สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ถ้าพ่อแม่ มีเงินเก็บพอเลี้ยงตัวเองทั้งชีวิต และ ยังมีแรงใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องดูแลครับ และไม่เรียกได้ว่าขาดความกตัญญู แค่พูดคุยสนทนา หาของกินอร่อย ๆ ไปฝากบ้าง ก็เพียงพอแล้ว รอจนกว่าจะไม่ไหวค่อยหาทางดูแลในอนาคต
คำว่ากตัญญูใช้กันพร่ำเพรื่อ สอนกันผิด ๆ เพราะ คนรุ่นก่อนส่วนนึง (ส่วนใหญ่) มีลูกเพื่อมาใช้งาน หรือเป็นแหล่งหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเองยามแก่ครับ หรือเป็นเครื่องมือรับใช้เพื่อสั่งให้ลูกทำโน่นนี่นั่น ตามอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ
ผมมีลูก ไม่เคยคาดหวังอะไรจากลูกสักนิด ชีวิตเป็นของเขา เราให้กำเนิดเขามา หน้าที่คือต้องดูแลให้เขามีความรู้ มีชีวิตที่ดี
โตขึ้นเขาได้ทำในสิ่งที่ไฝ่ฝัน และมีความสุข ในการใช้ชีวิต ไม่ใช่เรียนจบมาเพื่อไปเป็นทาสในระบบเศรษฐกิจ(ลูกจ้าง) ทั้งชีวิตเพียงเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไปวันๆ หรือต้องส่งเงินมาให้พ่อแม่ ในฐานะที่ผมให้เขากำเนิดมา ผมต่างหากที่ควรมีมรดกทิ้งไว้ เพื่อไม่ให้ลูกลำบากต้องในวันที่จากไป
คำว่ากตัญญูใช้กันพร่ำเพรื่อ สอนกันผิด ๆ เพราะ คนรุ่นก่อนส่วนนึง (ส่วนใหญ่) มีลูกเพื่อมาใช้งาน หรือเป็นแหล่งหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเองยามแก่ครับ หรือเป็นเครื่องมือรับใช้เพื่อสั่งให้ลูกทำโน่นนี่นั่น ตามอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ
ผมมีลูก ไม่เคยคาดหวังอะไรจากลูกสักนิด ชีวิตเป็นของเขา เราให้กำเนิดเขามา หน้าที่คือต้องดูแลให้เขามีความรู้ มีชีวิตที่ดี
โตขึ้นเขาได้ทำในสิ่งที่ไฝ่ฝัน และมีความสุข ในการใช้ชีวิต ไม่ใช่เรียนจบมาเพื่อไปเป็นทาสในระบบเศรษฐกิจ(ลูกจ้าง) ทั้งชีวิตเพียงเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไปวันๆ หรือต้องส่งเงินมาให้พ่อแม่ ในฐานะที่ผมให้เขากำเนิดมา ผมต่างหากที่ควรมีมรดกทิ้งไว้ เพื่อไม่ให้ลูกลำบากต้องในวันที่จากไป
แสดงความคิดเห็น
ลูกคนเดียวที่ต้องดูแลพ่อแม่ยามชรา งานก็ต้องทำ แบ่งเวลายังไงครับ
แต่จะบอกว่าตั้งแต่ทำ Work From Home คือปวดหัวมากกับความเอาแต่ใจของพ่อแม่
เราเป็นลูกคนเดียว เราอธิบายหลายครั้งแล้วว่าการทำ Work From Home คือเราต้องนั่งหน้าคอมฯ ต้องคุยโทรศัพท์
ต้องติดต่อประสานงาน ไม่ใช่ว่านั่งหน้าคอมฯแล้วเห็นนั่งดู email เลื่อนเม้าส์เปิดอ่าน คิดว่าเราคือนั่งเฉยๆว่างๆ
ใช้ไปทำกับข้าว ปอกหอม ปอกกระเทียม ล้างจาน กวาดบ้าน ซื้อของ จ่ายตลาด ฯลฯ
พอบอกว่าทำงานไปไม่ได้ ก็กระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ แล้วก็บ่นๆอะไรทั้งวันก็ไม่รู้ ไม่พอใจอะไรก็เดินเข้ามาด่ามาว่าในห้อง
เราแทบไม่มีสมาธิในการทำงานเลย ประชุม Conference อยู่ก็มาใช้ทำนู่นทำนี่
คือแม่พ่อเราก็อายุ 70 ปีแล้ว แต่โดยนิสัยพื้นฐานคือเอาแต่ใจสุดๆ อารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิด โมโห ไม่พอใจสักเรื่อง
ยิ่งช่วงหลังติดโควิดมา สุขภาพแย่ลงไป ก็ยิ่งหงุดหงิดคูณสอง เข้าใจนะครับว่าภาวะลองโควิดมันคือคนป่วย หายใจไม่อิ่ม นอนไม่หลับ
สุขภาพมันแย่ลงกว่าตอนก่อนช่วงติดโควิดเสียอีก
แต่แม่กับพ่อก็ไม่เคยพยายามเข้าใจเลย เราเคยอธิบายไปหลายครั้งแล้ว ก็ว่าเราไม่สนใจพ่อแม่ เป็นลูกอกตัญญู
เราเคยถามกลับว่าถ้าสมมติว่าเราไม่ได้ทำอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน เราเป็นพ่อค้าแม่คัาออนไลน์ เราก็ต้องโพสต์สินค้า นั่งหน้าคอม
เช็คออเดอร์ ตรวจสอบสต๊อก แพ็คของไปส่ง มันจะยิ่งไม่มีเวลาให้พ่อกับแม่มากกว่าเดิมเหรอ ลองคิดดู
บ่นระบายไปแบบนั้นแหละครับ ได้แต่ทำใจ อยู่กันจนกว่าจะตายจากกัน
นี่ขนาดตัว จขกท เป็นโสดนะ ถ้ามีครอบครัว มีลูก คงจะโดนกระแนะกระแหน ประชดประชันไปจนวันตาย