกจะถูกเปลี่ยนมาเตะกันที่สนามเป็นกลางแบบนัดเดียว แล้วค่อยเล่นนัดชิงดำในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น
ที่จริงก่อนหน้านี้มีข่าวลือด้วยว่า ยูฟ่า อาจจะมอบโควตาการเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กับทีมที่เคยทำผลงานในถ้วยบิ๊กเอียร์ได้ดี ต่อให้พวกเขาจะได้อันดับในลีกที่แย่ก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะได้สิทธิ์เล่นถ้วยนี้แม้ว่าจะได้อันดับน่าผิดหวัง เป็นต้น ซึ่งมันโดนหลายฝ่ายคัดค้านกันอย่างหนัก ก่อนที่สุดท้าย ยูฟ่า จะยกเลิกไอเดียนี้
สำหรับฟอร์แมตอันใหม่นี้จะนำไปใช้กับรายการ ยูโรปา ลีก กับ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก เช่นกัน โดยทางสมาคมสโมสรฟุตบอลในทวีปยุโรป (อีซีเอ) ที่มีมากกว่า 240 สโมสรเป็นสมาชิกนั้น เผยว่าพวกเขาสนับสนุนไอเดียนี้ของ ยูฟ่า อย่างเต็มที่
credit : www.siamsport.co.th
อีก 2 ปีได้ใช้งาน! ยูฟ่าประกาศยกเครื่องรูปแบบ UCL + UEL + Conference League
สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ประกาศเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคารที่ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยจะให้มีผลตั้งแต่ฤดูกาล 2024-25 เป็นต้นไป
ตลอดช่วงที่ผ่านมากระแสข่าวการเปลี่ยนรูปแบบของ แชมเปี้ยนส์ ลีก มีออกมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ หลังจาก ยูฟ่า ต้องการเพิ่มจำนวนทีมที่ได้ลงเล่น รวมถึงต้องการทำให้รูปแบบการแข่งขันมีความน่าตื่นเต้นมากกว่าเดิม
กระทั่งล่าสุด องค์กรลูกหนังยุโรปก็บอกว่าตั้งแต่ซีซั่น 2024-25 เป็นต้นไปนั้น จำนวนทีมที่ได้เข้าสู่รอบหลักของ ยูฟ่า จะเพิ่มจาก 32 ทีมไปเป็น 36 ทีม โดยในจำนวน 4 โควตาที่เพิ่มขึ้นมาจะประกอบด้วย
1. มอบโควตา 1 ที่ให้ทีมที่ได้อันดับ 3 ในลีกที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูงสุดเป็นอันดับ 5 ของ ยูฟ่า หลังจากเดิมทีทีมในอันดับ 3 ของลีกระดับนั้นจะต้องไปเริ่มต้นในรอบคัดเลือก รอบ 3 โดยปัจจุบันลีกที่มีค่าสัมประสิทธิ์มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของ ยูฟ่า คือ ลีก เอิง
2. เพิ่ม 1 โควตาจากรอบคัดเลือกให้กับฝั่ง แชมเปี้ยนส์ พาธ โดยฝั่ง แชมเปี้ยนส์ พาธ เป็นรอบคัดเลือกที่มีเฉพาะทีมที่เป็นแชมป์จากลีกเล็กๆ ซึ่งไม่ได้สิทธิ์เข้ารอบหลักโดยตรง
3. มอบ 2 โควตาในฤดูกาลถัดไปให้กับ 2 ชาติที่มีสโมสรทำผลงานโดยรวมในรายการของ ยูฟ่า ได้ดีที่สุดในซีซั่นก่อนหน้านั้น โดยจะตัดสินจากการเอาแต้มโดยรวมที่แต่ละทีมทำได้ในฤดูกาลนั้นๆ มาหารกับโควตาเดิมที่แต่ละชาติได้รับ ยกตัวอย่างเช่น ในฤดูกาล 2021-22 ทีมจากอังกฤษและฮอลแลนด์ทำผลงานได้ดีกว่าชาติอื่นๆ ในรายการต่างๆ ของ ยูฟ่า ดังนั้นในซีซั่น 2022-23 มันก็จะมีการเพิ่มโควตาใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กับ 2 ชาตินั้นชาติละ 1 โควตา เป็นต้น ซึ่งโควตาที่เพิ่มนั้นก็ต้องมอบให้กับทีมที่จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ดีที่สุดถัดจากทีมที่ได้สิทธิ์เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ผ่านทางโควตาลีกเป็นทีมสุดท้ายเท่านั้น อย่างในกรณีของ พรีเมียร์ลีก มันก็จะหมายความว่าทีมที่ได้อันดับ 5 ในฤดูกาลนี้ จะได้สิทธิ์เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นหน้า จากเดิมที่ได้สิทธิ์เล่นแค่ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก นั่นเอง
นอกจากนี้ มันยังมีการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันในรอบแรกด้วย โดยจากเดิมทีที่แบ่งกันเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม มาเป็นแบบลีกที่จะให้ทุกทีมมาอยู่ด้วยกันหมด อย่างไรก็ตาม แต่ละทีมจะต้องเล่นกันทีมละ 8 เกม เท่านั้น โดยพวกเขาจะได้เจอกับคู่แข่งแบบไม่ซ้ำหน้ากัน และแบ่งเป็นเล่นเกมเหย้ากับเกมเยือนอย่างละ 4 นัด
มีการระบุด้วยว่ารูปแบบการแข่งขันจะใช้รูปแบบที่เรียกว่า "สวิส-สไตล์" ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีรายการกีฬาอย่าง แบดมินตัน และการแข่งวิดีโอเกมที่ใช้ระบบนี้เหมือนกัน โดยมันจะเริ่มจากการให้แต่ละทีมมาเจอกันในนัดแรก จากนั้นในนัดสองก็จะเป็นการเจอกันระหว่างทีมที่มีผลงานแบบเดียวกัน อย่างเช่น ทีมที่ชนะในนัดแรกจะมาเจอกันเอง และทีมที่แพ้ในนัดแรกจะมาเจอกันเอง เป็นต้น โดยมันจะดำเนินแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบ
ทั้งนี้ ทีมที่มีผลงานดีที่สุด 8 อันดับแรกจะได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบอัตโนมัติ ส่วนโควตาที่เหลือจะเอาทีมจากอันดับ 9-24 มาเตะกันแบบเหย้า-เยือน เพื่อหาจำนวนทีมให้ครบ โดยมีการประเมินว่าในรอบแรกจะมีการเตะกันเป็นเวลารวมแล้ว 10 สัปดาห์ด้วยกัน ขณะเดียวกัน เกมในรอบแรก ไปจนถึงรอบรองชนะเลิศก็จะยังเตะกันในช่วงกลางสัปดาห์ตามเดิม หลังจากตอนแรกลือกันว่ารอบตัดเชือกจะถูกเปลี่ยนมาเตะกันที่สนามเป็นกลางแบบนัดเดียว แล้วค่อยเล่นนัดชิงดำในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น
ที่จริงก่อนหน้านี้มีข่าวลือด้วยว่า ยูฟ่า อาจจะมอบโควตาการเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กับทีมที่เคยทำผลงานในถ้วยบิ๊กเอียร์ได้ดี ต่อให้พวกเขาจะได้อันดับในลีกที่แย่ก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะได้สิทธิ์เล่นถ้วยนี้แม้ว่าจะได้อันดับน่าผิดหวัง เป็นต้น ซึ่งมันโดนหลายฝ่ายคัดค้านกันอย่างหนัก ก่อนที่สุดท้าย ยูฟ่า จะยกเลิกไอเดียนี้
สำหรับฟอร์แมตอันใหม่นี้จะนำไปใช้กับรายการ ยูโรปา ลีก กับ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก เช่นกัน โดยทางสมาคมสโมสรฟุตบอลในทวีปยุโรป (อีซีเอ) ที่มีมากกว่า 240 สโมสรเป็นสมาชิกนั้น เผยว่าพวกเขาสนับสนุนไอเดียนี้ของ ยูฟ่า อย่างเต็มที่
credit : www.siamsport.co.th