กรุงเคียฟ เกิดเหตุระเบิดขึ้น หลายครั้งในช่วงเที่ยงคืน ไฟดับทั่วเมือง




.
วันนี้ (15 เมษายน) สำนักข่าวต่างประเทศ

รายงานว่า เกิดเหตุระเบิดรุนแรงขึ้นหลายครั้งในกรุงเคียฟตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้ทางการต้องเปิดไซเรนเตือนภัยการโจมตีทางอากาศ โดยถือเป็นเหตุระเบิดรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่ที่กองทัพรัสเซียถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่รอบกรุงเคียฟไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา 
.
ผลจากการระเบิดทำให้เกิดไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่ของกรุงเคียฟ แต่ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีรายงานเหตุระเบิดเกิดขึ้นในเมืองเคอร์ซอน ทางตอนใต้ และเมืองคาร์คีฟ ทางตะวันออก รวมถึงเมืองอิวาโนฟรานกิฟสก์ ทางตะวันตก 
.
เหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นหลังมีรายงานจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียยืนยันว่า เรือรบมอสควา (Moskva) เรือธงของกองเรือรัสเซียในทะเลดำ ซึ่งได้รับความเสียหายจากระเบิดและไฟไหม้
.
โดยก่อนหน้านี้กองทัพยูเครนอ้างความรับผิดชอบว่าเป็นผู้ยิงขีปนาวุธเนปจูน (Neptune) โจมตีเรือมอสควา ซึ่งเป็นผู้นำการโจมตีทางทะเลต่อยูเครน 

และถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งอำนาจทางทหารของรัสเซีย โดยขีปนาวุธชนิดนี้ยูเครนออกแบบและผลิตขึ้นเองนับตั้งแต่เกิดกรณีรัสเซียผนวกรวมแคว้นไครเมียในปี 2014 
.
ขณะที่รัฐบาลเครมลินปฏิเสธว่าไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับการโจมตีใดๆ และสาเหตุที่ทำให้เรือมอสควา ซึ่งเป็นเรือลาดตระเวนติดอาวุธนำวิถีขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียตและมีลูกเรือกว่า 510 นาย เกิดระเบิดและไฟไหม้ขึ้น มาจากการระเบิดของดินปืนภายในเรือ 

ซึ่งหลังเกิดเหตุลูกเรือทั้งหมดถูกอพยพไปยังเรือของรัสเซียลำอื่นๆ ในทะเลดำแล้ว แต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม
.
“ในขณะที่กำลังลากไปยังท่าเรือปลายทาง เรือได้เสียการทรงตัวเนื่องจากความเสียหายที่ลำเรือจากการที่เกิดไฟไหม้ภายหลังเกิดดินปืนระเบิด” รายงานจากสำนักข่าว Tass ที่อ้างข้อความจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุ
.
ด้าน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กล่าวถึงกรณีเรือรบมอสควาจม ในการแถลงผ่านทางวิดีโอช่วงเช้าวันนี้ โดยแสดงความยกย่องต่อผู้ที่จมเรือรบรัสเซียและทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซีย 

ขณะที่เขาเตือนถึงความตั้งใจของกองทัพรัสเซียในการพุ่งเป้าโจมตีเป้าหมายในภูมิภาคดอนบาส รวมถึงเมืองมาริอูโปล ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครนที่ถูกรัสเซียปิดล้อมและพยายามบุกยึดครองมานานหลายสัปดาห์
.
#TheStandardNews
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่