ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวการสร้างฐานะ จากคนที่จบแค่ ป.4 จนกลายมาเป็นเจ้าของกิจการ
หรือจากลูกชาวนาบ้านนอก กลายมาเป็นเจ้าของกิจการมูลค่าหลายสิบหลายพันล้าน
แต่วันนี้เราจะเล่าเรื่องเพื่อนพ่อเราให้ฟังค่ะ เพียงแค่เรื่องราวมันกลับตาลปัตรเท่านั้นเอง
สมัยเรียนเพื่อนคนนี้เป็นเด็กที่มีฐานะดี มีรถหรูขับสมัยเมื่อ 40 ปีที่แล้ว
พ่อเป็นเจ้าของโรงงาน ที่บ้านรวยกว่าเพื่อนร่วมรุ่น
พอต่างคนต่างจบ ส่วนใหญ่คณะที่พ่อเราเรียนก็เข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
แน่นอนว่าเพื่อนพ่อคนนี้กลับไปทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ
หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างมีครอบครัว
พ่อเรายังเจอเพื่อนบ้างตอนที่แต่ละคนลูกยังเล็ก
แต่พอลูกๆ เริ่มโต บวกกับแต่ละคนที่มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น
ก็เลยหายๆ กันไปบ้าง จากเดิมที่นัดกินข้าว สังสรรค์กันเดือนละครั้งสองครั้ง ก็กลายเป็นหลายๆ เดือนครั้ง
ปีละครั้ง หลายๆ ปีครั้ง จนตอนนี้ที่เจอกันแค่งานศพหรืองานสำคัญๆ เท่านั้น
พ่อเจอกับเพื่อนคนนี้อีกที เราจำไม่ได้แล้วว่าด้วยงานอะไร เหมือนว่าจะเป็นงานศพพ่อหรือแม่ใครสักคนนี่แหละค่ะ
ทุกคนแทบจะจำเขาไม่ได้ จากคนที่มีสง่าราศี เจ้าของธุรกิจใหญ่ กลายเป็นลุงโทรมๆ ที่ขับรถสองแถวไปวันๆ
อาศัยอยู่ในห้องเช่ารายเดือน เดือนละพันนิดๆ เพื่อนทุกคนต่างก็แอบตกใจไปตามๆ กัน
พ่อเราได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนอีกครั้ง เรื่องราวก็มีอยู่ว่า
หลังจากออกมาทำงาน เพื่อนคนนี้ก็แต่งงานกับผู้หญิงที่มีฐานะพอๆ กัน
มีลูก มีครอบครัวที่ดูจะสมบูรณ์ หลังจากนั้นเมื่อพ่อที่เป็นเจ้าของโรงงานเสียชีวิตลง พี่ๆ น้องๆ ต่างก็ตกลงกันว่า
คนที่ทำกิจการต่อก็ทำไป คนที่อยากออกไปทำของตัวเอง เขาก็ซื้อหุ้นคืน เพื่อนพ่อเราตัดสินใจที่จะออกมาทำเอง
ซึ่งหลังจากนั้นกิจการที่ออกมาทำเองก็พอไปได้ดีช่วง 4-5 ปีแรกเท่านั้น จนในที่สุดก็ยื้อไว้ไม่ไหว เลยต้องปิดกิจการลง
ต่อมาด้วยความที่ยังมีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็เลยลองทำกิจการใหม่อยู่ 2-3 กิจการ ซึ่งก็เจ๊งไม่เป็นท่า
จากเงินที่เคยมีหลายๆ หลัก เคยส่งลูกเข้าโรงเรียนแพงๆ ของประเทศ ก็เริ่มที่จะต้องยืมเงินทางฝ่ายภรรยามาส่งเสียลูก
จนทำให้เริ่มมีปากเสียงกับภรรยา และเลิกรากันในที่สุด ลูกๆ ก็กลับไปอยู่บ้านภรรยา ให้ฝั่งภรรยาส่งเสียเลี้ยงดูต่อ
ส่วนตัวเองยังมีแรงที่จะกัดฟันสู้ เพื่อนคนนี้โทรยืมเงินเพื่อนๆ ในรุ่นหลายต่อหลายคน ซึ่งเงินที่ยืมมานั้นก็ยังดิ้นรนทำธุรกิจต่อไป
และแน่นอนว่าการยืมในหลายๆ ครั้งนั้น คนที่ให้ไม่เคยได้คืน จึงทำให้เพื่อนที่เคยสนิท ก็เริ่มไม่รับโทรศัพท์ ไม่มีการติดต่ออีกต่อไป
จนในที่สุดเพื่อนคนนี้ก็หมดตัวแบบที่เคยอยู่คฤหาสน์กลายเป็นต้องหาห้องเช่าราคาถูกอยู่ จากที่เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ก็มาขับรถสองแถว
เมื่อก่อนตอนที่พ่อเรายังไม่เกษียณ พ่อเราก็ให้เงินเพื่อนคนนี้อยู่นะคะ เดือนละพันสองพัน โดยที่พ่อเรามองว่าเป็นการทำบุญกับคน
แบบที่ไม่คิดว่าเงินก้อนนั้นจะได้คืนหรอก ซึ่งก็ให้แบบนี้ประมาณ 2-3 ปีได้ แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ให้แล้ว
เนื่องจากพ่อเราก็เกษียณมาสักพักแล้วค่ะ ข่าวคราวเพื่อนคนนี้เป็นยังไงบ้าง ก็ไม่มีใครทราบเท่าใดนัก
คนที่ไม่เคยมีทุกวันนี้ดิ้นรนจนสบาย แต่คนที่มีมากมายมาก่อน ในวันนี้กลับไม่เหลืออะไร มาฟังเรื่องราวเหล่านี้กัน
หรือจากลูกชาวนาบ้านนอก กลายมาเป็นเจ้าของกิจการมูลค่าหลายสิบหลายพันล้าน
แต่วันนี้เราจะเล่าเรื่องเพื่อนพ่อเราให้ฟังค่ะ เพียงแค่เรื่องราวมันกลับตาลปัตรเท่านั้นเอง
สมัยเรียนเพื่อนคนนี้เป็นเด็กที่มีฐานะดี มีรถหรูขับสมัยเมื่อ 40 ปีที่แล้ว
พ่อเป็นเจ้าของโรงงาน ที่บ้านรวยกว่าเพื่อนร่วมรุ่น
พอต่างคนต่างจบ ส่วนใหญ่คณะที่พ่อเราเรียนก็เข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
แน่นอนว่าเพื่อนพ่อคนนี้กลับไปทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ
หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างมีครอบครัว
พ่อเรายังเจอเพื่อนบ้างตอนที่แต่ละคนลูกยังเล็ก
แต่พอลูกๆ เริ่มโต บวกกับแต่ละคนที่มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น
ก็เลยหายๆ กันไปบ้าง จากเดิมที่นัดกินข้าว สังสรรค์กันเดือนละครั้งสองครั้ง ก็กลายเป็นหลายๆ เดือนครั้ง
ปีละครั้ง หลายๆ ปีครั้ง จนตอนนี้ที่เจอกันแค่งานศพหรืองานสำคัญๆ เท่านั้น
พ่อเจอกับเพื่อนคนนี้อีกที เราจำไม่ได้แล้วว่าด้วยงานอะไร เหมือนว่าจะเป็นงานศพพ่อหรือแม่ใครสักคนนี่แหละค่ะ
ทุกคนแทบจะจำเขาไม่ได้ จากคนที่มีสง่าราศี เจ้าของธุรกิจใหญ่ กลายเป็นลุงโทรมๆ ที่ขับรถสองแถวไปวันๆ
อาศัยอยู่ในห้องเช่ารายเดือน เดือนละพันนิดๆ เพื่อนทุกคนต่างก็แอบตกใจไปตามๆ กัน
พ่อเราได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนอีกครั้ง เรื่องราวก็มีอยู่ว่า
หลังจากออกมาทำงาน เพื่อนคนนี้ก็แต่งงานกับผู้หญิงที่มีฐานะพอๆ กัน
มีลูก มีครอบครัวที่ดูจะสมบูรณ์ หลังจากนั้นเมื่อพ่อที่เป็นเจ้าของโรงงานเสียชีวิตลง พี่ๆ น้องๆ ต่างก็ตกลงกันว่า
คนที่ทำกิจการต่อก็ทำไป คนที่อยากออกไปทำของตัวเอง เขาก็ซื้อหุ้นคืน เพื่อนพ่อเราตัดสินใจที่จะออกมาทำเอง
ซึ่งหลังจากนั้นกิจการที่ออกมาทำเองก็พอไปได้ดีช่วง 4-5 ปีแรกเท่านั้น จนในที่สุดก็ยื้อไว้ไม่ไหว เลยต้องปิดกิจการลง
ต่อมาด้วยความที่ยังมีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็เลยลองทำกิจการใหม่อยู่ 2-3 กิจการ ซึ่งก็เจ๊งไม่เป็นท่า
จากเงินที่เคยมีหลายๆ หลัก เคยส่งลูกเข้าโรงเรียนแพงๆ ของประเทศ ก็เริ่มที่จะต้องยืมเงินทางฝ่ายภรรยามาส่งเสียลูก
จนทำให้เริ่มมีปากเสียงกับภรรยา และเลิกรากันในที่สุด ลูกๆ ก็กลับไปอยู่บ้านภรรยา ให้ฝั่งภรรยาส่งเสียเลี้ยงดูต่อ
ส่วนตัวเองยังมีแรงที่จะกัดฟันสู้ เพื่อนคนนี้โทรยืมเงินเพื่อนๆ ในรุ่นหลายต่อหลายคน ซึ่งเงินที่ยืมมานั้นก็ยังดิ้นรนทำธุรกิจต่อไป
และแน่นอนว่าการยืมในหลายๆ ครั้งนั้น คนที่ให้ไม่เคยได้คืน จึงทำให้เพื่อนที่เคยสนิท ก็เริ่มไม่รับโทรศัพท์ ไม่มีการติดต่ออีกต่อไป
จนในที่สุดเพื่อนคนนี้ก็หมดตัวแบบที่เคยอยู่คฤหาสน์กลายเป็นต้องหาห้องเช่าราคาถูกอยู่ จากที่เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ก็มาขับรถสองแถว
เมื่อก่อนตอนที่พ่อเรายังไม่เกษียณ พ่อเราก็ให้เงินเพื่อนคนนี้อยู่นะคะ เดือนละพันสองพัน โดยที่พ่อเรามองว่าเป็นการทำบุญกับคน
แบบที่ไม่คิดว่าเงินก้อนนั้นจะได้คืนหรอก ซึ่งก็ให้แบบนี้ประมาณ 2-3 ปีได้ แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ให้แล้ว
เนื่องจากพ่อเราก็เกษียณมาสักพักแล้วค่ะ ข่าวคราวเพื่อนคนนี้เป็นยังไงบ้าง ก็ไม่มีใครทราบเท่าใดนัก