ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดอรัญญวิเวก อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
ชาติกําเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม นามเดิมชื่อ ตื้อ นามสกุล ปาลิปัตต์ ท่านเป็นตระกูล ชาวนา ถือกําเนิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๓๑ ตรงกับวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีชวด สัมฤทธิศกจุลศักราช ๑๒๕๐ ณ บ้านข่า ตําบลบ้านข่า อําเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
บิดาชื่อ นายปา ปาลิปัตย์
มารดาชื่อ นางปัตต์ ปาลิปัตย์
มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๗ คน ชาย ๕ คน หญิง ๒ คนคือ
๑. นางคํามี ปาลิปตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๒. เป็นชาย (ถึงแก่กรรมแล้วตั้งแต่ยังเด็ก)
๓. นายทอง ปาลิปตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๔. นายบัว ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๕. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม (มรณภาพแล้ว)
๖. นายตั้ว ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๗. นายอั้ว ที่สุกะ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เป็นผู้มีนิสัยรักความสงบ เข้าเป็นศิษย์วัดตั้งแต่ยังเด็ก และ ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ระยะหนึ่ง เป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษา มีนิสัยตรงไปตรงมา และเป็นที่น่าสังเกตว่าในเครือญาติของท่านใฝ่ใจในการบรรพชาอุปสมบททั้งนั้นและถ้าเป็นหญิงก็ เข้าบวชชีตลอดชีวิต
สําหรับหลวงปู่ตื้อ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อมีอายุได้ ๒๑ ปี บวชครั้งแรกในฝ่ายมหานิกาย บวชนานถึง ๑๙ พรรษา ต่อมาได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย จนถึงวาระสุดท้ายได้ ๔๖ พรรษา สิริรวมอายุได้ ๘๖ ปี ๖๕ พรรษา
ก่อนที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม จะออกบวชเป็นพระภิกษุนั้น ท่านได้เกิดนิมิตอันดีงามแก่ตัวท่านเอง คือก่อนคืนที่ท่านจะออกบวชนั้น กลางคืนท่านได้นิมิตฝันว่า ได้มีชีปะขาว ๒ คนเข้ามาหาท่าน คนหนึ่งแบกครกหิน อีกคนหนึ่งถือสากหิน มาหยุดอยู่ตรงหน้าท่าน แล้ววางครกและสากลง คนแรกได้พูดว่า“ไอ้หนู เจ้ายกสากหินนี้ออกจากครกได้ไหม ?”
หลวงปู่ตื้อตอบว่า “ขนาดต้นเสาใหญ่ผมยังแบกคนเดียวได้ ประสาอะไรกับของเพียงแค่นี้”แล้วท่านก็เดินเข้าไปพยายามยกเท่าไรๆ ก็ไม่สําเร็จ จนถึงวาระที่ ๓ จึงสามารถยกสากหินนั้นขึ้นได้ เมื่อยกได้แล้วก็ได้เอาสากหินนั้นตําลงที่ครก และตําเรื่อยไปมองดูที่ครกเห็นมีข้าวเปลือกเต็มไปหมด ท่านจึงได้พยายามตําข้าวเปลือกเหล่านั้นจนกลายเป็นข้าวสารไปหมด แล้วชีปะขาวก็หายไป
เมื่อชีปะขาวหายไป จากนั้นปรากฏว่าได้มีพระเถระ ๒ รูป มีกิริยาอาการน่าเคารพเลื่อมใสมาก ทั้งมีร่างกายเป็นรัศมี ท่านนึกว่าเป็นพระอริยเจ้าผู้วิเศษ เดินตรงมาหาท่านแล้วพูดเบา ๆ ว่า“หนูน้อย เจ้ามีกําลังแข็งแรงมาก”พอดีท่านรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วนั่งทบทวนพิจารณาถึงความฝันที่ผ่านมา เห็นเป็นเรื่องแปลก และพิสดารมาก คิดว่านิมิตเช่นนี้จะทําให้เกิดอะไรขึ้นบ้างหนอ คิดแต่เพียงว่าคงจะมีเรื่องที่ดีเกิดขึ้น กับท่านแน่ท่านคิดได้แค่นี้ก็ระลึกถึงคําสั่งของบิดาว่า ได้สั่งให้ไปต้อนควายจากท้องทุ่งให้เข้ามาหากินอยู่ใกล้ๆ บ้าน ท่านจึงได้ลุกออกจากบ้านไปต้อนไล่ควายมาเลี้ยงอยู่ใกล้ ๆ บ้านแต่ในใจก็ยังนึกถึง ความฝันเมื่อคืนนี้อยู่ เป็นเพราะหลวงปู่ตื้อมีนิสัยรักความสงบอยู่แล้วจึงคิดขึ้นมาว่า สมควรที่เราจะต้องบวชเพื่อประพฤติธรรมดูบ้าง คิดว่าวันพรุ่งนี้เราจะต้องออกไปอยู่วัดอีก เพื่อจะได้บวชเป็นพระภิกษุ แล้วจะได้มีโอกาสประพฤติธรรมอย่างจริงจังบ้าง และก็เป็นเช่นที่คิด พอรับประทานอาหารเย็น วันนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว บิดาท่านก็บอกว่า
“กินข้าวอิ่มแล้วให้รีบไปหาปู่จารย์สิมที่บ้าน ปู่จารย์สิมมาตามหาเจ้าตั้งแต่กลางวันแน่ะ”
หลวงปู่ตื้อนึกสงสัยว่าจะมีเรื่องอะไรก็ไม่ทราบ จึงรีบไปหาปู่อาจารย์สิมทันที(คําว่า พ่ออาจารย์, ปู่จารย์, หมายถึง ผู้ชายที่ได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุมาก่อนหลายพรรษา และได้เล่าเรียนวิชาจนมีความรอบรู้พอสมควร เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป แต่ต่อมาได้สึกออกมาใช้ชีวิตฆราวาส) เมื่อไปถึงบ้านปู่จารย์สิมเรียบร้อยแล้ว ปู่จารย์สิมเปิดประตูข้างในเรือนและเรียกให้ท่านเข้าไปหา พอท่านเข้าไปในห้อง เห็นมีผ้าไตรจีวร บาตร และเครื่องบริขารสําหรับบวชพระ แล้วปูจารย์สิม ก็ยื่นขันดอกไม้ที่เตรียมเอาไว้ให้พร้อมกับพูดว่า “เห็นมีแต่หลานคนเดียวเท่านั้นที่สมควรจะบวชให้ เพราะปู่ได้เตรียมเครื่องบวชไว้เรียบร้อยแล้ว แต่หาคนบวชไม่ได้ จึงให้หลานได้บวชให้รู้ สัก ๑ พรรษา หรือได้สัก ๗ วันก็ยังดี ขอให้บวชให้ปู่ก็เป็นพอ จะนานเท่าไรก็ได้ไม่เป็นไร”
หลวงปู่ตื้อได้รับปากกับปู่จารย์สิมซึ่งเป็นปู่ของท่านทันที แต่ขอไปบอกลาบิดามารดาเสียก่อน เมื่อบิดามารดาอนุญาตให้ก็จะได้บวชตามที่ปู่จารย์สิมต้องการ
บิดามารดาของท่านเมื่อได้ยินลูกชายเล่าให้ฟังเช่นนั้น ก็อนุญาตตามที่ปู่จารย์สิมขอ พร้อมกับกล่าวคําอนุโมทนาสาธุการ แสดงความยินดีกับลูกชายเป็นอย่างยิ่ง
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
เมื่อหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาให้บวชแล้ว ท่านก็ได้เข้าไปอยู่เป็นศิษย์วัด อยู่ต่อมาจนได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกาย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๒ แต่ในบันทึก ไม่ปรากฎแน่ชัดว่าท่านบวชที่ไหนและบวชกับใคร ท่านบอกว่าท่านบวชกับพระอุปัชฌาย์คาน อําเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม แล้วก็กลับไปจําพรรษาที่วัดบ้านข่า ซึ่งเป็นบ้านเดิม เพื่อศึกษาเล่าเรียนตามอุปนิสัยที่ท่านถนัดอยู่แล้ว นิสัยของท่านชอบการศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัย อันเป็นคําสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก เมื่อท่านบวชครบ ๗ วัน แล้วปู่จารย์สิมได้มาหาท่านที่วัดถามถึงเรื่องที่จะสึกหรือไม่สึก ถ้าสึกจะหาเสื้อผ้ามาเตรียมไว้ให้ ท่านก็สองจิตสองใจใคร่สึกบ้าง ไม่สึกบ้าง แต่มาคิดได้ว่า ถ้าสึกตอนนี้ชาวบ้านจะพากันเรียก ไอ้ทิต ๗ วัน รู้สึกอับอาย จึงบอกปู่จารย์สิมว่า “ยังไม่อยากสึก ขออยู่ไปก่อน รอให้ออกพรรษาก่อนเถิด”
ท่านก็บวชอยู่ได้ครบพรรษาหนึ่ง ท่านหัดท่องหัดสวดเจ็ดตํานาน สิบสองตํานานจนขึ้นใจ พอออกพรรษาเรียบร้อยแล้ว ต่อมาอีกเดือนเศษ ๆ ปู่จารย์สิมก็มาหาท่านอีกและถามท่านว่าจะสึกหรือไม่ ท่านก็ทําเฉยเสีย เพราะรู้สึกใจคอท่านสบายดีอยู่ ถ้าหากสึกไปแล้ว การเล่าเรียนพระธรรมก็ยังไม่ไปถึงไหนเลย แค่อาราธนาศีล ๕ ศีล ๘ อาราธนา เทศน์ยังทําไม่ได้คล่องแคล่ว เมื่อสึกออกไปถูกเขาไหว้วานให้อาราธนา ถ้าว่าไม่ได้จะอายเขาเปล่า ๆ
ต่อมาท่านได้เดินทางเพื่อไปศึกษาวิชาธรรมะในทางพระพุทธศาสนาที่เรียกกันว่า “เรียนสนธิ์ เรียนนาม มูลกัจจายน์” อันเป็นวิชาที่เรียนได้ยากในสมัยนั้น ถ้าหากใครเรียนได้จบตามหลักสูตร เรียกกันว่า “นักปราชญ์” เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัย
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ได้เดินทางไปเรียนที่ วัดโพธิ์ชัย อําเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม การเดินทางไปมีความลําบากมากทางคมนาคมไม่สะดวกเลย ต้องเดินไปด้วยเท้า (ระยะทางประมาณ ๕๑ กิโลเมตร) สํานักเรียนวัดโพธิ์ชัยมีชื่อเสียงมากในขณะนั้น เพราะมีอุปัชฌาย์คาน เป็นเจ้าสํานักเรียน
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมได้เข้าศึกษาเล่าเรียนวิชาบาลีสนธิ์นาม และมูลกัจจายน์ในสํานักวัด โพธิ์ชัยนี้ด้วยความสนใจเป็นเวลานานถึง ๔ ปีเต็ม จึงจบตามการสอนของสํานักเรียน และได้ถือโอกาสกราบเรียนลาท่านพระอาจารย์ผู้เป็นเจ้าสํานักเรียน กลับสํานักเดิมคือ วัดบ้านข่า
เมื่อท่านกลับมาอยู่วัดได้ ๓ วันเท่านั้น ทั้งนี้คงเป็นเพราะนิสัยที่ท่านใฝ่ใจในธรรม ชอบ ศึกษาค้นคว้าในคําสอนของพระพุทธเจ้าท่านจึงได้เดินทางออกจากบ้านเพื่อจะไปเรียนพระปริยัติธรรมต่อที่กรุงเทพมหานคร อันเป็นแหล่งที่มีการศึกษาเจริญที่สุดได้ชักชวนพระภิกษุรูปหนึ่งในวัด ออกเดินทางจากวัดเดิมธุดงค์มุ่งหน้าไปยัง จังหวัดอุดรธานีก่อนค่ําไหนก็พักจําวัดทําสมาธิภาวนาที่นั่น เป็นเวลาหลายวันจึงถึงอุดรธานี
แต่พอเดินทางถึงจังหวัดอุดรธานี พระภิกษุที่เป็นเพื่อนเดินทางเกิดเปลี่ยนใจเพราะคิดถึงบ้านอยากจะกลับบ้านไม่ยอมไปเรียนต่อที่กรุงเทพมหานคร ตามที่ตั้งใจเอาไว้ ถึงแม้จะพูดอย่างไรก็ตามก็ไม่ยอม คิดแต่จะกลับบ้านอย่างเดียว ท่านต้องเป็นเพื่อนเดินทางกลับไปส่งพระรูปนั้นกลับบ้านข่า ถึงแค่อําเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี แล้วท่านจึงเดินทางกลับมายังวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานีอีก แต่สมัยนั้นวัดโพธิสมภรณ์ หรือแม้จังหวัดอุดรธานีก็ยังเป็นป่ายังไม่ได้พัฒนาให้เจริญเหมือนอย่างทุกวันนี้
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เมื่อได้เดินทางกลับมาถึงจังหวัดอุดรธานีคราวนี้ ท่านได้เปลี่ยนใจ จากการไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่กรุงเทพมหานคร เป็นการออกปฏิบัติธรรมกรรมฐานแทน ท่านกล่าวว่า
“การออกเดินธุดงค์ เป็นการเดินทางเส้นตรงต่อการบรรลุธรรมอย่างแท้จริง”
เมื่อได้เปลี่ยนใจเช่นนี้แล้วก็ได้เดินทางจากจังหวัดอุดรธานีมุ่งสู่จังหวัดหนองคาย ท่านได้แวะพักโปรดญาติโยมเป็นระยะ ๆ ไปและพักทํากรรมฐานที่ พระบาทบัวบก อําเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี บําเพ็ญภาวนาอยู่หลายวันจึงออกเดินทางไปยังฝั่งลาวพักกรรมฐานอยู่ที่บริเวณนครเวียงจันทน์ เป็นเวลาหลายเดือน
หลวงปู่ตื้อเล่าให้ฟังว่า ได้ไปทําความเพียรอยู่บนภูเขาควาย ทํากรรมฐานอยู่บริเวณนั้นเป็น เวลา ๔ เดือนเต็ม คืนแรกที่ท่านไปถึงนั้น ได้ไปนั่งภาวนาอยู่ที่ถ้ําเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในบริเวณนั้น พอนั่งสมาธิอยู่ไม่นานประมาณชั่วโมงเศษ ๆ เห็นจะได้ ท่านได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล คล้ายเสียงลมพัดอย่างแรง แต่พอลืมตาขึ้นดูไม่เห็นมีอะไร นอกจากตัวผึ้งเป็นหมื่น ๆ ตัวบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะคล้ายเสียงเครื่องบิน
สักพักหนึ่งตัวผึ้งเหล่านั้นก็บินลงมาเกาะตามผ้าจีวรเต็มไปหมด แล้วเที่ยวไต่ไปตามตัวจน ท่านต้องเปลื้องจีวรและอังสะออกจากตัวและนั่งสบงแบบจูงกระเบน แล้วรัดผ้ากับตัวให้แน่น ตามตัวมีแต่ตัวผึ้งเต็มไปหมด แต่มันก็มิได้ต่อยทําร้ายท่าน
หลวงปู่ตื้อบอกว่า ในภาวะเช่นนั้นต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ประมาณ ๒๐ นาที หมู่ผึ้งเหล่านั้นทั้งหมดก็บินจากไป จากนั้นท่านก็นั่งภาวนาต่อไปอีกประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ ๆ
ในขณะนั้นเอง ได้นิมิตเห็นศีรษะของชายคนหนึ่งค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากพื้นข้างหน้าท่าน ห่างออกไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขากําลังเดินขึ้นมาจากเบื้องล่าง แล้วเดินเข้ามาหาท่าน จนเข้ามาใกล้แล้วมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโดยไม่พูดอะไร ร่างกายชายคนนั้นใหญ่โตมาก
บุคคลคนนั้นยืนอยู่นานพอสมควรแล้วหันหลังกลับเดินไป แต่การเดินกลับไปนั้นดูเหมือนว่าเดินลึกลงไปสู่ที่ต่ําเพราะหายลับลงไปอย่างรวดเร็วมาก จนมองตามไม่ทัน และท่านก็นั่งสมาธิอยู่ที่เดิม ไม่นานนักก็ได้ปรากฏว่ามีเทพยดาสวมมงกุฏสวยงามมากเข้ามาหาท่าน ๒ องค์แล้วพูดขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ ห่างจากนี้ไม่ไกลนัก มีพระพุทธรูปทองคํา ๑๐ องค์ พระพุทธรูปเงิน ๑๕ องค์ จมอยู่ในดิน ขอให้ท่านอาจารย์ไปเอาขึ้นมา เพื่อให้คนทั้งหลายได้กราบไหว้สักการบูชา เพราะบัดนี้ไม่มีใครรักษาแล้ว”
พูดเท่านั้นเทพยดาทั้งสองก็หายไป
หลวงปู่ตื้อเล่าเรื่องต่อไปว่า คืนที่ไปนั่งภาวนาอยู่ที่เส้นทางช้างศึกของเจ้าอนุวงษ์ นคร เวียงจันทน์หลายคืน คืนหนึ่งมีวิญญาณหลงทางมาหามากมายจริงๆ เหตุที่ว่าเป็นวิญญาณหลงทางนั้น เพราะจะแผ่เมตตาให้อย่างไร ก็ระลึกและคลายมานะทิฐิไม่ได้ ยังมัวเมาอยู่นั่นเอง
วิญญาณพวกนี้โดยมากเป็นพวกทหารหนุ่ม ๆ ทั้งนั้น สังเกตเห็นว่า พวกนี้จะไม่ยอม กราบไหว้ไม่มีเคารพในสมณเพศ ทั้งนี้เพราะส่วนมากเป็นวิญญาณมิจฉาทิฐิมาปรากฎเพื่อให้เห็นเท่านั้น
รุ่งเช้า มีโยมมาขอให้ท่านพักอยู่ต่อไปนาน ๆ จะสร้างกุฏิถวาย แต่ท่านไม่รับนิมนต์ ท่านบอกโยมว่า จะต้องเดินธุดงค์ไปเรื่อย ๆ จนถึงจังหวัดเชียงใหม่เมืองของไทยใหญ่ ท่านบอกว่านับตั้งแต่ออกจากพระบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี มาพักจําพรรษาอยู่ที่บริเวณเวียงจันทน์นี้ เป็นเวลา นานถึง ๔ เดือนเศษ ๆ จากนั้นก็เดินทางแบบพระธุดงคกรรมฐานต่อไปยังเมืองหลวงพระบาง หนทางเดินลําบากที่สุด สภาพทั่วไปเป็นภูเขา บางวันเดินขึ้นภูเขาสูง ๆ แล้วเดินลงจากหลังเขา ถ้าคิด ระยะทางการเดินทางธรรมดาจะต้องเดินไปไกลกว่านั้น เพราะเดินตลอดวันก็กลับลงมาที่เดิม ตกเย็นมืดค่ําลง ก็กางกลดพักผ่อนทําความเพียรภาวนา รุ่งอรุณก็ตื่นเดินทางต่อไป บางวันไม่ได้บิณฑบาตเลยเพราะไม่มีบ้านคน
(ยังมีเนื้อ
ประวัติหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดอรัญญวิเวก พระอริยเจ้าผู้มีปฏิปทาประดุจเสือโคร่ง
ชาติกําเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม นามเดิมชื่อ ตื้อ นามสกุล ปาลิปัตต์ ท่านเป็นตระกูล ชาวนา ถือกําเนิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๓๑ ตรงกับวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีชวด สัมฤทธิศกจุลศักราช ๑๒๕๐ ณ บ้านข่า ตําบลบ้านข่า อําเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
บิดาชื่อ นายปา ปาลิปัตย์
มารดาชื่อ นางปัตต์ ปาลิปัตย์
มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๗ คน ชาย ๕ คน หญิง ๒ คนคือ
๑. นางคํามี ปาลิปตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๒. เป็นชาย (ถึงแก่กรรมแล้วตั้งแต่ยังเด็ก)
๓. นายทอง ปาลิปตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๔. นายบัว ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๕. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม (มรณภาพแล้ว)
๖. นายตั้ว ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๗. นายอั้ว ที่สุกะ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เป็นผู้มีนิสัยรักความสงบ เข้าเป็นศิษย์วัดตั้งแต่ยังเด็ก และ ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ระยะหนึ่ง เป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษา มีนิสัยตรงไปตรงมา และเป็นที่น่าสังเกตว่าในเครือญาติของท่านใฝ่ใจในการบรรพชาอุปสมบททั้งนั้นและถ้าเป็นหญิงก็ เข้าบวชชีตลอดชีวิต
สําหรับหลวงปู่ตื้อ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อมีอายุได้ ๒๑ ปี บวชครั้งแรกในฝ่ายมหานิกาย บวชนานถึง ๑๙ พรรษา ต่อมาได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย จนถึงวาระสุดท้ายได้ ๔๖ พรรษา สิริรวมอายุได้ ๘๖ ปี ๖๕ พรรษา
ก่อนที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม จะออกบวชเป็นพระภิกษุนั้น ท่านได้เกิดนิมิตอันดีงามแก่ตัวท่านเอง คือก่อนคืนที่ท่านจะออกบวชนั้น กลางคืนท่านได้นิมิตฝันว่า ได้มีชีปะขาว ๒ คนเข้ามาหาท่าน คนหนึ่งแบกครกหิน อีกคนหนึ่งถือสากหิน มาหยุดอยู่ตรงหน้าท่าน แล้ววางครกและสากลง คนแรกได้พูดว่า“ไอ้หนู เจ้ายกสากหินนี้ออกจากครกได้ไหม ?”
หลวงปู่ตื้อตอบว่า “ขนาดต้นเสาใหญ่ผมยังแบกคนเดียวได้ ประสาอะไรกับของเพียงแค่นี้”แล้วท่านก็เดินเข้าไปพยายามยกเท่าไรๆ ก็ไม่สําเร็จ จนถึงวาระที่ ๓ จึงสามารถยกสากหินนั้นขึ้นได้ เมื่อยกได้แล้วก็ได้เอาสากหินนั้นตําลงที่ครก และตําเรื่อยไปมองดูที่ครกเห็นมีข้าวเปลือกเต็มไปหมด ท่านจึงได้พยายามตําข้าวเปลือกเหล่านั้นจนกลายเป็นข้าวสารไปหมด แล้วชีปะขาวก็หายไป
เมื่อชีปะขาวหายไป จากนั้นปรากฏว่าได้มีพระเถระ ๒ รูป มีกิริยาอาการน่าเคารพเลื่อมใสมาก ทั้งมีร่างกายเป็นรัศมี ท่านนึกว่าเป็นพระอริยเจ้าผู้วิเศษ เดินตรงมาหาท่านแล้วพูดเบา ๆ ว่า“หนูน้อย เจ้ามีกําลังแข็งแรงมาก”พอดีท่านรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วนั่งทบทวนพิจารณาถึงความฝันที่ผ่านมา เห็นเป็นเรื่องแปลก และพิสดารมาก คิดว่านิมิตเช่นนี้จะทําให้เกิดอะไรขึ้นบ้างหนอ คิดแต่เพียงว่าคงจะมีเรื่องที่ดีเกิดขึ้น กับท่านแน่ท่านคิดได้แค่นี้ก็ระลึกถึงคําสั่งของบิดาว่า ได้สั่งให้ไปต้อนควายจากท้องทุ่งให้เข้ามาหากินอยู่ใกล้ๆ บ้าน ท่านจึงได้ลุกออกจากบ้านไปต้อนไล่ควายมาเลี้ยงอยู่ใกล้ ๆ บ้านแต่ในใจก็ยังนึกถึง ความฝันเมื่อคืนนี้อยู่ เป็นเพราะหลวงปู่ตื้อมีนิสัยรักความสงบอยู่แล้วจึงคิดขึ้นมาว่า สมควรที่เราจะต้องบวชเพื่อประพฤติธรรมดูบ้าง คิดว่าวันพรุ่งนี้เราจะต้องออกไปอยู่วัดอีก เพื่อจะได้บวชเป็นพระภิกษุ แล้วจะได้มีโอกาสประพฤติธรรมอย่างจริงจังบ้าง และก็เป็นเช่นที่คิด พอรับประทานอาหารเย็น วันนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว บิดาท่านก็บอกว่า
“กินข้าวอิ่มแล้วให้รีบไปหาปู่จารย์สิมที่บ้าน ปู่จารย์สิมมาตามหาเจ้าตั้งแต่กลางวันแน่ะ”
หลวงปู่ตื้อนึกสงสัยว่าจะมีเรื่องอะไรก็ไม่ทราบ จึงรีบไปหาปู่อาจารย์สิมทันที(คําว่า พ่ออาจารย์, ปู่จารย์, หมายถึง ผู้ชายที่ได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุมาก่อนหลายพรรษา และได้เล่าเรียนวิชาจนมีความรอบรู้พอสมควร เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป แต่ต่อมาได้สึกออกมาใช้ชีวิตฆราวาส) เมื่อไปถึงบ้านปู่จารย์สิมเรียบร้อยแล้ว ปู่จารย์สิมเปิดประตูข้างในเรือนและเรียกให้ท่านเข้าไปหา พอท่านเข้าไปในห้อง เห็นมีผ้าไตรจีวร บาตร และเครื่องบริขารสําหรับบวชพระ แล้วปูจารย์สิม ก็ยื่นขันดอกไม้ที่เตรียมเอาไว้ให้พร้อมกับพูดว่า “เห็นมีแต่หลานคนเดียวเท่านั้นที่สมควรจะบวชให้ เพราะปู่ได้เตรียมเครื่องบวชไว้เรียบร้อยแล้ว แต่หาคนบวชไม่ได้ จึงให้หลานได้บวชให้รู้ สัก ๑ พรรษา หรือได้สัก ๗ วันก็ยังดี ขอให้บวชให้ปู่ก็เป็นพอ จะนานเท่าไรก็ได้ไม่เป็นไร”
หลวงปู่ตื้อได้รับปากกับปู่จารย์สิมซึ่งเป็นปู่ของท่านทันที แต่ขอไปบอกลาบิดามารดาเสียก่อน เมื่อบิดามารดาอนุญาตให้ก็จะได้บวชตามที่ปู่จารย์สิมต้องการ
บิดามารดาของท่านเมื่อได้ยินลูกชายเล่าให้ฟังเช่นนั้น ก็อนุญาตตามที่ปู่จารย์สิมขอ พร้อมกับกล่าวคําอนุโมทนาสาธุการ แสดงความยินดีกับลูกชายเป็นอย่างยิ่ง
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
เมื่อหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาให้บวชแล้ว ท่านก็ได้เข้าไปอยู่เป็นศิษย์วัด อยู่ต่อมาจนได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกาย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๒ แต่ในบันทึก ไม่ปรากฎแน่ชัดว่าท่านบวชที่ไหนและบวชกับใคร ท่านบอกว่าท่านบวชกับพระอุปัชฌาย์คาน อําเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม แล้วก็กลับไปจําพรรษาที่วัดบ้านข่า ซึ่งเป็นบ้านเดิม เพื่อศึกษาเล่าเรียนตามอุปนิสัยที่ท่านถนัดอยู่แล้ว นิสัยของท่านชอบการศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัย อันเป็นคําสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก เมื่อท่านบวชครบ ๗ วัน แล้วปู่จารย์สิมได้มาหาท่านที่วัดถามถึงเรื่องที่จะสึกหรือไม่สึก ถ้าสึกจะหาเสื้อผ้ามาเตรียมไว้ให้ ท่านก็สองจิตสองใจใคร่สึกบ้าง ไม่สึกบ้าง แต่มาคิดได้ว่า ถ้าสึกตอนนี้ชาวบ้านจะพากันเรียก ไอ้ทิต ๗ วัน รู้สึกอับอาย จึงบอกปู่จารย์สิมว่า “ยังไม่อยากสึก ขออยู่ไปก่อน รอให้ออกพรรษาก่อนเถิด”
ท่านก็บวชอยู่ได้ครบพรรษาหนึ่ง ท่านหัดท่องหัดสวดเจ็ดตํานาน สิบสองตํานานจนขึ้นใจ พอออกพรรษาเรียบร้อยแล้ว ต่อมาอีกเดือนเศษ ๆ ปู่จารย์สิมก็มาหาท่านอีกและถามท่านว่าจะสึกหรือไม่ ท่านก็ทําเฉยเสีย เพราะรู้สึกใจคอท่านสบายดีอยู่ ถ้าหากสึกไปแล้ว การเล่าเรียนพระธรรมก็ยังไม่ไปถึงไหนเลย แค่อาราธนาศีล ๕ ศีล ๘ อาราธนา เทศน์ยังทําไม่ได้คล่องแคล่ว เมื่อสึกออกไปถูกเขาไหว้วานให้อาราธนา ถ้าว่าไม่ได้จะอายเขาเปล่า ๆ
ต่อมาท่านได้เดินทางเพื่อไปศึกษาวิชาธรรมะในทางพระพุทธศาสนาที่เรียกกันว่า “เรียนสนธิ์ เรียนนาม มูลกัจจายน์” อันเป็นวิชาที่เรียนได้ยากในสมัยนั้น ถ้าหากใครเรียนได้จบตามหลักสูตร เรียกกันว่า “นักปราชญ์” เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัย
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ได้เดินทางไปเรียนที่ วัดโพธิ์ชัย อําเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม การเดินทางไปมีความลําบากมากทางคมนาคมไม่สะดวกเลย ต้องเดินไปด้วยเท้า (ระยะทางประมาณ ๕๑ กิโลเมตร) สํานักเรียนวัดโพธิ์ชัยมีชื่อเสียงมากในขณะนั้น เพราะมีอุปัชฌาย์คาน เป็นเจ้าสํานักเรียน
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมได้เข้าศึกษาเล่าเรียนวิชาบาลีสนธิ์นาม และมูลกัจจายน์ในสํานักวัด โพธิ์ชัยนี้ด้วยความสนใจเป็นเวลานานถึง ๔ ปีเต็ม จึงจบตามการสอนของสํานักเรียน และได้ถือโอกาสกราบเรียนลาท่านพระอาจารย์ผู้เป็นเจ้าสํานักเรียน กลับสํานักเดิมคือ วัดบ้านข่า
เมื่อท่านกลับมาอยู่วัดได้ ๓ วันเท่านั้น ทั้งนี้คงเป็นเพราะนิสัยที่ท่านใฝ่ใจในธรรม ชอบ ศึกษาค้นคว้าในคําสอนของพระพุทธเจ้าท่านจึงได้เดินทางออกจากบ้านเพื่อจะไปเรียนพระปริยัติธรรมต่อที่กรุงเทพมหานคร อันเป็นแหล่งที่มีการศึกษาเจริญที่สุดได้ชักชวนพระภิกษุรูปหนึ่งในวัด ออกเดินทางจากวัดเดิมธุดงค์มุ่งหน้าไปยัง จังหวัดอุดรธานีก่อนค่ําไหนก็พักจําวัดทําสมาธิภาวนาที่นั่น เป็นเวลาหลายวันจึงถึงอุดรธานี
แต่พอเดินทางถึงจังหวัดอุดรธานี พระภิกษุที่เป็นเพื่อนเดินทางเกิดเปลี่ยนใจเพราะคิดถึงบ้านอยากจะกลับบ้านไม่ยอมไปเรียนต่อที่กรุงเทพมหานคร ตามที่ตั้งใจเอาไว้ ถึงแม้จะพูดอย่างไรก็ตามก็ไม่ยอม คิดแต่จะกลับบ้านอย่างเดียว ท่านต้องเป็นเพื่อนเดินทางกลับไปส่งพระรูปนั้นกลับบ้านข่า ถึงแค่อําเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี แล้วท่านจึงเดินทางกลับมายังวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานีอีก แต่สมัยนั้นวัดโพธิสมภรณ์ หรือแม้จังหวัดอุดรธานีก็ยังเป็นป่ายังไม่ได้พัฒนาให้เจริญเหมือนอย่างทุกวันนี้
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เมื่อได้เดินทางกลับมาถึงจังหวัดอุดรธานีคราวนี้ ท่านได้เปลี่ยนใจ จากการไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่กรุงเทพมหานคร เป็นการออกปฏิบัติธรรมกรรมฐานแทน ท่านกล่าวว่า
“การออกเดินธุดงค์ เป็นการเดินทางเส้นตรงต่อการบรรลุธรรมอย่างแท้จริง”
เมื่อได้เปลี่ยนใจเช่นนี้แล้วก็ได้เดินทางจากจังหวัดอุดรธานีมุ่งสู่จังหวัดหนองคาย ท่านได้แวะพักโปรดญาติโยมเป็นระยะ ๆ ไปและพักทํากรรมฐานที่ พระบาทบัวบก อําเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี บําเพ็ญภาวนาอยู่หลายวันจึงออกเดินทางไปยังฝั่งลาวพักกรรมฐานอยู่ที่บริเวณนครเวียงจันทน์ เป็นเวลาหลายเดือน
หลวงปู่ตื้อเล่าให้ฟังว่า ได้ไปทําความเพียรอยู่บนภูเขาควาย ทํากรรมฐานอยู่บริเวณนั้นเป็น เวลา ๔ เดือนเต็ม คืนแรกที่ท่านไปถึงนั้น ได้ไปนั่งภาวนาอยู่ที่ถ้ําเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในบริเวณนั้น พอนั่งสมาธิอยู่ไม่นานประมาณชั่วโมงเศษ ๆ เห็นจะได้ ท่านได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล คล้ายเสียงลมพัดอย่างแรง แต่พอลืมตาขึ้นดูไม่เห็นมีอะไร นอกจากตัวผึ้งเป็นหมื่น ๆ ตัวบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะคล้ายเสียงเครื่องบิน
สักพักหนึ่งตัวผึ้งเหล่านั้นก็บินลงมาเกาะตามผ้าจีวรเต็มไปหมด แล้วเที่ยวไต่ไปตามตัวจน ท่านต้องเปลื้องจีวรและอังสะออกจากตัวและนั่งสบงแบบจูงกระเบน แล้วรัดผ้ากับตัวให้แน่น ตามตัวมีแต่ตัวผึ้งเต็มไปหมด แต่มันก็มิได้ต่อยทําร้ายท่าน
หลวงปู่ตื้อบอกว่า ในภาวะเช่นนั้นต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ประมาณ ๒๐ นาที หมู่ผึ้งเหล่านั้นทั้งหมดก็บินจากไป จากนั้นท่านก็นั่งภาวนาต่อไปอีกประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ ๆ
ในขณะนั้นเอง ได้นิมิตเห็นศีรษะของชายคนหนึ่งค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากพื้นข้างหน้าท่าน ห่างออกไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขากําลังเดินขึ้นมาจากเบื้องล่าง แล้วเดินเข้ามาหาท่าน จนเข้ามาใกล้แล้วมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโดยไม่พูดอะไร ร่างกายชายคนนั้นใหญ่โตมาก
บุคคลคนนั้นยืนอยู่นานพอสมควรแล้วหันหลังกลับเดินไป แต่การเดินกลับไปนั้นดูเหมือนว่าเดินลึกลงไปสู่ที่ต่ําเพราะหายลับลงไปอย่างรวดเร็วมาก จนมองตามไม่ทัน และท่านก็นั่งสมาธิอยู่ที่เดิม ไม่นานนักก็ได้ปรากฏว่ามีเทพยดาสวมมงกุฏสวยงามมากเข้ามาหาท่าน ๒ องค์แล้วพูดขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ ห่างจากนี้ไม่ไกลนัก มีพระพุทธรูปทองคํา ๑๐ องค์ พระพุทธรูปเงิน ๑๕ องค์ จมอยู่ในดิน ขอให้ท่านอาจารย์ไปเอาขึ้นมา เพื่อให้คนทั้งหลายได้กราบไหว้สักการบูชา เพราะบัดนี้ไม่มีใครรักษาแล้ว”
พูดเท่านั้นเทพยดาทั้งสองก็หายไป
หลวงปู่ตื้อเล่าเรื่องต่อไปว่า คืนที่ไปนั่งภาวนาอยู่ที่เส้นทางช้างศึกของเจ้าอนุวงษ์ นคร เวียงจันทน์หลายคืน คืนหนึ่งมีวิญญาณหลงทางมาหามากมายจริงๆ เหตุที่ว่าเป็นวิญญาณหลงทางนั้น เพราะจะแผ่เมตตาให้อย่างไร ก็ระลึกและคลายมานะทิฐิไม่ได้ ยังมัวเมาอยู่นั่นเอง
วิญญาณพวกนี้โดยมากเป็นพวกทหารหนุ่ม ๆ ทั้งนั้น สังเกตเห็นว่า พวกนี้จะไม่ยอม กราบไหว้ไม่มีเคารพในสมณเพศ ทั้งนี้เพราะส่วนมากเป็นวิญญาณมิจฉาทิฐิมาปรากฎเพื่อให้เห็นเท่านั้น
รุ่งเช้า มีโยมมาขอให้ท่านพักอยู่ต่อไปนาน ๆ จะสร้างกุฏิถวาย แต่ท่านไม่รับนิมนต์ ท่านบอกโยมว่า จะต้องเดินธุดงค์ไปเรื่อย ๆ จนถึงจังหวัดเชียงใหม่เมืองของไทยใหญ่ ท่านบอกว่านับตั้งแต่ออกจากพระบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี มาพักจําพรรษาอยู่ที่บริเวณเวียงจันทน์นี้ เป็นเวลา นานถึง ๔ เดือนเศษ ๆ จากนั้นก็เดินทางแบบพระธุดงคกรรมฐานต่อไปยังเมืองหลวงพระบาง หนทางเดินลําบากที่สุด สภาพทั่วไปเป็นภูเขา บางวันเดินขึ้นภูเขาสูง ๆ แล้วเดินลงจากหลังเขา ถ้าคิด ระยะทางการเดินทางธรรมดาจะต้องเดินไปไกลกว่านั้น เพราะเดินตลอดวันก็กลับลงมาที่เดิม ตกเย็นมืดค่ําลง ก็กางกลดพักผ่อนทําความเพียรภาวนา รุ่งอรุณก็ตื่นเดินทางต่อไป บางวันไม่ได้บิณฑบาตเลยเพราะไม่มีบ้านคน
(ยังมีเนื้อ