32521
31 มีนาคม พ.ศ. 2565
ถึงเธอผู้น่าหลงใหล
เมื่อแรกเห็นข้าพเจ้าพึงสงสัย
เมื่อสบตาข้าพเจ้าหลงจนเคลิ้มใจ
เมื่อหวั่นไหวข้าพเจ้าเกิดความรู้สึก
เมื่อมิได้พบข้าพเจ้าพึงรำพัน
จดหมายฉบับนี้คือจดหมายฉบับที่7 เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่เราเขียนถึงเธอ เรารู้สึกยินดีกับตัวเราในวันนี้ที่ได้เขียนส่งให้เธอสักที วันสุดท้าย ฉบับสุดท้าย โอกาศสุดท้าย เราเชื่อว่าคนๆนึงมักจะมีหลายตัวตนในร่างเดียวกัน เมื่ออยู่กับคนรัก เมื่ออยู่กับพ่อแม่ เมื่ออยู่กับคนสำคัญ เมื่ออยู่กับคนที่เราคาดหวังอะไรสักอย่างจากเค้า ทุกคนที่เราคุยด้วยนั้นเราแสดงกิริยาและท่าทางที่แตกต่างกันออกไปให้แต่ละคนรับรู้ในแบบที่เราต้องการให้เค้ารู้ เราใช้ตัวตนมากมายหลากหลายกันกับคนแต่ละคน ถึงกระนั้นคุณยังสามารถยืนยันกับตัวเองได้อย่างซื่อตรงรึเปล่าว่า ''คุณใช้แค่เพียงตัวตนเดียวในการพูดคุยกับทุกคน'' ถ้าเป็นเราเราจะตอบว่าไม่รู้ เราทำตามสัญชาตญาณและสันดานของตัวเองซะส่วนใหญ่ แต่อย่าพึ่งคิดว่าเราเป็นคนเลวร้ายนะ ถ้าจะพูดตามหลักที่มนุษย์ได้แยกประเภทคนไว้ เราจัดอยู่ว่าเป็นพวกนิสัยดีเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเราก็ไม่อยากจะให้เธอมองภาพเราเป็นคนดีอยู่เสมอ เพราะเราเองก็เป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วๆไป มีตัณหา มีราคะ มีกิเลส เคยทำบาป เคยทำบุญ จิตใจดี มีน้ำใจ เอื้ออาทร แล้วทำไมเล่ามนุษย์ถึงพยายามที่จะเด่นพิเศษเหนือใครๆทั้งๆที่เราก็เหมือนกัน ที่เราเคยพูดไว้ในจดหมายฉบับก่อนว่า ''ผมจะยังคงหลับอีกครั้งในวันนี้ แต่วันพรุ่งนี้ผมอาจจะไม่ได้หลับอยู่ แค่ทำสิ่งนั้นวันนี้ก็พอ'' หมายความว่า เราจะทำแค่วันนี้ ไม่มีความอาย ไม่มีความเขิน ไม่มีป็อดหรือปอดแหก ไม่มีอารมณ์ไหนจะมาขัดขวางจุดประสงค์ของหัวใจได้อีกต่อไป วันนี้มีเพียงความกล้าเท่านั้นที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง เราไม่รู้จริงๆว่าเราจะยังมีชีวิตอยู่ต่อรึเปล่าในวันพรุ่งนี้ ชีวิตตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน (ส่วนตัวเราเชื่อเรื่องแบบนี้) เราไม่รู้ว่าเธอมองเราเป็นคนยังไง เราแค่พยายามจะไม่ทำตัวไม่ดีต่อเธอ เราแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบเธอและตอนนี้ก็ตกหลุมรักเธอ ในจดหมายทุกฉบับที่เราเขียนเป็นดั่งเครื่องหมายของความเป็นเรา เราไม่ขอให้เธอมองเราเป็นคนยังไง มีเพียงคำพูดและถ้อยคำจากจดหมายเท่านั้นที่จะแสดงความเป็นเราให้เป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าเธอ ด้วยเหตุนี้เราขอให้เธอได้มองเราเป็นคนที่เธอเห็นในมุมมองของเธอเอง
ประมาณ 2 ชั่วโมงที่ข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับความสวยงามบนเสื้อผ้า
ประมาณ 2 ชั่วโมงที่ข้าพเจ้าจ้องรูปภาพและสัมผัสถึงคุณค่าของมัน
ประมาณกี่ชั่วโมงที่ข้าพเจ้าตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง
วันนี้เรามีธุระสำคัญข้างนอกและสถานที่ที่เราไปทำธุระอยู่ใกล้ๆกับหอศิลป์พอดี ธุระที่เราต้องไปทำใช้เวลาไม่นานและมีเวลาเหลืออีกเยอะ เราเลยเผื่อเวลาไว้สัก 2 ชั่วโมงเพื่อไปชมนิทรรศการศิลปะที่หอศิลป์ ปกติออกข้างนอกเราจะแต่งตัวสบายๆชิวๆ เรียบง่ายเหมือนคนปกติทั่วไป แต่เมื่อเราไปทำธุระหรือไปชมผลงานศิลปะเราจะแต่งตัวให้เกรียติเสมอ เราไม่รู้หรอกว่าคนอื่นแต่งตัวกันยังไง ไม่รู้ว่าเสื้อผ้ามันจะเข้าไม่เข้ากับสถานที่มั้ย เรารู้แค่ต้องแต่งตัวให้เกรียติศิลปินโดยการนำสไตล์ศิลปะในการแต่งตัวของเราออกมาใช้ทั้งหมดเพื่อเป็นให้เกรียติแก่ผลงานของศิลปินทั้งหลาย เราแต่งตัวในแบบของเราและไม่เคยคิดว่าสไตล์การแต่งตัวของเรานั้นดีเลิศประเสริฐกว่าใคร แต่มันดีเลิศที่สุดในมุมมองของเรา เราไม่เห็นด้วยกับการไปตัดสินลดคุณค่าผลงานศิลปะในการแต่งตัวของผู้อื่น เพียงเพราะว่าเรามีคนชมหรือยกย่องสไตล์การแต่งตัวของเรา แต่มันไม่ได้หมายความว่าคุณค่าทางความคิดของเราจะประเสริฐเลิศเลอตามสไตล์การแต่งตัว ''เคารพสไตล์การแต่งตัวของคนแต่ละคน'' มันคือคุณค่าอย่างหนึ่งที่เรายึดถือ ''ทุกคนล้วนมีศิลปะความพิเศษที่ตนนั้นยึดถือ'' เราเองก็มีศิลปะในการแต่งตัวเหมือนกัน ศิลปะในการพูด ศิลปะทางความคิด ศิลปะทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ทุกอย่างที่เรามองนั้นล้วนแตกต่างกันในสายตาคู่นี้ หอศิลป์ คือ สถานที่ที่ถ่ายรูป สถานที่แห่งเรื่องราว สถานที่ที่เสียงดัง สถานที่ที่เงียบงัน ''สถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นอันหนึ่งเดียวกัน''
ในห้องลับห้องหนึ่งมีภาพวาดและความเงียบเป็นองค์ประกอบของศิลปะ ท่ามกลางห้องที่เงียบสงัดและรายล้อมไปด้วยภาพวาดแห่งจิตรกรรม เสียงเท้ากระทบเบาๆที่พื้นและจากไปหลังได้เสพสุขและอิ่มเอมกับผลงานชิ้นนั้นๆ มีคำถามมากมายเกี่ยวกับภาพวาดก่อนหน้าดังก้องขึ้นอยู่ในหัว สีหน้างุนงงเมื่อได้จ้องมองมันอีกครา
เข้าใจแล้วหรือกับความหมายของ ''ภาพวาด''
เข้าใจแล้วหรือกับความหมายของ ''รูปถ่าย''
เข้าใจแล้วหรือกับคำว่า ''ศิลปะ''
เข้าใจแล้วหรือกับคำว่า ''ศิลปิน''
ผลงานภาพ 1 ชิ้นกับความหมายที่มีไม่สิ้นสุด การแปลความหมาย การรับคุณค่าจากมัน การนำมันไปคิดจนช่วยพัฒนาศิลปะในตัวเรา ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่ละช่วงวัย แต่ละความคิด องค์ความรู้ทั้งชีวิตของเราจะเป็นคนรับเอาคุณค่าของภาพๆนั้นไป ''จะมากน้อยที่รู้กันแน่ชัดคือสิ่งที่ได้รับมันคือคุณค่าทางศิลปะ'' แค่ภาพๆหนึ่งเปลี่ยนคนไปตลอดชีวิต แค่คำพูดหนึ่งคำเปลี่ยนชีวิตคนไปเป็นอีกคน แม้กระทั่งข้าพเจ้าเองยังเข้าใจในแบบข้าพเจ้า หากปราศจากคำบรรยายที่ได้แต่งเติมเอาไว้ก็มิอาจรู้แจ้งในสิ่งที่ท่านจะสื่อ หรือสิ่งที่ท่านต้องการสื่ออาจไปไม่ถึงแก่ชายผู้โง่เขลาผู้นี้ จริงหรือไม่ที่ท่านเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วในตัวตนของข้าพเจ้า จริงหรือที่ข้าพเจ้าเข้าใจตนเองแล้ว เราไม่ได้เข้าใจเธอ เธอไม่ได้เข้าใจเรา เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจกัน พวกเรายังคงเก็บบางสิ่งบางอย่างไว้ให้ปราศจากผู้อื่น ''ปฏิบัติให้เป็นดั่งคำพูด อันตัวข้านี้เป็นผู้เช่นนั้น'' เราเป็นคนยังไงเรายังไม่รู้เลย เรารู้แค่คนอื่นมองเราเป็นคนยังไง นอกเหนือจากนั้นเราไม่เคยสนใจในตัวเองเลย เพราะเราไม่เคยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้ ไม่ได้ฝักใฝ่จะยิ่งใหญ่เหนือใคร ไม่ได้ต้องการดีเด่นวิเศษเหนือเทวดาหรือดารา เพียงแค่เป็นคนธรรมดาข้าพเจ้าก็สุขหาอื่นเปรียบมิได้ ความรู้สึกและข้อความทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของข้าพเจ้าในวัย 16 ปี
ไม่จำเป็นต้องดังแต่มีผู้กล่าวถึง
ไม่จำเป็นต้องเด่นแต่เป็นคนพิเศษของใครหลายๆคน
ไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างแต่พอใจในทุกสิ่งที่มี
ให้เกรียติ เคารพ นอบน้อม ซื่อตรง สงบ เงียบ ตลก หัวเราะ
ในมุมมองของข้าพเจ้าเด็กชายวัย 16 ปีมองคนที่ตนหลงรักไว้ว่า ''แม่หญิงตัวเธอนั้นในสายตาของบุรุษผู้นี้ช่างแปลกตาเสียใจ''
You know what I like about you? You're all the colors in one ... at full brightness.
You could draw me to anything I have most avoided
เธอเปรียบดั่งงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ตัวข้าพเจ้ามิอาจจะเข้าใจ เธอวาดภาพตัวเธอเองในแบบที่ทำให้ข้าพเจ้าหลงใหล ข้าพเจ้าพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะส่งมอบความรู้สึกนี้ที่ข้าพเจ้ามีให้ต่อเธอ มิใช่เพราะว่าตัวเธอนั้นสูงส่งกว่าข้าพเจ้า มิใช่เพราะข้าพเจ้านั้นมิคู่ควรต่อเธอ แต่เป็นเพราะภาพวาดที่ชวนให้น่าหลงใหลนั้นมีบางอย่างที่ข้าพเจ้าละเลยและมิอาจเข้าใจ แม้กระทั่งตัวเธอผู้เป็นเจ้าของภาพยังลดคุณค่าในผลงานของตัวเอง ซ้ำเธอยังคิดว่าตัวเธอนั้นไม่น่าสนใจพอที่จะเป็นเจ้าของหัวใจใครสักคน แม้เธอจะเห็นว่าภาพวาดของเธอนั้นมิอาจส่งถึงใจผู้ใดให้เข้าใจได้เลยก็ตาม แต่ทำไมข้าพเจ้ายังรู้สึกหลงใหลในผลงานของเธอเหลือเกิน
ต่อให้ต้องอดข้าวเพราะจ้องมอง
ต่อให้มิใตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
ต่อให้ต้องพลาดภาพวาดชิ้นเอกที่งดงามกว่า
ต่อให้ข้าพเจ้าจมปลักติดกับมัน
ข้าพเจ้าก็มิอาจละสายตาจากผลงานชิ้นนี้ได้เลยแม้เพียงชั่วครู่
ข้าพเจ้าเคยเติมแต่งสีลงไปในภาพวาดชิ้นนี้ จากนั้นข้าพเจ้าสัมผัสได้ว่าเธอช่างต่างจากเก่าที่ข้าพเจ้าเคยสัมผัส หรือความจริงแล้วหัวใจของข้าพเจ้าแค่อยากจะชื่นชมเธอเท่านั้น ให้เธอที่อยู่ในโลกแห่งปัจจุบันได้ใช้ชีวิตดั่งใจเธอ แต่ข้าพเจ้าขอเก็บเธอในความทรงจำให้เป็นดั่งภาพวาดที่งดงามที่สุดในดวงใจ ข้าพเจ้ารู้ตัวดีแล้วว่าข้าพเจ้ามิต้องการให้เธอรับรู้ถึงตัวตนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเพียงแต่รับรู้ว่าเธอนั้นยังคงสวยงามและเบ่งบานภายในใจของข้าพเจ้าอยู่เสมอ เธอในภาพวาดนั้นเป็นดั่งสิ่งพิเศษที่ข้าพเจ้าหลงใหล แม้อาจมิเข้าใจก็ยังคงถวิลหา
(ป.ล. เราไปชมนิทรรศการทุกวันอาทิตย์นะ ตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ติดขอบฟ้าจนถึงเวลาพระจันทร์โผล่มาทักทาย ถ้าเธอไป เราสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ผ้าคอตตอน คอเปิด กางเกงยีนส์ขากว้างผับขึ้น 2 ทับ ถุงเท้าขาว รองเท้า converse รุ่น all star)
แด่เธอผู้เป็นดั่งภาพวาดที่สวยงามที่สุด
จาก อันตัวข้านี้
Chapter 7 ภาพวาดที่งดงามที่สุด