ไปต่อหรือพอแค่นี้ (DEK64)

สวัสดีค่ะ วันนี้หนูมีเรื่องที่เหมือนจะปรึกษาแต่ก็ไม่ใช่ จะเล่าให้ฟังก็ไม่เชิง อยากให้ทุกคนลองอ่านดูหน่อยนะคะ แล้วก็ขอโทษไว้ล่วงหน้าถ้าเขียนอะไรที่งงๆไปหน่อยนะคะ ไม่เคยเขียนเลย🤣

หนูเป็นเด็ก 64 ค่ะ ตอนนี้เรียนจบปี 1 แล้วกำลังจะขึ้นปี 2 ที่ ม.เอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนอื่นขอเล่าจุดเริ่มต้นการเข้ามาเรียนที่ ม.เอกชน ก่อนนิดหนึ่งนะคะ ย้อนไปตอนอยู่ ม.5 กำลังจะขึ้น ม.6 ช่วงที่ปิดเทอมนานๆตอนโควิดเริ่มระบาด ตอนนั้นหนูคิดว่าตัวเองอยากเรียนวิศวะมากๆค่ะ เลยหาซื้อหนังสือ PAT3 มาลองอ่านดูก่อน (เตรียมตัวช้ามากๆ ตรงนี้ยอมรับค่ะ อย่าซ้ำเติมหนูเลย🥺) พอหนังสือมาถือก็เปิดอ่านสารบัญทันที แล้วหัวข้อเรื่องของฟิสิกส์มันเป็นเนื้อหาของ ม.4-5-6 ตอนนั้นรู้สึกท้อตั้งแต่เห็นเนื้อหาเลยค่ะ😅 เลยคิดว่าจะพยายามเข้ารอบพอร์ตให้ได้ แต่ก็อีกแล้วค่ะ ท้อตั้งแต่คิดว่าจะเข้ารอบพอร์ต เพราะหนูเป็นเด็กที่ค่อยข้างเรียนดีก็จริง แต่ไม่ได้เป็นตัวแทนแข่งอะไรของโรงเรียนเลย ทำให้ไม่มีผลงานระดับภูมิภาคและระดับประเทศเลยค่ะ ตอนนั้นก็ตัดพ้อกับตัวเองว่าคงเป็นไปไม่ได้ เลยไม่เตรียมตัวและไม่ดูว่าตัวเองมีกิจกรรมอะไรที่พอจะใส่พอร์ตได้ แต่ยังยืนยันว่าจะเรียนต่อแน่ๆ (ขอร้อง อย่าซ้ำเติมหนูนะ หนูรู้สึกผิดแล้วค่ะ)

แล้วก็เปิดเทอมในเดือนกรกฎาคม ขึ้นชั้น ม.6 เต็มตัว แล้วพอช่วงเดือนพฤศจิกายน จะเริ่มมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆมาแนะแนวที่โรงเรียน แต่หนูก็ยังไม่ได้คิดสนใจเลยสักนิดเดียวค่ะ จนมี ม.เอกชนแห่งนี้ มาแนะแนวตอนแรกหนูก็ยังไม่สนใจค่ะ แต่ก่อนออกจากห้องเข้ามีรายชื่อคณะ/สาขาให้ดู แล้วมีสาขาที่หนูอยากจะเข้าพอดี ตอนนั้นหนูเริ่มสนใจที่นี่เพราะแค่อยากมีที่เรียน เลิกเรียนกลับมาบ้านตอนเย็นหนูก็แอดไลน์ไปสอบถามทันที ค่าเทอมที่นี้ 35,000/เทอม โดยประมาณ หนูก็ถามแม่เลยว่า 35,000 แม่ไหวไหม ไม่ไหวกู้ได้นะให้กู้ไหม แม่ไม่ได้ให้คำแนะนำอะไร บอกแค่ว่าตามสบาย ตามใจ ไม่รู้ด้วย (ที่บ้านยังไม่มีใครเรียนต่อมหาลัย แม่เลยไม่ค่อยมีความรู้ และที่บ้านค่อนข้างยากจนอยู่ค่ะ เป็นชาวนาธรรมดา แต่ตอนนั้นยอมรับว่าไม่ได้คิดถึงตรงนี้เลย🙇🏼‍♀️) แล้วอาจารย์ก็บอกว่ามีทุนสำหรับวิศวะนะ หนูเลยตัดสินใจสมัครทันทีค่ะ ด้วยความที่คิดว่าอาจจะมีเพื่อนๆห้องอื่นสมัครด้วยก็ได้ แล้วก็ ม.รัฐที่หนูดูๆไว้ ค่าเทอมประมาณ 25,000 ค่าเรียนอังกฤษเพิ่ม 25,000 เลยเลือกที่นี่

หลังจากที่หนูตกลงสมัคร และจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนล่วงหน้าไปจำนวนหนึ่ง หนูก็ถามเพื่อนว่าคิดว่าจะดีไหม แต่ใจตอนนั้นถึงเพื่อนบอกว่าไม่ดี หนูก็ว่าดีค่ะเพราะใจมันไปแล้ว555 ถามรุ่นพี่คนหนึ่งใน ม.แรกที่หนูอยากเข้า พี่เขาก็บอกไม่ต้องรีบหรอก ลองพยายามดูไหม เอกชนเข้าตอนไหนก็ได้ แต่หารู้ไม่ว่าหนูสมัครไปแล้ว แล้วมีช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนอาจารย์ที่มาแนะแนวพาไปดูมหาลัย ทำให้ใจหนูเริ่มอยากออก เพราะบรรยากาศไม่ถูกใจเท่าไรเลย แต่ก็ยังมั่นใจว่ามันจะดี จนถึงวันสัมภาษณ์ทุน ปรากฎว่าติดทุนเรียนฟรี 100% ก็คิดว่านี่คงเป็นเรื่องดีๆแล้ว แต่ตอนเปิดเทอมพบว่ามีเพื่อนในสาขาไม่ถึง 10 คน ท้อสิคะรอไรอ่ะ555 ท้อมาอยากลาออก แต่ตอนนั้นเสียทั้งค่าหอ ค่ารถ ค่าลงทะเบียน รวมๆก็น่าจะ 40,000 เลยเสียดายตรงนั้น แต่พอยิ่งเรียน แล้วเจอมหาลัยอื่นๆที่สาขาเขามีเยอะๆ เพื่อนๆที่โรงเรียนเขาลงสตอรี่กับเพื่อนสาขาไม่น้อยกว่า 50 คน หนูก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นทุกวัน แต่การเรียนไม่มีปัญหานะคะ

จนตอนจบปี 1 หนูก็โทรหาแม่บอกว่าไม่ไหวแล้วนะแม่ อยากลากออก อยากไปที่อื่น แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีกค่ะ แต่บอกว่าถ้าพออยู่ได้ก็อยู่นะ เรียนเอาสังคมเฉยๆก็ได้ เรื่องเกรดเรื่องอะไรแม่ไม่ซีเรียสตรงนั้นอยู่แล้ว จบมาอยากทำงานอะไรก็ทำ ไม่ตรงสายก็ช่างมัน พอได้ยินแบบนี้หนูก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น แต่ก็เป็นอีกครั้งตอนรับปริญญา เห็นมหาลัยอื่นๆเขาดูมีความสุข สนุกเฮฮามาก แต่รุ่นพี่บัณฑิตหนูมีแค่ 5 คน🥺 โทรหาแม่อีกครั้ง แล้วก็ถามอาจารย์เรื่องทุน ปรากฏว่าต้องจ่ายทุนคืนภายใน 7 วันที่ลาออก เศร้าเลยค่ะ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว 

เรื่องที่อยากจะลาออก เพราะสังคมด้วยนะคะ อาจจะแย่แค่บางคนเท่านั้น แต่ว่าชีวิตไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เลยไม่อยากจะเจอเท่าไร แต่ถามว่าสู้ไหวมั้ย สู้ได้ค่ะ ไหวอยู่แล้ว แต่มันแค่เหนื่อยเกินไป อารมณ์อยากจะหนีไปให้พ้นๆ นี่แหละค่ะ เรื่องที่หนูอยากจะปรึกษาพี่ๆหรือเพื่อน ถ้าเจอสังคมที่เราไม่โอเค ทุกอย่างดูแย่ไปหมด เพื่อนก็น้อย แทบไม่มีกำลังใจในการเรียนแบบนี้ จะทำยังไงคะ ลาออกไม่เรียนต่อ ขอผ่อนค่าเทอมคืน/ เรียนต่อให้จบ /ลาออกแล้วเตรียมตัวเข้ามหาลัยดีๆ 

สุดท้าย หนูไม่รู้หรอกว่าถ้าออกจากที่นี่ไป จะเจอแย่กว่าเดิมหรือดีกว่าเดิม แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะออก หนูมีทางเลือกเดียวคือเรียนให้จบ วันนี้หนูแค่อยากฟังความเห็นจากหลายๆคนว่าคิดยังไง มีคำแนะนำอะไรมั้ย หรือจะให้กำลังใจก็ได้ค่ะ ขอแค่อย่าซ้ำเติมกันก็พอค่ะ ตอนนี้ในใจหนูก็รู้สึกแย่เกินพอแล้ว ไม่อยากต้องมานั่งคิดมากอีก แล้วก็ได้โปรดอย่ามองว่าปัญหาแค่นี้เลยนะคะ เพราะบางทีแค่นี้ของแต่ละคนไม่เท่ากันนะคะ จิตใจของแต่ละคนอ่อนแอหรือแข็งแกร่งต่างกัน อีกอย่างถ้าพี่ๆที่ผ่านมาแล้วอาจจะคิดว่า แค่นี้หนูยังท้อแท้ ใจไม่สู้ อนาคตจะไปทำอะไรกับใครได้ หนูขอให้มันเป็นเรื่องของอนาคตเถอะนะคะ โฟกัสที่ปัจจุบันก่อนดีกว่าค่ะ ขอบคุณทุกคนมากๆที่อ่านจนจบนะคะ

ปล. รายละเอียดเรื่องสังคมมันลึกซึ้งเกินเล่าให้จบ เอาเป็นว่าถ้าเกิดมีคนอยากรู้ หนูจะพยายามเรียบเรียงมาให้อ่านนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่