ในสมัยพุทธกาล พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสเช่นนี้แก่พุทธสาวก เห็น เที่ยงหรือไม่เที่ยง ได้ยินเที่ยงหรือไม่เที่ยง ได้กลิ่นเที่ยงหรือไม่เที่ยง ได้ลิ้มรสเที่ยงหรือไม่เที่ยง ได้กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งทางกาย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย !
เราจักแสดง ปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพาน แก่พวกเธอ
พวกเธอจงฟัง จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
ภิกษุทั้งหลาย !
ปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ ว่า ไม่เที่ยง ;
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ว่า ไม่เที่ยง ;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ว่า ไม่เที่ยง ;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส ว่า ไม่เที่ยง ;
ย่อมเห็นซึ่ง เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข)
ที่เกิดขึ้นเพราะ จักขุสัมผัส เป็นปัจจัย ว่า ไม่เที่ยง.
( ในกรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ
ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น
รวมการเห็นว่าไม่เที่ยงทั้งหมด 30 แง่มุม คือ 5 กรณี ต่อ 1 อายตนะ )
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพาน นั้น.
(- สฬา.สํ. 18/167/232)
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใด ไม่ใช่ของเธอ, สิ่งนั้น จงละมันเสีย ; สิ่งนั้น อันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอ. ภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่า ที่ไม่ใช่ของเธอ? ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ไม่ใช่ของเธอ เธอจงละมันเสีย; จักษุนั้น อันเธอ ละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่เธอ (ในกรณีแห่งโสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมโนก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน)
ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน อะไรๆ ในแคว้นนี้ ที่เป็นหญ้าเป็นไม้ เป็นกิ่งไม้ เป็นใบไม้ ที่คนเขาขนไปทิ้ง หรือเผาเสีย หรือทำตามปัจจัย; พวกเธอรู้สึกอย่างนี้บ้างหรือไม่ว่า คนเขาขนเราไป หรือเผาเรา หรือทำแก่เราตามปัจจัยของเขา? "ไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยพระเจ้าข้า เพราะเหตุไรเล่า? "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุว่า ความรู้สึกว่าตัวตน (อัตตา) ของตน (อตฺตนิยา) ของข้าพระองค์ไม่มีในสิ่งเหล่านั้น พระเจ้าข้า"
ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ มโน ไม่ใช่ของเธอ เธอจงละมันเสีย สิ่งเหล่านั้น อันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอแลฯ
ชีวิต มีเพียงขณะนี้ : Life is just this moment : สนทนาธรรม ณ ซัน มูน เลค ไต้หวัน
ภิกษุทั้งหลาย !
เราจักแสดง ปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพาน แก่พวกเธอ
พวกเธอจงฟัง จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
ภิกษุทั้งหลาย !
ปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ ว่า ไม่เที่ยง ;
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ว่า ไม่เที่ยง ;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ว่า ไม่เที่ยง ;
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส ว่า ไม่เที่ยง ;
ย่อมเห็นซึ่ง เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข)
ที่เกิดขึ้นเพราะ จักขุสัมผัส เป็นปัจจัย ว่า ไม่เที่ยง.
( ในกรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ
ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น
รวมการเห็นว่าไม่เที่ยงทั้งหมด 30 แง่มุม คือ 5 กรณี ต่อ 1 อายตนะ )
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพาน นั้น.
(- สฬา.สํ. 18/167/232)
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใด ไม่ใช่ของเธอ, สิ่งนั้น จงละมันเสีย ; สิ่งนั้น อันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอ. ภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่า ที่ไม่ใช่ของเธอ? ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ไม่ใช่ของเธอ เธอจงละมันเสีย; จักษุนั้น อันเธอ ละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่เธอ (ในกรณีแห่งโสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมโนก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน)
ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน อะไรๆ ในแคว้นนี้ ที่เป็นหญ้าเป็นไม้ เป็นกิ่งไม้ เป็นใบไม้ ที่คนเขาขนไปทิ้ง หรือเผาเสีย หรือทำตามปัจจัย; พวกเธอรู้สึกอย่างนี้บ้างหรือไม่ว่า คนเขาขนเราไป หรือเผาเรา หรือทำแก่เราตามปัจจัยของเขา? "ไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยพระเจ้าข้า เพราะเหตุไรเล่า? "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุว่า ความรู้สึกว่าตัวตน (อัตตา) ของตน (อตฺตนิยา) ของข้าพระองค์ไม่มีในสิ่งเหล่านั้น พระเจ้าข้า"
ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ มโน ไม่ใช่ของเธอ เธอจงละมันเสีย สิ่งเหล่านั้น อันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอแลฯ