สลิ่มชนนี่ ตามประสาไก่เอยจริง ๆ ครับ

กระทู้คำถาม
โดนปั่นตลอด  แต่ไม่จดไม่จำ  ไม่เข็ดไม่หลาบ
ยอมเป็นเครื่องมือปลูกฝังความเกลียดชังขัดแย้งแตกแยก ไม่รู้จักแยกแยะจริงเท็จผิดถูก  ให้คนบางพวกได้ประโยชน์

ตอนนี้  ก็เรื่องที่ดินครอบครัวธนาธร
สื่อสลิ่มปั่นมาไง  สลิ่มเย้ว ๆ ด้วยหมด  ไม่รับไม่รู้  ไม่ศึกษา  ไม่พิจารณาข้อเท็จจริง  

ตามประสาไก่เอยจริง ๆ
ถีบขาคู่

.

ข้อเท็จจริง  ตามข้อกฎหมาย  ก็คือ
ที่ดินที่เป็นประเด็นปัญหาอยู่นี้  แม่ธนาธรซื้อต่อจากมิตรผล  ราว ๆ ปี 2534  โน่น
ซื้อแบบยกแปลง  ประมาณสามพันกว่าไร่  เป็นที่ที่มีโฉนด  นส.3 ก  นส.3 ข  และ ภบท.5

ที่ดินทั้งหมด  เป็นชื่อแม่ธนาธร  พี่สาวธนาธร  และธนาธร  เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
ก็เป็นปกติ  ที่แม่จะแบ่งทรัพย์สินให้ลูก ๆ 

และจนถึงวันนี้  สามสิบปี   ก็ไม่ได้เข้าไปทำประโยชน์อะไร
แค่ล้อมรั้วแสดงเขตกรรมสิทธิ์  จ้างคนเฝ้าดูแล

เมื่อเกิดปัญหา  มีการแจ้งความเอาผิดว่าบุกรุกป่า
ตำรวจเขาจึงมีความเห็นไม่ฟ้องส่งอัยการ  เพราะเห็น ๆ อยู่ว่า  ไม่ได้รุก  
เป็นการซื้อต่อมา  ทั้งที่มีเอกสารสิทธิ์ และที่เป็น ภบท.5  ซื้อแล้วก็ไม่ได้งอกเงยเพราะรุกป่าขยายพื้นที่แต่อย่างใด

ฝ่ายกรมที่ดิน  รู้ทั้งรู้  ว่าไม่ผิดฐานรุกป่า   ทำได้อย่างมากคือยึดคืน
ซึ่งก็จะมีปัญหาตามมาคือ  โดนประชาชนฟ้องกลับเพราะกรมที่ดินนั่นแหละ  ออกเอกสารสิทธิ์ให้  ไม่ได้ปลอมแปลงขึ้นมาเอง

แต่คงด้วยเหตุผลทางการเมือง
จึงมีการพยายามขยายความ ตีความ  เอาผิดเรื่องบุกรุกป่าให้ได้

.

กรณีประเด็น  ตอนซื้อขายที่ดิน  มีการทำบันทึกข้อตกลงระหว่างเจ้าพนักงาน  ผู้ซื้อ  ผู้ขาย
ว่าที่ดินที่ซื้อขายกันนั้น  อยู่ในเขตป่าสงวน  อาจโดนเพิกถอนสิทธิ์ได้  แต่ยังซื้อขายกัน
แล้วเอามาชี้นำสร้างกระแสว่า  รู้ทั้งรู้ว่าเป็นป่าสงวนยังซื้อ  แสดงว่าเจตนาครอบครองโดยมิชอบ
สลิ่มก็เย้า ๆ ตาม  แบบไม่คิด ไม่รู้  ไร้ฉลาด ขาดเฉลียว   เย้า ๆ ตามประสาไก่เอยไปเท่านั้น

ข้อเท็จจริงคือ  ที่ต้องมีบันทึก
เพราะที่ดินออกเอกสารสิทธิ์ก่อนจะมีการประกาศเป็นเขตป่าสงวน
ดังนั้น  เอกสารสิทธิ์อาจมีปัญหา  เพิกถอนกรรมสิทธิ์ได้  จึงบันทึกกันไว้
เพราะหากมีการเพิกถอน  ผู้ซื้อก็สามารถใช้เป็นหลักฐานเพื่อเอาเงินคืนจากผู้ขายได้
หรือเป็นการยอมรับความเสี่ยง  ว่าหากถูกเพิกถอนภายหลัง  ผู้ขายไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ

ก็เท่านั้นเอง

ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการชี้นำหลอกครอบสลิ่มว่า  รู้ว่าผิดยังซื้อ
เพราะหากอย่างนั้น  เจ้าพนักงานก็ติดคุกด้วย  เพราะรู้ว่าเป็นป่าสงวนแล้วยังให้มีการซื้อขายครอบครอง

ที่ดินประเทศไทย  เยอะมาก  ที่มีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์
ทั้งโฉนดปลอม  ซึ่งไม่รู้ปลอมได้ไงทั้งที่ออกจากทางราชการ   
ที่ดินแปลงเดียวมีหลายโฉนดหลายเจ้าของ  เกิดปัญหาฟ้องร้องกรรมสิทธิ์กันประจำ
ที่ดินที่ชาวบ้านอยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นทวด  จู่ ๆ ราชการก็ประกาศเป็นเขตป่าไม้  ป่าสงวน  วุ่นวายกันค่อนประเทศ
                                                                       ฯลฯ

แต่เวลาคนมีเส้น  มีอำนาจ   รุกป่า  ยึดยอดเขา   ยึดเกาะ  รุกทะเล  ล้ำแม่น้ำ
ไม่เคยผิด
ถีบขาคู่

.

อย่างท่านพระพยอม  โดนมาแล้ว
วัดสวนแก้วซื้อที่ดิน 5 ล้านบาท  ซื้อแล้ว จ่ายแล้ว  ปรากฎเจ้าของที่ดินอีกคนโผล่มาเอาที่คืน
มีโฉนดมายืนยัน  พระพยอมก็มีโฉนดยืนยัน  เมื่อตรวจสอบ  ผลก็คือ โฉนดของพระพยอมออกทีหลังทับที่เดิม
ก็เป็นโฉนดโมฆะ  ไร้กรรมสิทธิ์   ทั้งที่เป็นโฉนดที่เจ้าพนักงานออกให้   ก็ต้องยอมคืนที่ดินให้เจ้าของตัวจริงไป
จะไปเอาเงินคืนจากคนขาย  ก็บอก  ใช้เงินหมดแล้ว  ไม่มีคืน   จะฟ้องกรมที่ดินก็มากเรื่อง  พระพยอมท่านก็ได้แต่แผ่เมตตา

กรณีแบบนี้  มีเยอะ

กรณีครอบครัวธนาธร    ก็ซื้อจากมิตรผล  ถ้าผิด  ก็ยึดคืน  
ครอบครัวธนาธรก็ไปเอาเงินคืนจากมิตรผล  มิตรผลก็ไปฟ้องกรมที่ดิน   ฟ้องแล้วแพ้หรือชนะก็ว่ากันไป   ก็แค่นั้น

ปั่นซะจนสลิ่มเคลิ้ม  ตีความบิดเบือนเพื่อเอาผิดทางกฎหมายให้ได้
รู้จักคิดซะทีสลิ่มเอ๊ย
ถีบขาคู่
.
แถมนิด  อีกเรื่อง  เพราะงงหนักมากว์  มึนตึ๊บ

นั่นคือ 
คน ๆ หนึ่ง  ตกเป็นจำเลย  คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล
ไม่รู้จะผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่   ไม่สามารถไปต่างประเทศได้  เกรงหลบหนี
กับคนที่โดนศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 7 ปีกว่า
คดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์  ไปต่างประเทศได้  ไม่เกรงหลบหนี

ก็งงสิครัช
ถีบขาคู่
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่