คันยุบยิบตามผิวหนัง เรื่องเล็กๆ ที่ควรใส่ใจ
อาการคันเป็นอาการที่พบได้บ่อย สามารถเกิดขึ้นได้ตามผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย อาจคันเพียงบริเวณเล็กๆ หรือคันทั่วร่างกาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ผิวแห้ง ผิวแตก เป็นขุย มีผื่นแดง ผื่นนูน หรือตุ่ม แผลพุพอง แม้ว่าการเกาจะช่วยบรรเทาอาการคันได้บ้าง แต่ถ้าเกาต่อเนื่องรุนแรงก็อาจส่งผลให้ผิวหนังระคายเคือง เป็นแผล และติดเชื้อได้ การหาสาเหตุจะช่วยแก้ปัญหาอาการ “คัน” ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด วันนี้พี่หมอจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับกับอาการคันเพิ่มเติมนะครับ 👇🏻
สาเหตุ
อาการคันตามผิวหนังอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้ครับ
·
โรคทางผิวหนัง เช่น ลมพิษ กลาก เกลื้อน เริม สะเก็ดเงิน หิด หัด อีสุกอีใส ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ภาวะผิวแห้ง โรคผื่นระคายสัมผัส เป็นต้น
·
โรคทางระบบประสาท เช่น โรคเบาหวาน โรคงูสวัด โรคเส้นประสาทอักเสบ เป็นต้น
·
โรคหรือภาวะเจ็บป่วยบางชนิด เช่น โรคตับอักเสบเรื้อรัง ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ไตวายเรื้อรัง โลหิตจาง มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือการมีพยาธิบางชนิดในร่างกาย
·
โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ
·
ระคายเคืองจากแมลงสัตว์กัดต่อย
·
ระคายเคืองจากภูมิแพ้ เช่น แพ้สารเคมี แพ้สารประกอบในสบู่ ผงซักฟอก และเครื่องสำอาง
·
ผลจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยากันชัก ยาแก้ปวดบางชนิด
·
การตั้งครรภ์ อาการคันมักเกิดบริเวณหน้าท้องหรือต้นขา กรณีผู้ป่วยโรคผิวหนัง อาจส่งผลให้อาการคันแย่ลงในช่วงตั้งครรภ์
จะเห็นได้ว่าอาการคันมีหลายสาเหตุเลยนะครับ แต่มีอาการคันบางอย่างที่อาจเป็นอันตรายได้ เช่นอาการต่อไปนี้ครับ
อาการคันที่ควรพบแพทย์ 👨⚕️
· คันทั่วทั้งร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ
· อาการคันไม่ดีขึ้นนานกว่า 2 สัปดาห์
· คันมากจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
· พบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด
· มีประวัติสัมผัสสารที่อาจทำให้แพ้ เช่น กินอาหารทะเล ยาบางชนิด แมลงสัตว์กัดต่อย และมีอาการคันร่วมกับหายใจไม่สะดวก วูบ หน้ามืด ใจสั่น แน่นหน้าอก
ถ้าเพื่อน ๆ มีอาการดังที่กล่าวมา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องนะครับ
การวินิจฉัยและการรักษา 🩺
การวินิจฉัยภาวะคัน แพทย์จะเริ่มจากการตรวจร่างกายและซักประวัติเพื่อหาสาเหตุและสาเหตุร่วมด้านอื่นๆ ก่อน เช่น การมีผื่นแดงนูนร่วมด้วย จากนั้นอาจมีการส่งตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจภูมิแพ้ผิวหนัง หรือตรวจการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ถ้าอาการคันไม่รุนแรง เพื่อน ๆ สามารถดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาอาการคันได้ ดังนี้ครับ
· กดหรือตบเบาๆ บริเวณที่มีอาการคันแทนการเกา
· ประคบเย็น บริเวณที่มีอาการคัน
· รับประทานยาแก้แพ้
· ทายาบรรเทาอาการคัน
การป้องกัน 🛡️
อย่างที่พี่หมอเสนอไปแล้วว่าภาวะคันอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ บางสาเหตุสามารถป้องกันได้ และบางสาเหตุเกิดจากผลกระทบของโรคและความเจ็บป่วย ซึ่งต้องพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี
สำหรับอาการคันที่ไม่ได้เกิดจากโรคหรือความเจ็บป่วยร้ายแรง อาจป้องกันได้ดังนี้ครับ
✅ สังเกตและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดอาการคัน เช่น สารเคมี สบู่หรือผงซักฟอกบางชนิด
✅ ไม่อาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน ซึ่งส่งผลให้ผิวแห้ง
✅ ทาครีมบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวไม่แห้งจนเกินไป อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
✅ พยายามหลีกเลี่ยงการเกา เนื่องจากอาจทำให้ผิวหนังถลอกหรือเกิดการติดเชื้อ
✅ หากเพื่อน ๆ มีโรคประจำตัว ควรรับประทานยาและปฏิบัติตัวตามแพทย์แนะนำ
ภาวะคันจากโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังที่พบในผู้ใหญ่ 2-5% และเด็กมากถึง 10-20% ทั่วโลก เป็นภาวะเรื้อรัง โดยมีลักษณะเฉพาะเริ่มจากผิวแห้ง เป็นขุย ระคายเคือง และมักเป็นแผลเป็น แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอจะสามารถปกป้องผิวได้และลดความรุนแรงของอาการได้นะครับ
อาการ
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ส่งผลต่อผิวหนังบนใบหน้าและร่างกายของคนทุกวัย ทั้งทารก เด็ก และผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่มักเกิดในเด็กวัยก่อน 5 ปี และอาจคงอยู่ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
อาการคันจากภาวะผื่นภูมิแพ้ผิวหนังนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยทั่วไปคืออาการผิวแห้ง เป็นขุย และระคายเคือง บางรายอาจมีอาการเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ หรืออาจหายไปหลายปีแล้วกลับมาเป็นอีกก็ได้ครับ
นอกจากนี้ อาจพบอาการอื่น ๆ ได้อีก ดังนี้ครับ
· สีผิวเข้มขึ้นหรืออ่อนลงกว่าปกติ
· ผิวบาง เมื่อเกาจะบวมแดง
· ผิวเป็นสะเก็ด หรือตุ่มพองขนาดเล็ก อาจมีการติดเชื้อรอบแผล
· คันตามผิวหนัง โดยเฉพาะช่วงกลางคืน
· ทารกต่ำกว่า 1 ปี มักเป็นผื่นบริเวณแก้ม แขน ขา และในบริเวณที่ใส่ผ้าอ้อม
· เด็กวัยหัดเดินและก่อนวัยเรียน ส่วนใหญ่มีผื่นขึ้นบริเวณข้อต่อกระดูก เช่น ข้อมือ ข้อศอก หัวเข่า ข้อเท้า รวมถึงอวัยวะเพศ อาจมีลักษณะแข็ง หนา หยาบ และทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
· เด็กวัยเรียน มักปรากฏผื่นหนาบริเวณข้อศอกและหัวเข่า รวมถึงเปลือกตา ใบหู และศีรษะ มักพบรอยเกา ซึ่งผื่นผิวหนังในช่วงวัยเรียนอาจหายได้เองเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
· ผู้ใหญ่ พบผื่นผิวหนังหลายรูปแบบ อาจเกิดขึ้นเฉพาะส่วนหรือทุกส่วนพร้อมกัน ส่วนใหญ่เป็นผื่นแห้ง หนา และแข็ง
สาเหตุของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้ครับ สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิแพ้ เช่น โรคหืด และภูมิแพ้อากาศ โดยมีปัจจัยร่วม เช่น ภูมิต้านทานโรคต่ำ หรือภาวะร่างกายขาดโปรตีนที่ช่วยให้ผิวหนังกักเก็บน้ำ จนเกิดผิวหนังแห้ง แดง คัน ระคายเคือง และทำให้เกิดโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในที่สุด
ทั้งนี้ อาการคันและผื่นแดงอาจถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ได้ครับ
· สารเคมีในโลชั่นหรือสบู่
· สารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสร เชื้อรา และขนสัตว์
· อากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่อากาศแห้ง
· การอาบน้ำร้อน ทำให้ผิวแห้ง คัน และระคายเคือง
· อาหารบางชนิด เช่น ไข่ ถั่วลิสง นม เป็นต้น
· ความเครียด
การป้องกันโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง 🛡️
✅ ทาครีมบำรุงผิว ให้ความชุ่มชื้นผิว ช่วยให้ผิวไม่แห้งจนเกินไป
✅ เลือกใช้สบู่ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีน้ำหอม (No Perfumed) ไม่ใส่สาร Preservative หรือมีคำว่า No Preservative/For Sensitive Skin
✅ เมื่อกลับจากนอกบ้าน ควรอาบน้ำล้างเหงื่อหรือฝุ่นออก เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่
✅ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น
✅ ใส่เสื้อผ้าที่นุ่มสบาย ไม่รัดรูปจนเกินไป
✅ ตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ และปิดบริเวณที่เป็นผื่นด้วยผ้าพันแผล รวมถึงสวมถุงมือก่อนนอน เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการเผลอเกาขณะนอนหลับ
✅ หลีกเลี่ยงสารก่ออาการแพ้หรือปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจทำให้อาการแย่ลง
✅ ผ่อนคลายความเครียด เพราะความเครียดอาจส่งผลให้อาการแย่ลง
✅ ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นภายในบ้าน
✅ หากพบอาการไม่ทุเลาลง ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรับการรักษา
อาการคันสามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การนอน ซึ่งการเกาอาจช่วยบรรเทาอาการคันได้ระยะหนึ่ง แต่ถ้าเกาอย่างรุนแรงหรือเกาเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรง รวมถึงอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพได้ ดังนั้น หากเพื่อน ๆ รู้สึกคันโดยไม่ทราบสาเหตุ และลองแก้ไขเบื้องต้นแล้วแต่ไม่ได้ผล ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุ และรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรซื้อยารับประทานเองเด็ดขาดนะครับ
คันยุบยิบตามผิวหนัง เรื่องเล็กๆ ที่ควรใส่ใจ
อาการคันเป็นอาการที่พบได้บ่อย สามารถเกิดขึ้นได้ตามผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย อาจคันเพียงบริเวณเล็กๆ หรือคันทั่วร่างกาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ผิวแห้ง ผิวแตก เป็นขุย มีผื่นแดง ผื่นนูน หรือตุ่ม แผลพุพอง แม้ว่าการเกาจะช่วยบรรเทาอาการคันได้บ้าง แต่ถ้าเกาต่อเนื่องรุนแรงก็อาจส่งผลให้ผิวหนังระคายเคือง เป็นแผล และติดเชื้อได้ การหาสาเหตุจะช่วยแก้ปัญหาอาการ “คัน” ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด วันนี้พี่หมอจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับกับอาการคันเพิ่มเติมนะครับ 👇🏻
อาการคันตามผิวหนังอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้ครับ
· โรคทางผิวหนัง เช่น ลมพิษ กลาก เกลื้อน เริม สะเก็ดเงิน หิด หัด อีสุกอีใส ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ภาวะผิวแห้ง โรคผื่นระคายสัมผัส เป็นต้น
· โรคทางระบบประสาท เช่น โรคเบาหวาน โรคงูสวัด โรคเส้นประสาทอักเสบ เป็นต้น
· โรคหรือภาวะเจ็บป่วยบางชนิด เช่น โรคตับอักเสบเรื้อรัง ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ไตวายเรื้อรัง โลหิตจาง มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือการมีพยาธิบางชนิดในร่างกาย
· โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ
· ระคายเคืองจากแมลงสัตว์กัดต่อย
· ระคายเคืองจากภูมิแพ้ เช่น แพ้สารเคมี แพ้สารประกอบในสบู่ ผงซักฟอก และเครื่องสำอาง
· ผลจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยากันชัก ยาแก้ปวดบางชนิด
· การตั้งครรภ์ อาการคันมักเกิดบริเวณหน้าท้องหรือต้นขา กรณีผู้ป่วยโรคผิวหนัง อาจส่งผลให้อาการคันแย่ลงในช่วงตั้งครรภ์
จะเห็นได้ว่าอาการคันมีหลายสาเหตุเลยนะครับ แต่มีอาการคันบางอย่างที่อาจเป็นอันตรายได้ เช่นอาการต่อไปนี้ครับ
อาการคันที่ควรพบแพทย์ 👨⚕️
· คันทั่วทั้งร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ
· อาการคันไม่ดีขึ้นนานกว่า 2 สัปดาห์
· คันมากจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
· พบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด
· มีประวัติสัมผัสสารที่อาจทำให้แพ้ เช่น กินอาหารทะเล ยาบางชนิด แมลงสัตว์กัดต่อย และมีอาการคันร่วมกับหายใจไม่สะดวก วูบ หน้ามืด ใจสั่น แน่นหน้าอก
ถ้าเพื่อน ๆ มีอาการดังที่กล่าวมา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องนะครับ
การวินิจฉัยและการรักษา 🩺
การวินิจฉัยภาวะคัน แพทย์จะเริ่มจากการตรวจร่างกายและซักประวัติเพื่อหาสาเหตุและสาเหตุร่วมด้านอื่นๆ ก่อน เช่น การมีผื่นแดงนูนร่วมด้วย จากนั้นอาจมีการส่งตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจภูมิแพ้ผิวหนัง หรือตรวจการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ถ้าอาการคันไม่รุนแรง เพื่อน ๆ สามารถดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาอาการคันได้ ดังนี้ครับ
· กดหรือตบเบาๆ บริเวณที่มีอาการคันแทนการเกา
· ประคบเย็น บริเวณที่มีอาการคัน
· รับประทานยาแก้แพ้
· ทายาบรรเทาอาการคัน
การป้องกัน 🛡️
อย่างที่พี่หมอเสนอไปแล้วว่าภาวะคันอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ บางสาเหตุสามารถป้องกันได้ และบางสาเหตุเกิดจากผลกระทบของโรคและความเจ็บป่วย ซึ่งต้องพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี
สำหรับอาการคันที่ไม่ได้เกิดจากโรคหรือความเจ็บป่วยร้ายแรง อาจป้องกันได้ดังนี้ครับ
✅ สังเกตและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดอาการคัน เช่น สารเคมี สบู่หรือผงซักฟอกบางชนิด
✅ ไม่อาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน ซึ่งส่งผลให้ผิวแห้ง
✅ ทาครีมบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวไม่แห้งจนเกินไป อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
✅ พยายามหลีกเลี่ยงการเกา เนื่องจากอาจทำให้ผิวหนังถลอกหรือเกิดการติดเชื้อ
✅ หากเพื่อน ๆ มีโรคประจำตัว ควรรับประทานยาและปฏิบัติตัวตามแพทย์แนะนำ
ภาวะคันจากโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังที่พบในผู้ใหญ่ 2-5% และเด็กมากถึง 10-20% ทั่วโลก เป็นภาวะเรื้อรัง โดยมีลักษณะเฉพาะเริ่มจากผิวแห้ง เป็นขุย ระคายเคือง และมักเป็นแผลเป็น แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอจะสามารถปกป้องผิวได้และลดความรุนแรงของอาการได้นะครับ
อาการ
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ส่งผลต่อผิวหนังบนใบหน้าและร่างกายของคนทุกวัย ทั้งทารก เด็ก และผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่มักเกิดในเด็กวัยก่อน 5 ปี และอาจคงอยู่ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
อาการคันจากภาวะผื่นภูมิแพ้ผิวหนังนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยทั่วไปคืออาการผิวแห้ง เป็นขุย และระคายเคือง บางรายอาจมีอาการเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ หรืออาจหายไปหลายปีแล้วกลับมาเป็นอีกก็ได้ครับ
นอกจากนี้ อาจพบอาการอื่น ๆ ได้อีก ดังนี้ครับ
· สีผิวเข้มขึ้นหรืออ่อนลงกว่าปกติ
· ผิวบาง เมื่อเกาจะบวมแดง
· ผิวเป็นสะเก็ด หรือตุ่มพองขนาดเล็ก อาจมีการติดเชื้อรอบแผล
· คันตามผิวหนัง โดยเฉพาะช่วงกลางคืน
· ทารกต่ำกว่า 1 ปี มักเป็นผื่นบริเวณแก้ม แขน ขา และในบริเวณที่ใส่ผ้าอ้อม
· เด็กวัยหัดเดินและก่อนวัยเรียน ส่วนใหญ่มีผื่นขึ้นบริเวณข้อต่อกระดูก เช่น ข้อมือ ข้อศอก หัวเข่า ข้อเท้า รวมถึงอวัยวะเพศ อาจมีลักษณะแข็ง หนา หยาบ และทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
· เด็กวัยเรียน มักปรากฏผื่นหนาบริเวณข้อศอกและหัวเข่า รวมถึงเปลือกตา ใบหู และศีรษะ มักพบรอยเกา ซึ่งผื่นผิวหนังในช่วงวัยเรียนอาจหายได้เองเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
· ผู้ใหญ่ พบผื่นผิวหนังหลายรูปแบบ อาจเกิดขึ้นเฉพาะส่วนหรือทุกส่วนพร้อมกัน ส่วนใหญ่เป็นผื่นแห้ง หนา และแข็ง
สาเหตุของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้ครับ สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิแพ้ เช่น โรคหืด และภูมิแพ้อากาศ โดยมีปัจจัยร่วม เช่น ภูมิต้านทานโรคต่ำ หรือภาวะร่างกายขาดโปรตีนที่ช่วยให้ผิวหนังกักเก็บน้ำ จนเกิดผิวหนังแห้ง แดง คัน ระคายเคือง และทำให้เกิดโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในที่สุด
ทั้งนี้ อาการคันและผื่นแดงอาจถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ได้ครับ
· สารเคมีในโลชั่นหรือสบู่
· สารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสร เชื้อรา และขนสัตว์
· อากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่อากาศแห้ง
· การอาบน้ำร้อน ทำให้ผิวแห้ง คัน และระคายเคือง
· อาหารบางชนิด เช่น ไข่ ถั่วลิสง นม เป็นต้น
· ความเครียด
การป้องกันโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง 🛡️
✅ ทาครีมบำรุงผิว ให้ความชุ่มชื้นผิว ช่วยให้ผิวไม่แห้งจนเกินไป
✅ เลือกใช้สบู่ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีน้ำหอม (No Perfumed) ไม่ใส่สาร Preservative หรือมีคำว่า No Preservative/For Sensitive Skin
✅ เมื่อกลับจากนอกบ้าน ควรอาบน้ำล้างเหงื่อหรือฝุ่นออก เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่
✅ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น
✅ ใส่เสื้อผ้าที่นุ่มสบาย ไม่รัดรูปจนเกินไป
✅ ตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ และปิดบริเวณที่เป็นผื่นด้วยผ้าพันแผล รวมถึงสวมถุงมือก่อนนอน เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการเผลอเกาขณะนอนหลับ
✅ หลีกเลี่ยงสารก่ออาการแพ้หรือปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจทำให้อาการแย่ลง
✅ ผ่อนคลายความเครียด เพราะความเครียดอาจส่งผลให้อาการแย่ลง
✅ ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นภายในบ้าน
✅ หากพบอาการไม่ทุเลาลง ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรับการรักษา
อาการคันสามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การนอน ซึ่งการเกาอาจช่วยบรรเทาอาการคันได้ระยะหนึ่ง แต่ถ้าเกาอย่างรุนแรงหรือเกาเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรง รวมถึงอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพได้ ดังนั้น หากเพื่อน ๆ รู้สึกคันโดยไม่ทราบสาเหตุ และลองแก้ไขเบื้องต้นแล้วแต่ไม่ได้ผล ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุ และรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรซื้อยารับประทานเองเด็ดขาดนะครับ