ประสบการณ์เรียนปริญญาโทด้านการเงิน ณ ประเทศเยอรมัน เมืองแฟรงค์เฟิร์ต
อยู่เยอรมันอย่างหมาป่า (ภาคต่อจากอยู่เยอรมันอย่างหมาน้อย)
ถ้าใครอยากฟังประสบการณ์คูลๆ ใส่เสื้อโคทเดินถ่ายรูปริมแม่น้ำ Rhein ออกไปดื่มเบียร์กับเพื่อนๆผมสีบลอนด์ หรือจีบนักเรียนโต๊ะข้างๆ บอกเลยว่า... เสียใจด้วยครับ เพราะประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดคือความจริงที่มีทั้ง ขม หวาน มัน เหนื่อย ตื่นเต้น แต่ก็เป็นบุญตูดมากที่ได้ไปนั่งเรียนที่นั่น ผมอยากแชร์เก็บไว้ให้ลูกหลานและเพื่อนๆได้อ่านกันครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย (และคงไม่ทำร้ายใครเนอะ)
ประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดนี้เหมาะสำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลเรียนต่อปริญญาโทต่างประเทศ โดยเฉพาะที่เยอรมัน หรือคนที่อยากหาอะไรอ่านเพื่อความบันเทิงได้ทั้งนั้น
เริ่มต้นบอกก่อนว่าผมเรียนปริญญาโทที่โรงเรียนด้านการเงินและการจัดการแฟรงค์เฟิร์ต(ชื่อนี้ผมตั้งเอง) หรือ Frankfurt School of Finance and Management (อันนี้ชื่อจริงๆ) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนค่าเรียนปริญญาละประมาณ 1.2 ล้านบาท
เชื่อว่ามีหลายคนอยากทราบแค่เรื่องค่าใช้จ่าย ขอบอกไว้ตรงนี้เลยแล้วกันครับว่า ค่าหอพักเดือนละ 24000 ค่าอาหารประมาณเดือนละ 10000 ค่าประกันสุขภาพเดือนละ 4000 ค่าภาษีวิทยุ(เมืองนี้บังคับคนทุกคนจ่าย)เดือนละ 700 บาทและค่าเดินทางเดือนละ 0 บาทเพราะนักศึกษามีบัตรนักเรียนเป็นบัตรวิเศษใยแมงมุมขึ้นรถลงห้วยได้ทุกขบวน ฟรี!
เอาเป็นว่าทั้งหมดค่าใช้จ่ายนอกจากค่าเทอมรวมประมาณปีละ 5 แสนครับ และเรียน 2 ปีครับ และผมเป็นนักเรียนทุน โดยผู้ให้ทุนก็คือป๊าม้านั่นเองครับ (ป๊าออกค่าใช้จ่าย ม้าออกแรงเชียร์อย่างมาก สุดใจ)
ก่อนอื่นอยากขอบคุณชาวพันทิพย์ทุกท่านที่ให้การตอบรับกระทู้ก่อน “อยู่เยอรมันอย่างหมาน้อย”เป็นอย่างดี กระทู้นั้นผมเล่าประสบการณ์การไปวูฟตอนเรียนมหาลัยปี 3 เป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ และ inspire ให้ผมไปเรียนเรียนต่อ ป โทที่เยอรมัน เมื่อวานนี้ (29 เมษา) ผมได้ส่งเล่มจบ Thesis ที่โรงเรียนให้เวลาทำ 3 เดือน คิดว่าจะทำ 3 สัปดาห์ แต่ทำจริงๆ 3 วัน ไป และคิดว่าจะน่าผ่านฉลุยเหมือนทุกๆข้อสอบที่ผ่านมาแม้จะอ่านหนังสือแบบฉิวเฉียดก็ตาม (คนเราก็แบบนี้แหละครับ แถวบ้านเรียก Deadline-driven person) แต่บ้านอยู่แถวชาญเมือง กทม. นะครับ
อยากเล่าก่อนว่าบ้านไม่ได้รวยนะครับ แม้อยากให้บ้านรวยอยู่เหมือนกัน แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้ขัดสนและสนับสนุนลูกๆเสมอในเรื่องการเรียน หลังจากจบ ป.ตรีจากสถาบันการศึกษาที่อยู่ในทุ่งก็เข้ามาทำงานใน กทม. กับธนาคารดีๆธนาคารหนึ่ง ทำงานผ่านไป 2 ปีหัวหน้าก็บอกให้ไปเรียน ป.โทครับ “ไก่ พี่ว่าไก่ควรไปเรียน ป.โทนะ เพราะเวลาขึ้นเงินเดือน พี่จะได้ขึ้นให้ง่ายๆหน่อย อีกอย่างบางทีธนาคารจะมีนโยบายขึ้นเงินเดือน พนง ป.โทเท่านั้น พี่กลัวไก่เสียโอกาส” ผมซึ่งเป็นเด็กน่ารักก็ตอบปากรับคำและคิดว่าจะสมัครเรียนบริหารธุรกิจใน กทม เพราะชีวิตจะได้ไม่เปลี่ยนมาก เรียนไปทำงานไปสบายแน่ๆเพราะหัวหน้าส่งเราไปเรียน งานเราอาจจะเพลาๆลงได้ อยากบอกว่า ณ วันนั้น ความฝันตอนเด็กๆที่อยากไปเรียน ท.โทที่เยอรมันมันมลายหายไปแล้วครับ คิดว่าพระเจ้าเค้าไม่ได้อยากให้เราเรียนที่โน่นหรอก เพราะตอนเรียนจบใหม่ๆสมัครไปก็ไม่ติดนะ
ตัดภาพไปตอนสอบ GMAT TOELF ก็สอบไปปกติครับ ติดที่ว่าก่อนสอบข้อสอบพวกนี้ เค้าจะมีช่องให้กรอกว่าจะส่งคะแนนไปไหนบ้าง เราก็ส่งไปที่สถาบันไทยที่เล็งไว้ อีกช่องเห็นว่างอยู่เลยใส่ชื่อมหาลัยในฝันไปเล่นๆ ชาตินี้คงไม่ได้ไปหรอก แต่เผื่อว่าฟ้าจะเป็นใจ
3 เดือนถัดมาผมลาออกจากงาน เก็บกระเป๋า ลาครอบครับ ย้ายบ้านไปอยู่เยอรมัน กำเงินไป 5 แสน (กำเงินในบัญชีแหละ) แววตามุ่งมั่น... ใช่ครับ ผมได้ไปเรียนมหาลัยในฝันจริงๆ ไม่รู้ว่าพระเจ้าท่านคิดอะไรของท่านนะ
แฟรงค์เฟิร์ต (ปัจจุบันคือบ้านหลังที่2) เป็นเมืองที่เคยสวยงามมากครับ เทอเหมือนผู้หญิงที่เคยเห็นผ่านๆแล้วเก็บไปฝันหวาน อยากรู้จักเทอ อยากอยู่กับเทอ อยากรู้เทอเป็นไง เวลาผ่านไป 2 ปี ได้รู้จักเทอ แม้ตอนนี้แยกกันอยู่แล้ว แต่ความน่ารัก อบอุ่น กลิ่นปาก(กลิ่นสถานีรถใต้ดิน) และ life style ของเทอ(ค่ากินอยู่แพงมาก) ยังทำให้คิดถึงอยู่ทุกๆวันที่ขี้ เอ้ย! ทุกๆวันคี่
เมืองนี้มันสวยแหละ มันคือเมืองธุรกิจที่ผมสาบานว่าทุกคนอยากใส่สูทเดินอยู่บนถนน มือนึงถือกาแฟ อีกมือถือกระเป๋าหนัง BOSS หรือ LV และทำงานบนตึกสวยๆ ถนนสวยๆ ถ้าใครจินตนาการไม่ออก มันอาจจะคล้ายๆกับสาธรเหนือที่ไม่มีเสาไฟฟ้าและคลองตรงหลางนั่นแหละครับ แต่เป็นแบบนั้นคูณ 10 หรือคูณ 20 ได้และอากาศ 10 องศา แต่ต้องบอกก่อนว่าเมืองนี้รถไม่ติดนะ เพราะมีประชากรแค่ไม่ถึง 1 ล้านคนเท่านั้น มันทำให้การเดินทางเป็นเรื่องง่ายมาก
ยังจำวันแรกที่ไปถึงได้ดีครับ เป็นเช้าอากาศดีของปลายฤดูร้อน ช่วงเดือนสิงหาคม ผมนั่งรถใต้ดินตรงไปที่โรงเรียนพร้อมกระเป๋าใบใหญ่1ใบ และกลิ่นปากที่คละคลุ้งจากการนอนบนเครื่องนานราว 18 ชั่วโมง ผมเช่าหอในครับ และเป็นหอในที่อยู่ไปได้ 1 เดือนเค้าทุบทิ้งสร้างตึกใหม่และให้ผมนอนข้างถนนแทน หยอกๆ ย้ายไปหอเอกชนที่ห่างไป 2-3 กิโลแทน เพื่อนร่วมห้องเป็นคนชาติเอเชียครับ และบอกก่อนว่าหอในที่นี่ ห้องครัวรวม และในห้องชุดเดียวกัน มีทั้ง ผช และ ผญ!! ตื่นเต้นแล้วใช่มั้ยครับ ให้ทายว่าเพื่อนร่วมห้องชุดของผมเป็นสาว ญป สาวเกาหลี หรือสาวไทยครับ? ... เฉลย ผิดครับ! เพื่อนร่วมห้องผมหนุ่มเป็นอินเดีย 2 คนที่นิสัยขี้โม้ กลิ่นเต่าแม้จะไม่เหม็นแต่เหม็นฉุนน้ำหอม (มันฉีดน้ำหอมจนเหม็นได้ คิดดูเอา) สำหรับความสะอาดนั้นเมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดส่งเมลมาเตือนว่า “เรียนผู้อยู่อาศัยห้อง 201 ถ้าไม่ทำความสะอาดห้องครัวให้ดีกว่านี้ เราจะส่งคนไปทำให้นะ” อ่านตอนแรกก็ดีใจเพราะห้องจะได้สะอาดซักที แต่มันจะเก็บเงินคนละ 1200บาทค่าทำความสะอาด!! ผมเลยต้องใช้สกิลที่แม่สอนมานาน ทำความสะอาดครัวให้เพื่อนๆ ห้องชุดนี้ก็แปลกด้วยครับ ทั้งๆที่ห้องอื่นเค้ามี ผช ผญ หลากหลาย ห้องผมเหมือนถ้าเปรียบเป็นเรือนจำคือนักโทษชั้นเลว และเลวขนาดเป็นแดนประหารได้ เพราะมีแต่ ผช เถื่อนพูดน้อย 6 คน (รวมตู) และไม่รักษาความสะอาดเลยครับ เรียกว่าพระเจ้าหยอกเล่นอีกแล้ว เพราะเดือนแรกเศร้ากับหอพักมาก แต่อยู่ไปได้ 1 สัปดาห์เค้าก็แจ้งให้เตรียมออกจากตึก และหาที่อยู่ใหม่ให้เพราะโรงเรียนกำลังจะสร้างหอใหม่ หรูไหรไฮโซกว่าเดิม เพราะโรงเรียนมันมีตังค์
ความรู้สึกในช่วงแรกที่ไปอยู่ มันสดใสมากพอสมควรครับ เพราะเราได้ปรับการใช้ชีวิต ซื้อหม้อชามรามไหใหม่เป็นของเราเอง ได้ซื้อไม้กวาด ผ้า มาเช็ดทำความสะอาดห้อง ผมได้มีโอกาสนั่งสกู้ดเตอร์เสียเงิน (คล้ายๆจักรยาน กทม ที่ไม่มีใครเช่า แต่ที่แฟรงค์เฟิร์ตคือฮิตมาก) ไปเที่ยวรอบเมือง ผมยังจำวันที่ 3 ของการไปอยู่ที่นั่นได้ดีครับ ผมขับสกู้ดตอร์ออกไปแต่เช้าไปที่สำนักงานใหญ่ของ Alliance Global Investors ซึ่งเป็นบริษัทบริหารกองทุนที่ใหญ่มาก และสำนักงานใหญ่อยู่ไม่ไกลจากหอ ไม่ได้ไปสมัครงาน แต่เพื่อไปดูให้เห็นกับตาจริงๆว่ามันเท่แค่ไหน ผมจำได้ว่าผมไปนั่งกินกาแฟอยู่ที่ร้านกาแฟใต้ตึกนั้น นั่งดูคนใส่สูท ผมเรียบเป๊ะ ถือการเป๋าหนังเดินเข้าไปทำงานในตึก บรรยากาศดี ทุกอย่างดูเข้าธีม ตึกสวยๆ สูทสวยๆ รถแมเซเด้ส (เบ๊นซ์) เอาดี้ (Audi) จอดส่งผู้บริหารไม่ขาดสาย ทุกอย่างดูเข้ากันมาก ติดที่ตูนี่แหละ ในเสื้อกันหนาวฮู้ดดี้ กางเกงวอม เหมือนแต่งตัวไปปล้นร้านทอง ที่หลุดธีมอยู่คนนึง
ผมมีความสุขมากกับ 2 สัปดาห์แรกที่เยอรมันแม้เพื่อนร่วมห้องจะทิ้งกล่องพิซซ่าให้เก็บไปทิ้งไม่เว้นแต่ละวัน และผมต้องซื้อของใช้ใหม่เยอะมาก วันๆเดินไปซุปเปอร์เกือบๆ 6-7 รอบครับ หลังจากนั้นก็ถึงเวลาสำคัญของชีวิตเด็กปริญญาโท วันแรกที่ได้เจอเพื่อนๆ วันปฐมนิเทศหรือวันแรกที่เราจะเข้าห้องประชุม อธิการบดีจะมากล่าวต้อนรับ และเราจะได้เจอเพื่อนๆที่จะเรียนร่วมหัวจมท้ายด้วยกันไปอีก2ปี (ตัดภาพมาอีก 1 ปีให้หลัง เบื่อหน้าไม่ยอมมาเจอ มุดตัวอยู่ห้อง Zoom call รัวๆ)
วันนั้นผมใส่เสื้อเชิ้ต Uniqlo ตัวใหม่ซักหอมๆมาจากเมืองไทย รีบเรียบกริ้บ (เตารีดซื้อวันที่ 4) พร้อมรอยยิ้มที่ฝึกยิ้มมาแล้วหลายครั้งเมื่อคืนก่อน ผมล็อคประตูห้อง ลงลิฟท์ไปชั้นล่าง ผมเดินผ่านโถงในหอ ยังไม่ทันเปิดประตูหอ อยู่ดีๆก็มีเสียงทักมา เป็นเสียงผู้หญิงที่ใสที่สุดที่เคยทักผมมาในรอบหลายวัน ผมหันไปหาเทอ บอกก่อนว่าผู้หญิงคนนี้จะสร้างความทรงจำให้ผมอีกมากมายจนล่าสุดเพิ่งคุยกันในแชทไปเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน
ง่วงแล้วครับไว้จะมาเล่าต่อนะ
[CR] อยู่เยอรมันอย่างหมาป่า (ภาคต่อจากอยู่เยอรมันอย่างหมาน้อย)
อยู่เยอรมันอย่างหมาป่า (ภาคต่อจากอยู่เยอรมันอย่างหมาน้อย)
ถ้าใครอยากฟังประสบการณ์คูลๆ ใส่เสื้อโคทเดินถ่ายรูปริมแม่น้ำ Rhein ออกไปดื่มเบียร์กับเพื่อนๆผมสีบลอนด์ หรือจีบนักเรียนโต๊ะข้างๆ บอกเลยว่า... เสียใจด้วยครับ เพราะประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดคือความจริงที่มีทั้ง ขม หวาน มัน เหนื่อย ตื่นเต้น แต่ก็เป็นบุญตูดมากที่ได้ไปนั่งเรียนที่นั่น ผมอยากแชร์เก็บไว้ให้ลูกหลานและเพื่อนๆได้อ่านกันครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย (และคงไม่ทำร้ายใครเนอะ)
ประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดนี้เหมาะสำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลเรียนต่อปริญญาโทต่างประเทศ โดยเฉพาะที่เยอรมัน หรือคนที่อยากหาอะไรอ่านเพื่อความบันเทิงได้ทั้งนั้น
เริ่มต้นบอกก่อนว่าผมเรียนปริญญาโทที่โรงเรียนด้านการเงินและการจัดการแฟรงค์เฟิร์ต(ชื่อนี้ผมตั้งเอง) หรือ Frankfurt School of Finance and Management (อันนี้ชื่อจริงๆ) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนค่าเรียนปริญญาละประมาณ 1.2 ล้านบาท
เชื่อว่ามีหลายคนอยากทราบแค่เรื่องค่าใช้จ่าย ขอบอกไว้ตรงนี้เลยแล้วกันครับว่า ค่าหอพักเดือนละ 24000 ค่าอาหารประมาณเดือนละ 10000 ค่าประกันสุขภาพเดือนละ 4000 ค่าภาษีวิทยุ(เมืองนี้บังคับคนทุกคนจ่าย)เดือนละ 700 บาทและค่าเดินทางเดือนละ 0 บาทเพราะนักศึกษามีบัตรนักเรียนเป็นบัตรวิเศษใยแมงมุมขึ้นรถลงห้วยได้ทุกขบวน ฟรี!
เอาเป็นว่าทั้งหมดค่าใช้จ่ายนอกจากค่าเทอมรวมประมาณปีละ 5 แสนครับ และเรียน 2 ปีครับ และผมเป็นนักเรียนทุน โดยผู้ให้ทุนก็คือป๊าม้านั่นเองครับ (ป๊าออกค่าใช้จ่าย ม้าออกแรงเชียร์อย่างมาก สุดใจ)
ก่อนอื่นอยากขอบคุณชาวพันทิพย์ทุกท่านที่ให้การตอบรับกระทู้ก่อน “อยู่เยอรมันอย่างหมาน้อย”เป็นอย่างดี กระทู้นั้นผมเล่าประสบการณ์การไปวูฟตอนเรียนมหาลัยปี 3 เป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ และ inspire ให้ผมไปเรียนเรียนต่อ ป โทที่เยอรมัน เมื่อวานนี้ (29 เมษา) ผมได้ส่งเล่มจบ Thesis ที่โรงเรียนให้เวลาทำ 3 เดือน คิดว่าจะทำ 3 สัปดาห์ แต่ทำจริงๆ 3 วัน ไป และคิดว่าจะน่าผ่านฉลุยเหมือนทุกๆข้อสอบที่ผ่านมาแม้จะอ่านหนังสือแบบฉิวเฉียดก็ตาม (คนเราก็แบบนี้แหละครับ แถวบ้านเรียก Deadline-driven person) แต่บ้านอยู่แถวชาญเมือง กทม. นะครับ
อยากเล่าก่อนว่าบ้านไม่ได้รวยนะครับ แม้อยากให้บ้านรวยอยู่เหมือนกัน แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้ขัดสนและสนับสนุนลูกๆเสมอในเรื่องการเรียน หลังจากจบ ป.ตรีจากสถาบันการศึกษาที่อยู่ในทุ่งก็เข้ามาทำงานใน กทม. กับธนาคารดีๆธนาคารหนึ่ง ทำงานผ่านไป 2 ปีหัวหน้าก็บอกให้ไปเรียน ป.โทครับ “ไก่ พี่ว่าไก่ควรไปเรียน ป.โทนะ เพราะเวลาขึ้นเงินเดือน พี่จะได้ขึ้นให้ง่ายๆหน่อย อีกอย่างบางทีธนาคารจะมีนโยบายขึ้นเงินเดือน พนง ป.โทเท่านั้น พี่กลัวไก่เสียโอกาส” ผมซึ่งเป็นเด็กน่ารักก็ตอบปากรับคำและคิดว่าจะสมัครเรียนบริหารธุรกิจใน กทม เพราะชีวิตจะได้ไม่เปลี่ยนมาก เรียนไปทำงานไปสบายแน่ๆเพราะหัวหน้าส่งเราไปเรียน งานเราอาจจะเพลาๆลงได้ อยากบอกว่า ณ วันนั้น ความฝันตอนเด็กๆที่อยากไปเรียน ท.โทที่เยอรมันมันมลายหายไปแล้วครับ คิดว่าพระเจ้าเค้าไม่ได้อยากให้เราเรียนที่โน่นหรอก เพราะตอนเรียนจบใหม่ๆสมัครไปก็ไม่ติดนะ
ตัดภาพไปตอนสอบ GMAT TOELF ก็สอบไปปกติครับ ติดที่ว่าก่อนสอบข้อสอบพวกนี้ เค้าจะมีช่องให้กรอกว่าจะส่งคะแนนไปไหนบ้าง เราก็ส่งไปที่สถาบันไทยที่เล็งไว้ อีกช่องเห็นว่างอยู่เลยใส่ชื่อมหาลัยในฝันไปเล่นๆ ชาตินี้คงไม่ได้ไปหรอก แต่เผื่อว่าฟ้าจะเป็นใจ
3 เดือนถัดมาผมลาออกจากงาน เก็บกระเป๋า ลาครอบครับ ย้ายบ้านไปอยู่เยอรมัน กำเงินไป 5 แสน (กำเงินในบัญชีแหละ) แววตามุ่งมั่น... ใช่ครับ ผมได้ไปเรียนมหาลัยในฝันจริงๆ ไม่รู้ว่าพระเจ้าท่านคิดอะไรของท่านนะ
แฟรงค์เฟิร์ต (ปัจจุบันคือบ้านหลังที่2) เป็นเมืองที่เคยสวยงามมากครับ เทอเหมือนผู้หญิงที่เคยเห็นผ่านๆแล้วเก็บไปฝันหวาน อยากรู้จักเทอ อยากอยู่กับเทอ อยากรู้เทอเป็นไง เวลาผ่านไป 2 ปี ได้รู้จักเทอ แม้ตอนนี้แยกกันอยู่แล้ว แต่ความน่ารัก อบอุ่น กลิ่นปาก(กลิ่นสถานีรถใต้ดิน) และ life style ของเทอ(ค่ากินอยู่แพงมาก) ยังทำให้คิดถึงอยู่ทุกๆวันที่ขี้ เอ้ย! ทุกๆวันคี่
เมืองนี้มันสวยแหละ มันคือเมืองธุรกิจที่ผมสาบานว่าทุกคนอยากใส่สูทเดินอยู่บนถนน มือนึงถือกาแฟ อีกมือถือกระเป๋าหนัง BOSS หรือ LV และทำงานบนตึกสวยๆ ถนนสวยๆ ถ้าใครจินตนาการไม่ออก มันอาจจะคล้ายๆกับสาธรเหนือที่ไม่มีเสาไฟฟ้าและคลองตรงหลางนั่นแหละครับ แต่เป็นแบบนั้นคูณ 10 หรือคูณ 20 ได้และอากาศ 10 องศา แต่ต้องบอกก่อนว่าเมืองนี้รถไม่ติดนะ เพราะมีประชากรแค่ไม่ถึง 1 ล้านคนเท่านั้น มันทำให้การเดินทางเป็นเรื่องง่ายมาก
ยังจำวันแรกที่ไปถึงได้ดีครับ เป็นเช้าอากาศดีของปลายฤดูร้อน ช่วงเดือนสิงหาคม ผมนั่งรถใต้ดินตรงไปที่โรงเรียนพร้อมกระเป๋าใบใหญ่1ใบ และกลิ่นปากที่คละคลุ้งจากการนอนบนเครื่องนานราว 18 ชั่วโมง ผมเช่าหอในครับ และเป็นหอในที่อยู่ไปได้ 1 เดือนเค้าทุบทิ้งสร้างตึกใหม่และให้ผมนอนข้างถนนแทน หยอกๆ ย้ายไปหอเอกชนที่ห่างไป 2-3 กิโลแทน เพื่อนร่วมห้องเป็นคนชาติเอเชียครับ และบอกก่อนว่าหอในที่นี่ ห้องครัวรวม และในห้องชุดเดียวกัน มีทั้ง ผช และ ผญ!! ตื่นเต้นแล้วใช่มั้ยครับ ให้ทายว่าเพื่อนร่วมห้องชุดของผมเป็นสาว ญป สาวเกาหลี หรือสาวไทยครับ? ... เฉลย ผิดครับ! เพื่อนร่วมห้องผมหนุ่มเป็นอินเดีย 2 คนที่นิสัยขี้โม้ กลิ่นเต่าแม้จะไม่เหม็นแต่เหม็นฉุนน้ำหอม (มันฉีดน้ำหอมจนเหม็นได้ คิดดูเอา) สำหรับความสะอาดนั้นเมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดส่งเมลมาเตือนว่า “เรียนผู้อยู่อาศัยห้อง 201 ถ้าไม่ทำความสะอาดห้องครัวให้ดีกว่านี้ เราจะส่งคนไปทำให้นะ” อ่านตอนแรกก็ดีใจเพราะห้องจะได้สะอาดซักที แต่มันจะเก็บเงินคนละ 1200บาทค่าทำความสะอาด!! ผมเลยต้องใช้สกิลที่แม่สอนมานาน ทำความสะอาดครัวให้เพื่อนๆ ห้องชุดนี้ก็แปลกด้วยครับ ทั้งๆที่ห้องอื่นเค้ามี ผช ผญ หลากหลาย ห้องผมเหมือนถ้าเปรียบเป็นเรือนจำคือนักโทษชั้นเลว และเลวขนาดเป็นแดนประหารได้ เพราะมีแต่ ผช เถื่อนพูดน้อย 6 คน (รวมตู) และไม่รักษาความสะอาดเลยครับ เรียกว่าพระเจ้าหยอกเล่นอีกแล้ว เพราะเดือนแรกเศร้ากับหอพักมาก แต่อยู่ไปได้ 1 สัปดาห์เค้าก็แจ้งให้เตรียมออกจากตึก และหาที่อยู่ใหม่ให้เพราะโรงเรียนกำลังจะสร้างหอใหม่ หรูไหรไฮโซกว่าเดิม เพราะโรงเรียนมันมีตังค์
ความรู้สึกในช่วงแรกที่ไปอยู่ มันสดใสมากพอสมควรครับ เพราะเราได้ปรับการใช้ชีวิต ซื้อหม้อชามรามไหใหม่เป็นของเราเอง ได้ซื้อไม้กวาด ผ้า มาเช็ดทำความสะอาดห้อง ผมได้มีโอกาสนั่งสกู้ดเตอร์เสียเงิน (คล้ายๆจักรยาน กทม ที่ไม่มีใครเช่า แต่ที่แฟรงค์เฟิร์ตคือฮิตมาก) ไปเที่ยวรอบเมือง ผมยังจำวันที่ 3 ของการไปอยู่ที่นั่นได้ดีครับ ผมขับสกู้ดตอร์ออกไปแต่เช้าไปที่สำนักงานใหญ่ของ Alliance Global Investors ซึ่งเป็นบริษัทบริหารกองทุนที่ใหญ่มาก และสำนักงานใหญ่อยู่ไม่ไกลจากหอ ไม่ได้ไปสมัครงาน แต่เพื่อไปดูให้เห็นกับตาจริงๆว่ามันเท่แค่ไหน ผมจำได้ว่าผมไปนั่งกินกาแฟอยู่ที่ร้านกาแฟใต้ตึกนั้น นั่งดูคนใส่สูท ผมเรียบเป๊ะ ถือการเป๋าหนังเดินเข้าไปทำงานในตึก บรรยากาศดี ทุกอย่างดูเข้าธีม ตึกสวยๆ สูทสวยๆ รถแมเซเด้ส (เบ๊นซ์) เอาดี้ (Audi) จอดส่งผู้บริหารไม่ขาดสาย ทุกอย่างดูเข้ากันมาก ติดที่ตูนี่แหละ ในเสื้อกันหนาวฮู้ดดี้ กางเกงวอม เหมือนแต่งตัวไปปล้นร้านทอง ที่หลุดธีมอยู่คนนึง
ผมมีความสุขมากกับ 2 สัปดาห์แรกที่เยอรมันแม้เพื่อนร่วมห้องจะทิ้งกล่องพิซซ่าให้เก็บไปทิ้งไม่เว้นแต่ละวัน และผมต้องซื้อของใช้ใหม่เยอะมาก วันๆเดินไปซุปเปอร์เกือบๆ 6-7 รอบครับ หลังจากนั้นก็ถึงเวลาสำคัญของชีวิตเด็กปริญญาโท วันแรกที่ได้เจอเพื่อนๆ วันปฐมนิเทศหรือวันแรกที่เราจะเข้าห้องประชุม อธิการบดีจะมากล่าวต้อนรับ และเราจะได้เจอเพื่อนๆที่จะเรียนร่วมหัวจมท้ายด้วยกันไปอีก2ปี (ตัดภาพมาอีก 1 ปีให้หลัง เบื่อหน้าไม่ยอมมาเจอ มุดตัวอยู่ห้อง Zoom call รัวๆ)
วันนั้นผมใส่เสื้อเชิ้ต Uniqlo ตัวใหม่ซักหอมๆมาจากเมืองไทย รีบเรียบกริ้บ (เตารีดซื้อวันที่ 4) พร้อมรอยยิ้มที่ฝึกยิ้มมาแล้วหลายครั้งเมื่อคืนก่อน ผมล็อคประตูห้อง ลงลิฟท์ไปชั้นล่าง ผมเดินผ่านโถงในหอ ยังไม่ทันเปิดประตูหอ อยู่ดีๆก็มีเสียงทักมา เป็นเสียงผู้หญิงที่ใสที่สุดที่เคยทักผมมาในรอบหลายวัน ผมหันไปหาเทอ บอกก่อนว่าผู้หญิงคนนี้จะสร้างความทรงจำให้ผมอีกมากมายจนล่าสุดเพิ่งคุยกันในแชทไปเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน
ง่วงแล้วครับไว้จะมาเล่าต่อนะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้