1 พ.ค.2565 -
นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กโดยมีรายละเอียดดังนี้ ...
ผมอัษฎางค์ ยมนาค ขอสนับสนุน Strategic vote
Strategic vote คือ การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ อันหมายถึง การพร้อมใจกันเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือนักการเมืองคนใดคนหนึ่งให้ชนะการเลือกตั้ง
Strategic vote นิยมเรียกเป็นตัวย่อว่า SV
คนไทยอาจไม่คุ้นเคยกับ SV หรือ Strategic vote แต่เชื่อได้ว่าคนไทยรู้จักคำว่า “แลนด์สไลด์” ซึ่งนั้นคือ ความหมายใกล้เคียงกัน
SV เป็นการขายฝันหรือไม่?
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า SV คือการขายฝัน
ซึ่งเพื่อไทย ก้าวไกล-ก้าวหน้า นิยมขายฝัน”แลนด์สไลด์” ตลอดมา เพราะเขาคิดกันมาอย่างรอบคอบแล้วว่า “แลนด์สไลด์” หรือ SV (Strategic vote) เท่านั้นที่จะสามารถชนะการเลือกตั้ง ทำให้ครอบครองอำนาจและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
ในขณะที่คนฝั่งเรา (ฝั่งคนที่ยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ) เสียงแตก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ ”เสียงแตก” คำตอบคือ แพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง
ผมขอยกตัวอย่าง...
การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในครั้งนี้ ผู้นิยมทักษิณ เทคะแนนให้ชัชชาติ และผู้นิยมธนาธรเทคะแนนให้วิโรจน์ แน่นอน ซึ่งพูดถึงแค่ตรงนี้ ภาพชัยชนะของชัชชาติเด่นชัดมาแต่ไกลมานานแล้ว
ในขณะที่ฝ่ายเรา เกิดอาการเสียงแตก เพราะมีตัวเลือกที่เด่นๆ อย่างน้อย 3 ราย อัศวิน สกลธี สุชัชวีร์
สมมตินะครับสมมติ
มีคน 25 % เป็นคนสีแดง เลือกชัชชาติ
อีก 15 % เป็นคนสีส้ม เลือกวิโรจน์
และ 60 % เป็นคนหลายสี ฝ่ายจงรักภักดี ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่สุดด้วยซ้ำ และด้วยตัวเลขเยอะที่สุดนี้ น่าจะบ่งชี้ว่าฝ่ายเราจะไดรับชัยชนะได้ไม่ยาก
แต่…
แต่ฝ่ายเรากลับเสียงแตกกระจาย เพราะทุกคนบอกว่า ฉันเป็นนักประชาธิปไตย ฉันต้องเลือกตามที่ฉันชอบ ฉันจะเลือกตามใจฉัน ฉันจะเลือกด้วยหัวใจ
ฉันไม่ขอใช้สมองคิดว่าตัวเลข 60% นั้น อาจจะมีคนไปเลือก อัศวิน 20% สกลธร 20% สุชัชวีร์ 20%
สุดท้ายคนที่ฉันเลือกจะชนะหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญที่ฉันได้เลือกคนที่ฉันสนับสนุน เท่านั้นพอ
ซึ่งเมื่อคิดกันแบบนี้ ในที่สุด
ชัชชาติ เพื่อไทย วิโรจน์ ก้าวไกล ที่เขามีวิสัยทัศน์ไปที่จุดหมายปลายทางที่ชัยชนะ จะเป็นผู้ชนะ
ในขณะที่ฝ่ายเรา ไม่ขอคิดถึงเรื่องยุทธศาสตร์ หรือยุทธวิธีที่ทำอย่างไรถึงจะชนะ เพราะแต่ละคนก็อยากเลือกคนที่ตัวเองชอบ คนที่ตัวเองสนับสนุนเท่านั้น จะทำให้ไม่มีวันที่จะชนะได้เลย แถมยังแพ้ตั้งแต่ยังไม่ถึงวันลงคะแนนเลือกตั้งด้วยซ้ำ
แบบนี้ ไม่ควรเสียเวลาและเงินทองไปหาเสียงเลยด้วยซ้ำ เพราะเห็นผลการเลือกตั้งแล้ว ว่าแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง
ในขณที่ SV หรือ Strategic vote หรือ “แลนด์สไลด์” คือ คนฝ่ายที่สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าสลิ่มหรือไม่ ต้องประเมินหรือดูกันที่ผลสำรวจว่า ผู้สมัครคนใดในฝ่ายเราที่มีคะแนนนิยมสูงสุด
เราก็พร้อมใจกันเทคะแนนให้เขา เพื่อเขาจะได้เป็นตัวแทนของคนฝ่ายเรา
ไม่ใช่ต่างคนต่างเลือกด้วยใจ โดยไม่ใช้สมองคิดถึงกลยุทธ์ใดที่จะทำให้ฝ่ายเราชนะ
สุดท้ายเขาได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้เป็นรัฐบาล
แล้วฝ่ายเราจะเป็นยังไง ประเทศชาติจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน ...
ไม่คิดกันบ้างเลยหรือ?
https://www.facebook.com/123133784382994/posts/5671029276260056/ 
เลือกตั้งผู้ว่ากทม. วันซ้อมใหญ่ สลิ่มโมเดล ครับ
นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กโดยมีรายละเอียดดังนี้ ...
ผมอัษฎางค์ ยมนาค ขอสนับสนุน Strategic vote
Strategic vote คือ การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ อันหมายถึง การพร้อมใจกันเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือนักการเมืองคนใดคนหนึ่งให้ชนะการเลือกตั้ง
Strategic vote นิยมเรียกเป็นตัวย่อว่า SV
คนไทยอาจไม่คุ้นเคยกับ SV หรือ Strategic vote แต่เชื่อได้ว่าคนไทยรู้จักคำว่า “แลนด์สไลด์” ซึ่งนั้นคือ ความหมายใกล้เคียงกัน
SV เป็นการขายฝันหรือไม่?
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า SV คือการขายฝัน
ซึ่งเพื่อไทย ก้าวไกล-ก้าวหน้า นิยมขายฝัน”แลนด์สไลด์” ตลอดมา เพราะเขาคิดกันมาอย่างรอบคอบแล้วว่า “แลนด์สไลด์” หรือ SV (Strategic vote) เท่านั้นที่จะสามารถชนะการเลือกตั้ง ทำให้ครอบครองอำนาจและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
ในขณะที่คนฝั่งเรา (ฝั่งคนที่ยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ) เสียงแตก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ ”เสียงแตก” คำตอบคือ แพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง
ผมขอยกตัวอย่าง...
การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในครั้งนี้ ผู้นิยมทักษิณ เทคะแนนให้ชัชชาติ และผู้นิยมธนาธรเทคะแนนให้วิโรจน์ แน่นอน ซึ่งพูดถึงแค่ตรงนี้ ภาพชัยชนะของชัชชาติเด่นชัดมาแต่ไกลมานานแล้ว
ในขณะที่ฝ่ายเรา เกิดอาการเสียงแตก เพราะมีตัวเลือกที่เด่นๆ อย่างน้อย 3 ราย อัศวิน สกลธี สุชัชวีร์
สมมตินะครับสมมติ
มีคน 25 % เป็นคนสีแดง เลือกชัชชาติ
อีก 15 % เป็นคนสีส้ม เลือกวิโรจน์
และ 60 % เป็นคนหลายสี ฝ่ายจงรักภักดี ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่สุดด้วยซ้ำ และด้วยตัวเลขเยอะที่สุดนี้ น่าจะบ่งชี้ว่าฝ่ายเราจะไดรับชัยชนะได้ไม่ยาก
แต่…
แต่ฝ่ายเรากลับเสียงแตกกระจาย เพราะทุกคนบอกว่า ฉันเป็นนักประชาธิปไตย ฉันต้องเลือกตามที่ฉันชอบ ฉันจะเลือกตามใจฉัน ฉันจะเลือกด้วยหัวใจ
ฉันไม่ขอใช้สมองคิดว่าตัวเลข 60% นั้น อาจจะมีคนไปเลือก อัศวิน 20% สกลธร 20% สุชัชวีร์ 20%
สุดท้ายคนที่ฉันเลือกจะชนะหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญที่ฉันได้เลือกคนที่ฉันสนับสนุน เท่านั้นพอ
ซึ่งเมื่อคิดกันแบบนี้ ในที่สุด
ชัชชาติ เพื่อไทย วิโรจน์ ก้าวไกล ที่เขามีวิสัยทัศน์ไปที่จุดหมายปลายทางที่ชัยชนะ จะเป็นผู้ชนะ
ในขณะที่ฝ่ายเรา ไม่ขอคิดถึงเรื่องยุทธศาสตร์ หรือยุทธวิธีที่ทำอย่างไรถึงจะชนะ เพราะแต่ละคนก็อยากเลือกคนที่ตัวเองชอบ คนที่ตัวเองสนับสนุนเท่านั้น จะทำให้ไม่มีวันที่จะชนะได้เลย แถมยังแพ้ตั้งแต่ยังไม่ถึงวันลงคะแนนเลือกตั้งด้วยซ้ำ
แบบนี้ ไม่ควรเสียเวลาและเงินทองไปหาเสียงเลยด้วยซ้ำ เพราะเห็นผลการเลือกตั้งแล้ว ว่าแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง
ในขณที่ SV หรือ Strategic vote หรือ “แลนด์สไลด์” คือ คนฝ่ายที่สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าสลิ่มหรือไม่ ต้องประเมินหรือดูกันที่ผลสำรวจว่า ผู้สมัครคนใดในฝ่ายเราที่มีคะแนนนิยมสูงสุด
เราก็พร้อมใจกันเทคะแนนให้เขา เพื่อเขาจะได้เป็นตัวแทนของคนฝ่ายเรา
ไม่ใช่ต่างคนต่างเลือกด้วยใจ โดยไม่ใช้สมองคิดถึงกลยุทธ์ใดที่จะทำให้ฝ่ายเราชนะ
สุดท้ายเขาได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้เป็นรัฐบาล
แล้วฝ่ายเราจะเป็นยังไง ประเทศชาติจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน ...
ไม่คิดกันบ้างเลยหรือ?
https://www.facebook.com/123133784382994/posts/5671029276260056/