JJNY : 5in1 ยิ่งลักษณ์หนุนผ้าไทย│พิธาชวนประชุมใหญ่│พณ.ปิดตาจริงหรือ│เผยโกดังยึดสินค้าใช้หนี้│ญี่ปุ่นพบเด็กป่วยตับอักเสบ

'ยิ่งลักษณ์' หนุนยกระดับผ้าไทย ให้เป็น Soft Power ถ้าตัดเย็บให้ทันสมัย ใส่แล้วไม่แก่-ไม่เชย
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7018843
 
 
‘ยิ่งลักษณ์’ หนุนยกระดับผ้าไทย ให้เป็น Soft Power ชี้ทำได้ถ้าตัดเย็บให้ทันสมัย เป็นสากล ใส่แล้วไม่แก่-ไม่เชย โชว์ภาพถ่ายสวมผ้าไทยคู่ผู้นำโลก
   
วันที่ 27 เม.ย.65 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ระบุว่า 
 
ขอบคุณพี่โทนี่ และกลุ่มแคร์ที่พูดถึงความหมายของ Soft Power อย่างชัดเจนและหลากหลายมุมมอง ในคลับเฮ้าส์เมื่อคืนที่ผ่านมานะคะ หนึ่งในนั้นคือการยกระดับผ้าไทยให้เป็น Soft Power ว่าสามารถทำได้ผ่านการประยุกต์การตัดเย็บที่เป็นสากล ทันสมัย
 
ทำให้ย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ใช้โอกาสนี้ใส่ชุดผ้าไทย ผ้าขาวม้าที่ชาวบ้านผูกเอวรับขวัญมาตัดชุดเพื่อใช้ในการพบกับผู้นำนานาประเทศ เพื่อที่จะบอกว่าผ้าไทยของเราสวยและมีฝีมือประณีตแค่ไหน แถมใส่แล้วก็ไม่แก่และไม่เชยอย่างที่หลายคนคิดอีกด้วยค่ะ แฟนเพจเห็นด้วยไหมคะ
  
https://www.facebook.com/Y.Shinawatra/posts/542462190582482
  

 
‘พิธา’ ส่งสารชวนสมาชิกร่วมประชุมใหญ่ 30 เม.ย. พร้อมฟังเสวนา เตรียมจัดทัพรับเลือกตั้งใหญ่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3311874

‘พิธา’ ส่งสารชวนสมาชิกร่วมประชุมใหญ่ 30 เม.ย. ฟังเสวนา ‘เปลี่ยนประเทศไทย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ พร้อมจัดทัพรับเลือกตั้งใหญ่
 
เมื่อวันที่ 27 เมษายน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ส่งสารเชิญสมาชิกร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 และรับฟังการเสวนา “เปลี่ยนประเทศไทย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” โดยสารดังกล่าว ระบุว่า หากนับตามวาระปกติ ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งใหญ่อีกครั้งประมาณกลางปี 2566 หรืออีกเพียง 1 ปีหลังจากนี้ แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์การเมือง อาจได้เลือกตั้งเร็วกว่านั้นจากการยุบสภา
 
“30 เมษายน 2565 นอกจากเป็นวาระการประชุมตามข้อบังคับพรรคและตามกฎหมายแล้ว พวกเรายังมีเวที เปลี่ยนประเทศไทย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน สิ่งที่ผมจะพูดในงานนี้คือแนวนโยบายของพรรคที่พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. กรรมการบริหาร, สมาชิกพรรค, คณะทำงานจังหวัด รวมถึงผู้สนับสนุนพรรค จะต้องช่วยกันทำงานอย่างหนักตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อสื่อสารไปยังประชาชน สร้างความเชื่อมั่น สร้างความรับรู้ถึงแนวคิด วิสัยทัศน์ และแนวนโยบายของพรรค ก.ก. ให้ประชาชนเห็นด้วยและให้ความไว้วางใจเรามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่ว่าการเลือกตั้งนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตาม เพื่อให้ก้าวไกลเข้าไปเปลี่ยนประเทศไทยได้สำเร็จ”
 
ด้านนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรค กล่าวว่า การประชุมใหญ่ครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการประชุมที่จัดตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดไว้เท่านั้น แต่จะเป็นการประชุมปรับรูปแบบของพรรค ก.ก. เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น จึงขอเชิญชวนสมาชิกพรรคทุกคนทั่วประเทศมาร่วมการประชุมครั้งสำคัญ เพราะนี่คือการเริ่มต้นนับถอยหลังระบอบปรสิต นอกจากการนำเสนอนโยบายจากแกนนำของพรรคแล้ว จะมีการเปิดตัวเเกนนำของพรรคคนรุ่นใหม่ ที่เข้ามาร่วมงานกับพรรค ก.ก.ด้วย
 
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถไปร่วมการประชุมได้ หรือประชาชนที่ไม่ใช่สมาชิกแต่มีความสนใจ สามารถติดตามรับชมการประชุมได้ทางช่องทางออนไลน์ต่างๆ ของพรรค อาทิ เฟซบุ๊กของ พรรคก้าวไกล เฟซบุ๊ก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รวมไปถึงทางทวิตเตอร์ของ ส.ส. และบุคลากรในพรรคก้าวไกล
 

 
พณ. ปิดตาของไม่ขึ้นราคาจริงหรือ
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_329727/
 
ในภาวะที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าราคาสินค้าปรับสูงขึ้น แต่กระทรวงพาณิชย์กลายเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ย้ำไม่มีการปรับราคา เป็นไปได้อย่างไร
  
ปัจจัยราคาน้ำมันดีเซล ที่จะมีการทยอยปรับขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยอมรับว่า จะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า แต่พยายามจะกำกับดูแลราคาจากต้นทางตั้งแต่โรงงาน ไปจนถึงราคาขายปลีกให้เกิดความสมดุลให้มากที่สุด เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
 
ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า ได้ให้นโยบายกับกรมการค้าภายใน ไปหารือกับผู้ผลิตสินค้า เพื่อดูแลราคา ตั้งแต่ต้นทุน ที่บวกกำไรแล้วทอนมาเป็นราคาขายปลีกนั้น
 
พยายามให้บวกผลกำไรน้อยที่สุดเท่าที่ผู้ประกอบการจะยอมรับได้ และไม่หยุดการผลิตสินค้า เพื่อให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นน้อยที่สุดแต่น้ำมันมีส่วนสำคัญ ที่จะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ และราคาสินค้าปรับขึ้น กระทรวงพาณิชย์ จะบริหารจัดการให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ภายใต้สถานการณ์ต้นทุนสูงขึ้น
 
โดยยืนยันว่า ขณะนี้ ราคาสินค้าจำเป็น 18 หมวด ได้สั่งการให้กำกับดูแลใกล้ชิด และยังไม่มีการอนุญาตให้ปรับขึ้นราคา ยกเว้นหากจำเป็นต้องปรับขึ้นราคา เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้เกิดการหยุดผลิต แต่จะต้องดูเป็นกรณีไป เพราะต้นทุนแต่ละสินค้าแตกต่างกันแน่นอนว่าไม่มีการปรับขึ้นยกแผง
 
ซึ่งสวนทางกับความรู้สึกประชาชนเหลือเกิน ที่เวลานี้มองไปทางไหนราคาสินค้าก็แพงขึ้น คงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยฝากถึงรัฐบาล เราอยู่ประเทศเดียวกันหรือไม่ และล่าสุด นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน บอกว่า หลังจากสิ้นสุดมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ที่ลิตรละ 30 บาทในวันที่ 31 เมษายนนี้
 
หลังจากนั้นรัฐบาลจะยังคงมีมาตรการให้ความช่วยเหลือลดผลกระทบจากราคาพลังงานต่อไป แต่จะมีสูตรในการคำนวณใหม่ โดยได้สั่งการให้ทางปลัดกระทรวงพลังงานไปพิจารณาแล้ว ยืนยันว่ารัฐบาลมีมาตรการดูแลอย่างแน่นอน อาจจะมากกว่ามาตรการเดิมซึ่งรัฐบาลอุ้มส่วนต่างของราคาน้ำมันอยู่ที่ 50ต่อ50 ใช้วงเงินอุดหนุนอยู่ที่วันละ 6,000 ล้านบาท คาดหวังได้หรือไม่ ว่าต้นทุนการผลิตสินค้าจะไม่สูงขึ้น ราคาสินค้าจะไม่แพงขึ้น หรือไม่ว่าอย่างไรประชาชนก็ยังต้องแบกรับความจริงที่มักสวนทางกับสิ่งที่รัฐบาลยืนยัน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

 
เอกชนลั่นใครว่าเศรษฐกิจดี เผยโกดังต้องยึดสินค้าไปขายใช้หนี้
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/288630

ผู้ประกอบการโลจิสติกส์สวนหมัดกระทรวงการคลัง ใครว่าเศรษฐกิจดี เผยผู้ประกอบการเริ่มลดสต็อก สินค้า บางรายถึงขั้นไม่มีเงินจ่ายค่าขนส่ง ต้องยึดสินค้าไปขายทอดตลาดใช้หนี้กันแล้ว

นายธนิต โสรัตน์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท V-SERVE GROUP บริษัทผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ออกมาเปิดเผยในเรื่องนี้ โดยระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวดีเหมือนอย่างที่กระทรวงการคลังระบุ โดยได้ยกตัวอย่างธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งตนเองมีคลังสินค้า ขนาด 70,000 ตารางเมตร อยู่หลายแห่ง

พบว่า ผู้ประกอบการเริ่มไม่เก็บสต๊อกสินค้ากันแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ขายสินค้าไม่ได้ คนไม่มีกำลังซื้อ และกลายเป็นต้องติดค้างค่าบริการคลังสินค้า ผู้ประกอบการไม่มีเงินจ่าย คลังสินค้าก็จำเป็นต้องยึดสินค้า แล้วเอาไปขายแทนการชำระหนี้ค่าบริการ ซึ่งก็เป็นบริษัทใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น โรงแรมบางแห่ง ให้ทางคลังสินค้ายึดที่นอนสปริงในโรงแรมไปขาย เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ค่าบริการคลังสินค้า เป็นต้น

โดยนายธนิต มองว่า มาตรการช่วยบรรเทาค่าครองชีพ เช่น โครงการคนละครึ่ง ยังมีความจำเป็นเพื่อช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย แต่ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน โฟกัสไปที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ และอาจให้ในลักษณะคูปอง ซึ่งจะใช้งบประมาณไม่มาก แต่ช่วยได้ตรงจุด และควรออกเป็นแพกเกจยาวถึงสิ้นปี เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อต่อเนื่อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่