สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวห้องแป้งทุกท่าน
กระทู้นี้จะมาแนะนำน้ำหอมโทนกุหลาบ ที่ได้ลองใช้เอง ซื้อมาเอง ตั้งแต่ต้นปี 2022
บางขวดได้เป็น vial ตัวทดลองแถมมาจากกลิ่นอื่น แต่ก็ใช้ไปพอสมควร
ขอเชิญรับชม และร่วมแบ่งปันประสบการณ์หากใครเคยใช้กลิ่นเหล่านี้ หรือมีกุหลาบขวดอื่นอยากแนะนำก็ คอมเมนท์ป้ายยาได้เลยค่ะ



1.Eau Capitale  Diptyque
Since : 2019 by Olivier Pescheux
โทนกลิ่น: Chype/Rose/powdery/patchouli 
กุหลาบโศก-วินเทจ
--
กุหลาบวินเทจที่หยิบมาใช้งานง่ายได้ทุกวัน ทุกโอกาส ทุกเพศ วัยมหาวิทยาลัยขึ้นไป ฤดูกาลอาจต้องเลือกช่วงที่ไม่ร้อน เป็นแนวฝนหรือลมหนาว หรือแอร์คอนดิชันเนอร์จะเข้าทางกว่าร้อนชื้น ไม่งั้นก็กลายเป็นกุหลาบเหม็นอับกับเสื้อไม่ได้ซักไปได้
..
กลิ่นเปิดมาก็มีกุหลาบหวานลึกชวนเศร้าเล็กน้อย อารมณ์โรมิโอจูเลียต หรือแจ๊คโรสไททานิก มีโศกนาฏกรรมรองพื้นอยู่เบื้องหลัง กุหลาบไม่แหลมบาดจมูก ห่อหุ้มด้วยแป้งฝุ่นทึมๆ มีกลิ่นซ่าเจือปลายน่าจะมาจากพริกไทยสีชมพูผสมพิมเสน แต่โทนหลักจะเป็นกุหลาบคลาสสิคในดงแป้งฝุ่น นึกอีกทีก็เหมือนกุหลาบอบแห้ง หรือกุหลาบที่อบกลิ่นในตู้เสื้อผ้าให้กลิ่นติดผ้ามาไม่ต่ำกว่าหนึ่งสัปดาห์
กุหลาบทุ้มนุ่มลึกนี้จะอยู่ยาวตั้งแต่ต้นจนจบ จับโน้ตซิตรัสใดๆไม่ได้เลย นอกจาก Rose powdery พิมเสนที่รองท้ายมาก็แทรกซึมในอณูอย่างกลมกลืน ไม่ได้โดดออกมาให้จับได้ชัดนัก
..
ถ้าจินตภาพฝั่งยุโรปก็จะนึกถึงโรสไททานิก ในชุดราตรีเปิดไหล่โชว์คอเรียวระหง สีเลือดหมู เดินเคียงข้างคู่หมั้นเพื่อเข้าสังคมกับชนชั้นสูงในเรือสำราญยามค่ำคืน แน่นอนจิตใจเต็มไปด้วยความสับสนฝืดฝืน เพราะเริ่มตกหลุมรักชายอื่นเสียแล้ว ความรู้สึกที่อยู่ข้างชายซึ่งไม่ใช่คนรักจึงอัดอั้นเหมือนถูกบีบคั้นเลือดสดๆข้างใน ขณะเดียวกันกลับมีดนตรีคลาสสิกแว่วเพลงหวานคลอมาตลอดคืน ประหนึ่งตกในห้วงภวังค์รักทั้งสองฝ่าย มีความหน่วงอยู่ในคราวเดียวกัน

ถ้ามองมาฝั่งสยาม อาจนึกถึงลุคผู้หญิงมาดมั่น เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ในยุคนิยายเรื่อง ปริศนา เด็กสาวผู้ในความกล้ากลับจากอเมริกา เผชิญหน้ากับรตีตัวอิจฉาได้อย่างไม่หวาดหวั่น ใส่ชุดดำราตรียาวเข้ารูปแต่ปกปิดมิดชิด เพื่อแหกกฎธีมงานเลี้ยงที่วังหัว  ในขณะที่รตีใส่ชุดแดงวาบหวิว และคนอื่นใส่ชุดสีหวาน ปริศนาก็ยังสามารถเป็นจุดเด่น สานไมตรีกับแขกบ้านแขกเมือง ทุกคนตกหลุมรักหล่อน ไม่สนใจรตี ขณะเดียวกันปริศนาก็มีความสุขอยู่กับตนเอง แม้จะเริ่มหลงรักท่านชายพจน์อยู่ไม่น้อยแล้วก็ตาม หล่อนไม่ได้ต้องการให้ใครมาสนใจ แต่เสน่ห์จากภายในที่เป็นอมตะมันกลับเปล่งประกายออกมาสร้างแรงดึงดูดให้ทุกคนอยากเข้าหา เป็นเช่นนั้นแหละ 

ภาพแทนของ Eau Capitale ขวดนี้ ซึ่งเรื่องราวจริงๆของแบรนด์เขาอยากสื่อให้เป็นตัวแทนของสาวปารีเซียงในเมืองหลวงที่มีหอไอเฟลตั้งเด่นเป็นฉากหลัง เป็นความแฟชั่นทันสมัย แต่กลิ่นในความรู้สึกของเรากลับออกแนววินเทจย้อนยุค ทว่าใช้งานง่ายและเป็นอมตะ 

แม้จะไม่เป็นเอกลักษณ์แปลกแยกจากแบรนด์อื่นนัก ไม่ติดเขียวเหมือกลิ่นอื่นในวงวาน diptyque แต่ก็ถือว่าน่าหยิบมาใช้เป็นอันดับต้นๆเมื่อเทียบกลับน้ำหอมกุหลาบแบรนด์อื่น ความจริงกลิ่นนี้ให้อารมณ์คาบเกี่ยวกับ Cafe’ Rose ของบ้าน Tom Ford เพราะกลิ่นนั้นจะให้อารมณ์กุหลาบหวานที่โอบล้อมในดงฝุ่น เพียงแต่เจ้านั้นไม่ใช่แป้งฝุ่น เป็นฝุ่นจากกาแฟ และกลิ่นกุหลาบออกจะตะโกนเรียกร้องความสนใจมากไปหน่อย มีความเป็นฟลอรัลแหลมเจือเมล็ดกาแฟอุ่นๆ แต่ Eau Capitale มีความละมุนนุ่มลึก หวานปนโศก 
เหมือนหญิงงามที่สง่าทว่านัยน์ตาโศก มีความลึกลับซ่อนอยู่ มีเรื่องราวเบื้องหลังที่คนไม่รู้ทำนองนั้น
..
เรื่องความติดทนไว้ใจศรีได้ เกินแปดชั่วโมง
 การกระจายก็ทำได้ดีจนคนทัก วันนั้นนั่งอยู่ในห้อง แล้วมีแขกมาหายืนอยู่หน้าประตู ขนาดใส่แมสยังถามเหมือนรำพึงกับตัวเองว่า “หอมจัง หอมอะ..หอมอะไร” แล้วก็หันหน้าหาต้นตอรอบทิศ ระยะห่างประมาณห้าเมตร นี่ได้แต่ยิ้มรับ ตอบในใจว่าน้ำหอมนี่เองค่ะ เพิ่งฉีดไปแค่ไม่กี่สเปรย์ หอมทะลุแมสก์เลยเหรอคะ..

กลิ่นค่อนข้าง Unisex ถึงแม้เราจะเป็นภาพเป็นโรสไททานิก หรือปริศนาของท่านชายพจน์ก็ตาม ความเป็นกุหลาบลึกลับทุ้มปนเศร้าโอบล้อมด้วยแป้งฝุ่น ทำให้ผู้ชายที่สะอาดขรึม สุภาพ นัยต์ตามีแววครุ่นคิดหน่อยๆก็สามารถใส่เสริมลุคน่าค้นหาได้สบาย
--
ถ้าให้คะแนนตามแง่มุมเป็นดังนี้
เอกลักษณ์ 9/10
ดีต่อใจ ผ่อนคลายผู้ใส่ 9/10
เย้ายวน ดึงดูดเพศตรงข้าม 9/10
โอกาสใช้งาน 8/10
ความติดทน 10/10
การกระจาย 10/10
Packaging ถ่ายทอดเรื่องราว 10/10
--
Note
Top: Bergamot, Pink Pepper
Middle: Rose
Base: Patchuli
*อ้างอิง Note กลิ่นจากเว็บ Fragrantica