เงิน สินสอดและการแต่งงาน


เรากับแฟนอายุ 31 ปีค่ะ เป็นคนต่างจังหวัด พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัด แต่เรากับแฟนเรียนที่กรุงเทพ แฟนทำงานออฟฟิศที่กรุงเทพ เราทำงานที่ต่างประเทศ แต่ก็กลับไทยบ่อยค่ะ คบกันมา15ปี มีงานประจำทำ มีเงินเก็บสองคนรวมกัน2ล้าน ตอนแรกปีนี้คิดว่าจะมีมากกว่านี้ เราเจอพิษโควิดได้รับผลกระทบหนักมาก เลยเก็บเงินได้น้อยลง แต่ก็ Manage ได้ค่ะ  เราผ่อนบ้านที่กรุงเทพด้วยกัน (ตามแผนจะผ่อนหมดในอีก 7ปีข้างหน้า)
เราสองคนใช้ชีวิตแบบไม่เดือดร้อนใครมาตั้งแต่เรียนจบแล้วค่ะ 
ตอนนี้เราคิดว่าพร้อมแล้วที่จะสร้างครอบครัว และแต่งงานกันปลายปีนี้ โดยอยากจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศหลังจากนั้นค่ะ
เรากับแฟนตกลงกันว่า แฟนจะออกค่าสินสอด ส่วนค่าจัดงานช่วยกันและไม่รบกวนพ่อแม่ค่ะ 

แฟนเราไปคุยกับป๊า ป๊าแฟนก็แนะนำให้แฟนเราไปคุยกับแม่เราก่อนค่ะโดยเฉพาะเรื่องสินสอด

แฟนก็เลยไปคุยกับแม่เรา และถามว่าแม่จะเรียกค่าสินสอดเท่าไหร่
แม่เราตอบว่า "ตามความเหมาะสม" แฟนก็เลยเสนอไปว่าตัวเองมีเท่าไหร่
โดยสินสอด = เงินที่มีทั้งหมด - แหวนหมั้น - แหวนแต่ง - ค่าจัดงาน(เราช่วยกันออก) 
โดยเมื่อหักลบแล้ว เงินสินสอดก็เกือบล้านนึงค่ะ 
และถามว่าแม่จะโอเคไหมกับยอดเงินนี้ แม่เราตอบโอเคค่ะ ยินดีให้แต่ง เพราะคบกันมานานมากแล้ว ก็รักและเอ็นดูแฟนเราเหมือนลูกมาตลอด 

แฟนก็เลยนัดให้ป๊าม้า มาเจอพ่อแม่เรา 
ซึ่งตอนนั้นเรากับแฟนก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่อง process ประเพณี ว่ามันต้องทำยังไงบ้าง 
วันที่สองครอบครัวเจอกันเ เราก็คิดว่า เป็นการพบกันครั้งแรก ให้สองครอบครัวได้ทำความรู้จักกันค่ะ ถามแฟนว่ามาทำความรู้จักกันเฉยๆใช่ไหม แฟนก็ตอบว่าใช่  ก็เลยบอกพ่อแม่ตัวเองไปแบบนั้น

วันที่เจอกัน
ป๊าแฟนก็ถามพ่อกับแม่เราเรื่องแต่งงานของเราสองคน ว่าพ่อแม่เราจะเรียกสินสอดเท่าไหร่
พ่อเราก็ตอบว่า "ตามความเหมาะสม" รวมถึง ฤกษ์แต่ง ก็ยกให้ทางฝ่ายชายจัดการได้เลย ไม่มีปัญหาอะไร

 หลังจากนั้น

ระหว่างรอฤกษ์ เรากับแฟนก็เตรียมงานช่วยกัน ดูสถานที่คร่าวๆ ตกลงจะจัดที่กรุงเทพ เพื่อความสะดวก รวมถึงอื่นๆ
และบริหารงบงานแต่งครั้งนี้ไม่ให้เกิน5แสน ไม่ต้องการจ่ายมากกว่านี้ค่ะ ซึ่งตั้งใจเน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณด้วยค่ะ 
แต่ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นว่า จัดงานแต่งทำไมแพงขนาดนี้ แต่ละอย่าง
คิดเสียดายเงินขึ้นมาเลยค่ะ เงิน5แสน กับวันวันเดียว

ปัญหาที่ 1: แขก
เป้าหมายบ่าวสาว: แขกไม่เกิน 100คน เวลาไปงานแต่งงานเล็กๆแล้วรู้สึกชอบมาก อบอุ่น เลยอยากจะจัดเล็ก อยู่ในงบและอยากดูแลแขกคนสนิทอย่างทั่วถึงด้วย และเชื่อว่าคนที่เราไม่ได้เชิญเค้าน่าจะเข้าใจ (ไม่เข้าใจก้ไม่เป็นไรค่ะ)
ปัญหา: พอคุยกับพ่อแม่เรา แขกฝั่งเราเยอะ โดยเฉพาะญาติพี่น้อง เยอะมาก ยังไงก็เกิน 100คน และพ่อแม่เราก็ไม่พอใจเมื่อเราขอให้เลือกญาติบางคนเท่านั้นเช่น ญาติผู้ใหญ่ก็พอ  ไหนจะเพื่อนพ่อ เพื่อนแม่อีก 
ในขณะที่แขกฝ่ายชาย ป๊าม้าชิลมาก ให้เชิญก็จะเชิญ แต่ให้จำกัดก็โอเค และเข้าใจว่าเศรษฐกิจไม่ดี จะจัดใหญ่แขกเยอะ ก็เสียเงินเยอะเปล่าๆ 
เราก็ทะเลาะกับพ่อแม่เราไป 1ยกและพยายามอธิบายแล้วว่าเราไม่ต้องการใช้เงินกับงานเลี้ยงเกินงบ (เรื่องซองเราไม่อยากคิดค่ะ ได้ก็ดีไม่ให้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่คำอวยพรก็พอ) อธิบายจนไม่ไหวละบอกพ่อแม่ไปว่า จ่ายเองไหมแล้วจะรู้ว่ามันเป็นเงินที่เยอะนะ (พ่อแม่เราก็เงียบ ไม่จ่าย) ตอนนี้ก็พยายามคุยให้พ่อแม่เข้าใจ ซึ่งก็เครียดพอสมควรเลยค่ะ 

ปัญหาที่2: สินสอด
ในวันที่ครอบครัวเราเจอกันครั้งแรกก่อนหน้านี้ ฝ่ายป๊าแฟนคิดว่ามาทาบทาม มาตกลงกันแล้ว เหลือแค่พิธีในวันงาน
แต่หลังจากนั้น พ่อแม่เราถามว่า สรุปเค้าจะมาขอเท่าไหร่ สรุปสินสอดเท่าไหร่ เราเริ่มงงละ เราก็บอกไปว่า ก็แม่ไม่เรียกไปอ่ะ วันที่เค้าถาม แถมบอกว่าตามความเหมาะสม ป๊าม้าแฟน แฟน และเราก็เข้าใจว่าทางบ้านเราไม่เรียกสินสอด พ่อแม่เราก็บอกว่า เอ้า ฝ่ายชายต้องเสนอมาสิ ซึ่งเราไปถามเพื่อนที่แต่งแล้ว ก็ตอบเหมือนกันทุกคนว่า ตามประเพณี ฝ่ายหญิงต้องเรียกให้ชัดเจน เราก็เลยไปบอกพ่อแม่เราว่า ต้องเรียกนะไม่งั้นมันไม่ชัดเจน หรือถ้าไม่เรียกก็ต้องพูดว่าไม่เรียกไปเลย ไม่ใช่บอก ตามความเหมาะสม มันประเมินยาก (เรายังเชื่อว่าพ่อแม่เราไม่เรียก) 
แต่ เราเข้าใจผิดค่ะ แม่บอกว่าไม่เรียก เดี๋ยวโดนหาว่าขายลูกกิน แต่จริงๆ แม่คาดหวังว่าจะได้เงินค่ะ 

เราบอกแฟนว่าพ่อแม่เข้าใจว่าทางบ้านแฟนจะมาสู่ขออีกที ก่อนวันงาน 
แฟนปรึกษาป๊าแฟนบอกว่า วันที่เจอถือว่า ทาบทามตกลง ส่วนพิธีสู่ขอจะไปทำวันงานเลย 
แต่พอเราบอกแฟนว่าพ่อแม่เราคาดหวังให้ทางแฟนเราไปสู่ขอ โดยบอกว่าจะไปสู่ขอตรงๆ อีกทีก่อนวันงานพิธี
แฟนก็ไม่ติด ให้ไปอีกทีก็ได้ แต่ก็ถามมาว่า แม่เรียกสินสอดเท่าไหร่ (ถามรอบที่3) จะได้เตรียมตัวฝั่งตัวเองถูก
แต่พ่อแม่เราก็ไม่ยอมพูดตัวเลขค่ะ เราเลยรบกวนอาให้ถามพ่อแม่เราให้ได้ ว่าเค้าอยากเรียกเท่าไหร่ 
สรุป อยากได้มากกว่าเงินที่แฟนมีทั้งหมด และจะเรียกมากว่านั้นอีก รวมแล้วล้านกว่าบาท และจะไม่คืนสินสอดด้วย

ซึ่งก็แปลว่าแฟนต้องไปหาเงินเพิ่มอีกให้ทันงานแต่งปลายปีนี้ กดดันและเครียดพอสมควรค่ะ
ถามว่าเราควรช่วยแฟนไหม ช่วยอยู่แล้วค่ะ แค่คิดว่า มันเยอะไปไหม
เอาเงินที่เราช่วยกันหามาไปสร้างครอบครัวดีกว่าไหม ไม่ต้องแต่งงานให้เปลือง 
เราเลยทะเลาะกับที่บ้านตัวเองยกที่ 2 ว่าจะเอาเงินไปทำไมตั้งเยอะแยะ 
พ่อแม่เราก็ไม่ตอบค่ะ พูดแต่ว่า ก็จะเอา เป็นค่าน้ำนม พ่อบอกว่าประกันไว้ถ้าเกิดเราเลิกกันอย่างน้อยก็เหลือเงิน 
แล้วเราซื้อบ้านด้วยกันแล้ว เหมือนอยู่ก่อนแต่ง จริงๆก็ทำให้การต่อรองยากขึ้น ---- เรางงเลยค่ะ นี่เค้ากำลังตีมูลค่าเราอยู่รึเปล่า ทำไมมันรู้สึกเสียใจที่พ่อแม่คิดแบบนี้กับเรา ค่าน้ำนมแปลว่าจ่ายแล้วหมดไปหรอคะ แล้วเงินประกันอะไร จำเป็นหรอ แปลว่าถ้าเรากับแฟนเลิกกันขึ้นมา เราจะไม่มีใครเอาอีกแล้วหรอ เราเองไม่คิดอย่างนั้นนะคะ เราคิดว่าคุณค่าของเรามันอยู่ที่เรากำหนด เรามีค่าเสมอค่ะ  ส่วนเรื่องอยู่ก่อนแต่ง ก็เพื่อความมั่นใจของเราเอง บ้านเราก็ซื้อเอง มีความสุขดีด้วยทองไปทีไรก็ภูมิใจ ไม่เข้าใจพ่อแม่ตัวเองเลย 

ตอนนี้เราเซ็งเรื่องสินสอดที่สุดเลยค่ะ 
ส่วนตัวเรามองว่า การแต่งงานของเราครั้งนี้ สินสอดคือค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่มาก
แต่มีความหมายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแต่งงานตามประเพณีไทย
เลยคิดว่า ต่อให้แฟนเราเสนอเงินแม่เราไป แต่พ่อแม่ที่รู้ว่านั่นคือทั้งหมดที่แฟนเรามี แล้วทำไมต้องอยากได้ทั้งหมด
และอยากได้มากกว่านั้นอีก เรียกร้องกลายๆว่า ป๊าม้าแฟนเราจะไม่ช่วยเลยหรอ (ทั้งที่เรายืนยันไปแต่แรกแล้วว่า งานแต่งเราจะไม่ทำให้พ่อแม่เดือดร้อน) 

ตอนนี้เรามานั่งทบทวนค่ะ เงินที่ต้องใช้แต่งงานรวมๆแล้วล้านกว่านี่จำเป็นไหม
แทนที่เรากับแฟนจะมีเงินสร้างครอบครัว แต่จริงๆแล้วเงินเก็บที่เก็บกันมาตั้งนานกำลังจะหมดไปในวันเดียวรึเปล่า แล้วชีวิตหลังแต่งงานอาจจะลำบากก็ได้ เวลาไม่มีเงิน ซึ่งสำหรับเรามันเครียดค่ะ 
ถามแฟนเค้าบอกว่า ใจเค้าคิดว่าเงินที่จะให้เป็นค่าสินสอด ตั้งใจจะให้จริงๆ ไม่ได้หวังจะได้คืนแต่แรกแล้ว ไม่ติดใจด้วยถ้าเค้าจะไม่คืน
แต่เรานี่สิ ติดใจ เพราะถ้าให้พ่อแม่เราไปหมด ครอบครัวที่เรากำลังสร้างจะลำบากรึเปล่า ไหนที่ต้องการย้ายประเทศอีก อาจจะต้องเลื่อนออกไป 
เราก็เลยคุยกับแม่ ว่าทำไมต้องเอาเงินไป จะเอาไปทำไมตั้งเยอะ เค้าก็ไม่ตอบ แต่มีพูดว่าเวลาใครถามจะได้ตอบได้ อันนี้เราโกรธค่ะเพราะตอนนี้ เหมือนพ่อแม่เรากำลังจะขายลูกกินจริงๆแล้ว แล้วความปรารถนาดีต่อลูกคืออะไร ถ้าลูกบอกไปหมดแล้วว่ามีเท่าไหร่ เอาหมดก็เท่ากับว่ากะให้แฟนเราหมดตัวเลย แล้วไม่กลัวเราลำบากบ้างหรอ แม่เราก็บอกว่า ถ้าไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งแต่ง

พร้อมที่แม่หมายถึง คือพร้อมเอาเงินให้เค้าเป็นล้านใช่ไหมคะแบบนี้ หรือเราไม่พร้อมจะสร้างครอบครัวจริงๆ หรอ ทำไมเราไม่รู้สึกแบบนั้นเลย

ตอนนี้คือทะเลาะกับพ่อแม่ตัวเองหนักมาก แม้แต่พี่ชายเราก็บอกว่า สินสอดมันเป็นสิทธิ์ของพ่อแม่ฝ่ายหญิง เราก็ถามพี่ชายว่า ตอนพี่ชายแต่งไม่เห็นจ่ายเป็นล้านเลยทำไมแต่งได้ พี่ชายก็บอกว่าก็มีแค่นั้นอ่ะ

ตอนนี้การแต่งงานของเรา มีแต่แฟนเราคนที่บอกว่าอยากเห็นเรามีความสุข ถ้าเราจะแต่งก็ยินดีจะทำตามเงื่อนไขพ่อแม่เรา  
แต่พ่อแม่เราไม่เห็นแคร์เราเลย คิดแต่จะเอาเงิน พอเราบอกว่าเงินครอบครัวเราจะหมดเลยนะ เค้าก็ไม่แคร์
นึกว่าเค้าคือคนที่เข้าใจลูกและปรารถนาดีกับลูกมากที่สุดซะอีก
จริงๆเราพูดกับพ่อแม่ไปแล้วว่าเราจะไม่แต่ง เพราะต่อให้มีเงิน แต่พ่อแม่มีทัศนคติกับการแต่งงานของลูกสาวแบบนี้ เราว่าไม่แต่งจะดีกับตัวเราเอง และครอบครัวที่เราจะสร้างมากกว่า 
พ่อแม่เรา พอรู้ว่าเราจะไม่แต่งเพราะเกิดเสียดายเงินขึ้นมา ก็ดราม่าใหญ่ว่าเราจะโทษว่าเค้าเป็นต้นเหตุ ถ้างั้นสินสอดเอาแค่ทั้งหมดที่แฟนมีก็ได้ ไม่เอามากกว่านั้น ซึ่งตอนนี้บอกตรงๆเราไม่อยากให้เลยค่ะ 

หรือเราควรจะยอมรับเงื่อนไขของพ่อแม่เราจริงๆหรอคะ 
ถ้าเรามีลูก ลูกจะแต่งงาน เราจะช่วยลูกดูว่าคู่ครองของลูกจะต้องรักและดูแลลูกเราได้ แต่ไม่มีแว้บไหนเลยที่คิดเรื่องสินสอด หรืออยากได้เงินจากการแต่งงานของลูก เรานี่ ไม่เข้าใจพ่อแม่เราเลย 

ใครเคยเจอปัญหาแบบนี้บ้างคะ ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่