สวัสดีครับ ผมขอออกตัวก่อนเลยว่าตัวผมเองไม่ใช่หมอหรือผู้เชี่ยวชาญอะไร เป็นแค่ผู้รับเชื้อและรักษามาแล้วราวๆ 2 ปี จึงอยากจะมาแนะนำแนวทางในการดูแล และอยากจะช่วยเหลือหลายๆ คนที่พลาดพลั้งไปแต่ไร้คำตอบว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต อย่างแรกผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับหากคุณติด HIV แต่การติดไม่ใช่หมายความว่าชีวิตคุณจะหมดสิ้นทุกอย่าง คุณอาจเสียใจได้ แต่อย่าพึ่งยอมแพ้ การรักษาในสมัยนี้ถือว่าดีมากถ้าเทียบกับสมัยก่อน ถ้าคุณศึกษาไปเรื่อยๆ จะรู้เลยว่า มันน่ากลัวน้อยกว่าการเป็นโรคความดันหรือเบาหวานซะอีก สำหรับเนื้อหาอาจยาวหน่อย แต่ถ้าขี้เกียจอ่าน เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อก็ได้ครับ ผมจะพยายามแยกให้อ่านง่ายที่สุดครับ
รู้ตัวว่าติด ไปที่ไหนดี
ถ้ายังกล้าๆ กลัว แนะนำตามคลินิกเฉพาะด้าน เช่น ใน กทม. ก็คลินิกนิรนาม (จังหวัดอื่นผมไม่มีความรู้) เพราะนอกจากจะให้คำแนะนำที่ดีมากๆ แล้วส่วนใหญ่เขาจะรู้วิธีปฏิบัติต่อเรา ผมเคยทราบบางเคสไป รพ. เจอหมอซักยังกับ ตร. สอบสวนผู้ต้องหา แถมพยาบาลนั่งเต็มห้องก็มี
การเตรียมตัว
สิ่งสำคัญของผู้ติดเชื้อเลยคือ คุณต้องรู้จัก ค่า
CD4 และค่า
Viral Load (VL) ของตัวเอง เพราะมันจะสัมพันธ์กับการดูแลตัวเองครับ CD4 คือ ค่าปริมาณของเม็ดเลือดขาวในร่างกาย ค่านี้บ่งบอกถึงอัตราการป้องกันการติดโรคต่างๆ โดยปกติคนทั่วไป จะมีค่า CD4 อยู่ที่ราวๆ 500 – 600 หน่วย (หรือมากกว่าแล้วแต่สุขภาพแต่ละคน) แต่สำหรับคนที่ติดเชื้อ ควรจะต้องพยายามอย่าให้ต่ำกว่า 200 หน่วย เพราะ มันเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนค่อนข้างมาก ในส่วนของ VL คือปริมาณของเชื้อ HIV ที่มีอยู่ในเลือดของเรา โดยค่านี้ควรที่จะต้องทำให้ต่ำที่สุดหรือก็คือ น้อยกว่า 20 ซึ่งเราจะเรียกว่าสภาวะ Undetected หรือก็คือตรวจไม่พบเชื้อ ซึ่งไม่สามารถแพร่เชื้อได้นั้นละ (จะขออธิบายเพิ่มต่อไปในหัวข้อ U = U)
อีกค่าที่สำคัญคือ ค่า ตับ ควรที่จะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ เพราะ ยาต้านดีๆ ส่วนใหญ่จะสามารถรับได้นั้น ค่าตับจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติหรือไม่สูงเกินไปที่จะรับ หมอจะเป็นคนพิจารณาเองว่ารับได้หรือไม่ และหากใครมีงบ ลองถามหมอเรื่องของการฉัดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเพิ่มด้วยว่าควรฉีดหรือไม่ จะดีมากครับ
ดังนั้นจึงข้อสรุปง่ายๆ คนติดเชื้อแล้วควรต้องรักษาค่า CD4 ให้มากกว่า 200 และค่า VL ให้น้อยกว่า 20 และค่าตับให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (ควรถามหมอทุกครั้งที่เข้าตรวจ) ส่วนการดูแลตัวเองก็ตามคนปกติทั่วไป ขอแค่ค่า CD4, VL และค่าตับ อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมก็พอครับ
การเตรียมใจ
ขอให้มี
สติปัญญา ครับ สติ คือ รู้ตัวว่าติด ยอมรับ แต่ไม่ใช่ยอมแพ้ การติด ไม่ใช่เท่ากับตาย แค่กินยาทุกวัน
(ติดเชื้อ = กินยา) เท่านั้นเอง และ ปัญญา คือพยายามติดตามข้อมูลไว้บ้าง เช่นการรักษา ข้อมูลยาต้านที่กิน แนะนำให้หาจากผู้ที่รู้จริงเช่น หมอ เจ้าหน้าที่อนามัยหรือที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่ดูเรื่องนี้เฉพาะ หรืออาจจะถามจากคนที่เข้ารับการรักษาอยู่ก็ได้ครับ และผมไม่อยากแนะนำให้ถามจากคนที่ไม่เป็นเท่าไรเพราะ จากประสบการณ์สิ่งที่ได้รับแนะนำ แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไร (แนะนำในสิ่งที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว) นอกจากแค่การให้กำลังใจ ถ้าแย่เจอคนที่มีอคติจะบันทอนกำลังใจตัวเองป่าวๆ สุดท้ายคือให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ เลิกด้อยค่าตัวเอง ผมมีทริคแนะนำคือ ทำตัวเองให้ดูดีเข้าไว้ หรือถือโอกาสเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเลย มันช่วยได้เยอะ ทุกวันนี้คนส่วนทักผมว่าดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเพราะส่วนนึงคือผมถือโอกาสเปลี่ยนตัวเอง ทุกวันนี้ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองด้อยค่าอะไรเลย
เกี่ยวกับยาต้าน
เมื่อเริ่มรับยาต้าน สิ่งที่ต้องรู้เลยคือ ต้องกินให้ตรงเวลาในทุกๆ วัน ดังนั้นขอให้เลือกเวลาที่กินให้ดีๆ ว่าควรกินเวลาไหนไม่ให้เกิดผลกระทบกับชีวิต ผมแนะนำว่าควรเลือกเวลาก่อนนอนเพราะยาต้านส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ทำให้มึนหัว และเผื่อเราไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานหรือที่บ้านรู้ว่าเรารับการรักษาอยู่ และควรหาความรู้ไว้บ้างว่ายาต้านที่เรากิน ไม่ควรกินคู่กับยาอะไร อย่างเช่นหมอได้แนะนำผมว่าถ้าจะต้องทานยาอะไรและไม่รู้ว่ามันชนกันหรือไม่ ก็ควรห่างจากการกินยาต้าน ไม่น้อยกว่า 2 – 3 ชม. และหากมีอาการแพ้ยาก็ควรรีบแจ้งหมอทันที
การเก็บยา แล้วแต่คนเลย หากไม่อยากให้ใครรู้ก็ใส่ในขวดวิตามินอะไรก็ว่าไป แต่แนะนำว่าควรถ่ายรูปขวดยาจริงเก็บไว้ด้วย เหตุผลจะอธิบายต่อไป
กินยาควรต้องตรงเวลาจริงๆ เลยไหม เลทได้ครับ ไม่เกิน 30 นาที – 1 ชม. ก็โอเค แต่อย่างให้บ่อย เดือนนึงสักครั้ง 2 ครั้ง ไม่เป็นไรครับ
สิ่งที่ไม่ควรทำเลยเกี่ยวกับการกินยาต้าน
1. หายาต้านมากินเอง หากเรายาไม่พอ หรือไม่ได้เตรียมยา ควรที่จะต้องขอจากโรงพยาบาลหรือคลินิคโดยตรง แนะนำว่าควรถ่ายรูปขวดยาเก็บไว้เผื่อกรณีต้องไปขอยาฉุกเฉิน เพราะยาต้านแต่ละตัว สูตรอาจไม่เหมือนกัน กินต่างสูตรกัน เสี่ยงเชื้อดื้อยาเอานะครับ
2. หาพวกสมุนไพรตัวโน้นตัวนี้มากินแทนยาต้านเพราะเชื่อว่าดีกว่ายาต้าน จะบอกว่าดีที่สุดคือยาต้านครับ แต่ถ้าอยากกิน (กินเสริมกับยาต้าน) ควรถามหมอที่รักษาก่อนครับ หรือถ้าจะกินพวกอาหารเสริมจริงๆ ผมแนะนำพวกวิตามินก็น่าจะดีกว่าเช่น วิตามินซี ที่จะช่วยในเรื่องป้องกันโรค เป็นต้น แต่ก็ต้องถามหมอก่อนนะครับ
3. หยุดยาเอง (แม้ว่า VL จะน้อยกว่า 20 แล้วก็ตาม) การกินยาต้านไม่ใช่การรักษาแบบหายขาด แต่เป็นการไปกดเชื้อให้น้อยลง ถ้าหยุดกินยาต้านเชื้อก็จะกลับมาเพิ่มเหมือนเดิม ดังนั้นไม่ควรอย่างยิ่งที่จะหยุดกินยาต้านเอง อีกทั้งการกินๆ หยุด เสี่ยงที่จะทำให้เชื้อดื้อยาอย่างมาก ซึ่งหากเชื้อดื้อยาจะทำให้การรักษายุ่งยากมากขึ้นเยอะ อาจต้องเปลี่ยนยาไปทานตัวที่มีเอฟเฟคที่เยอะขึ้น หรือถ้าแย่สุดคือยาต้านที่มีอยู่ใช้ไม่ได้เลย
U = U คืออะไร
คือ สถาวะที่เชื้อในร่างกายเรามีเชื้อน้อยกว่า 20 หรือก็คือตรวจ (แบบทั่วไป) ไม่พบเชื้อนั้นละ (Undetectable) และเมื่อเชื้อที่ตรวจพบนั้นมีน้อยกว่า 20 ในกระแสเลือด มันจึงไม่เพียงพอที่จะสามารถแพร่ให้คนอื่นได้ (Untransmittable) จึงเป็นที่มาของคำว่า U = U สำหรับคำว่าไม่แพร่เชื้อ ขนาดไหน ก็เท่าที่อ่านจากบทความ สอบถามจากหมอ หรือรู้จากคนใกล้ตัว คือ ต่อให้มีการพลาดหลั่งใน ก็ไม่ติดครับ (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งการป้องกันไปเลยนะเพราะยังมีความเสี่ยงจากกามโรคได้) จึงเป็นเหตุผลที่ว่าคนติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติครับ ผู้ติดเชื้อที่ผมทราบบางคนก็มีลูกกับภริยาด้วยวิธีธรรมชาติได้ปกติ โดยที่ภริยาไม่ติดเชื้อเลย
แต่ขอย้ำนะครับว่าควรที่จะต้องป้องกันทุกกรณี และหากจะสดกับใครก็ควรอยู่ในจุดที่คู่ของคุณควรทราบและป้องกันด้วย (กิน Prep เสริม) และการสดนั้นยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของกามโรคด้วยเช่นกัน
ทำไมคนติดเชื้อควรที่จะต้องทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะ U = U
อย่างแรกเลยคือเพื่อตัวเอง ค่า VL ที่สูง นอกจากจะไปทำลายค่า CD4 และทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดโรคแทรกซ้อนแล้ว VL ยังไปทำลายอัตราการฟื้นฟูค่า CD4 ด้วย เราจึงเห็นว่าทำไมบางคนรักษา HIV แทบจะไม่มีผลกระทบอะไรเลย เพราะเขาเข้ารับการรักษาในขณะที่ค่า VL ยังไม่สูงมากและค่า CD4 ยังไม่ถูกทำลายมาก ต่างจากคนที่เข้ารับการรักษาช้า ค่า VL สูง CD4 ต่ำ จะรักษายากกว่า (เพราะค่า CD4 ขึ้นช้า) ดังนั้นผมจึงอยากแนะนำว่า
ใครที่คิดว่ามีความเสี่ยงมา อย่าเดาสุ่มหรือถามจากคนอื่น ไปตรวจเถอะ ถ้ารู้ผลแล้วติดจริงก็จะได้รับการรักษาที่เร็วและจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณมากกว่า
ประโยชน์อย่างที่สอง คือ คุณจะไม่ได้พลาดทำบาปกับคนอื่น อย่างน้อยหากเกิดเหตุการผิดพลาด คู่ของคุณก็จะมีความเสี่ยงน้อยมากที่จะติดเชื้อจากตัวคุณ
เพิ่มเติม หมอบางคนจะเอาเกณฑ์ CD4 มาเป็นเกณฑ์ในการให้ยาต้าน ซึ่งปัจจุบันไม่น่าจะถูกต้อง ที่ถูกคือควรที่จะรับยาต้านทันทีที่พบเชื้อ ดังนั้นหากใครเจอหมอไม่ยอมจ่ายยาต้านแนะนำว่าควรถามต่อว่าเพราะอะไร ถ้าอ้างเรื่อง CD4 อย่างเดียว ควรปฏิเสธและยืนยันรับยาต้านเพื่อประโยชน์กับตัวคุณเองและคนอื่น (อันนี้หมอที่รักษาผมโดยตรงบอกมาว่าหมอยุคเก่าๆ มักเข้าใจผิดกันเยอะ)
อื่นๆ
1. ควรต้องบอกคนอื่นไหมว่าเป็น แล้วแต่เลยครับ แต่สำหรับผมไม่บอกเพราะจากประสบการณ์ จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะ ยังไม่มีคนเข้าใจอีกเยอะ และต่อให้เราอธิบายก็ไม่พยายามเข้าใจด้วย ไม่บอกแล้วทำตัวเองให้เป็นปกติดีกว่าครับ ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้บอกใครว่าติด และก็ไม่มีใครสงสัยด้วย ส่วนหนึ่งเพราะผมดูแลตัวเองและใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติเลยไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นด้วยละ
2. จะส่งผลกระทบกับการหางานไหม ในปัจจุบันการของตรวจ HIV กฎหมายกำหนดเลยว่าต้องได้รับอนุญาตจากเรา จากประสบการณ์ บริษัทส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่มีการขอตรวจ หรือแม้แต่ตรวจสุขภาพประจำปี ผมก็ไม่เคยโดนเรียกตรวจนะ ประเด็นเดียวที่อาจจะขอตรวจคือตัวคุณเองทำให้เขาสงสัย เช่น ป่วยบ่อยเกิน สภาพร่างกายบ่งบอกชัดเช่น ตัวคล้ำ ผอมลง อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นแทนที่จะกังวลเรื่องนี้ คุณควรดูแลตัวเองแทน กินยาให้ตรง ออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำให้ร่างกายเป็นอย่างปกติอย่างที่เคยเป็น แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
3. ทำไมคนส่วนใหญ่ยังไม่เปิดใจและยังรังเกียจ ถ้าถามผม เพราะ เราไม่สามารถแยกได้ว่าใครเป็น ผู้รับเชื้อ HIV ชั้นดีหรือชั้นเลว (ขอใช้คำนี้เลยแล้วกัน) ซึ่งจะดูได้ก็ต้องเจาะเลือดดูผลเท่านั้น; HIV ชั้นดี ก็อย่างที่ทราบ กินยาสม่ำเสมอ เข้ารับการตรวจเป็นประจำ จนค่า CD 4 กับ VL อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมอยู่ตลอด ในส่วน HIV ชั้นเลว คือ นอกจากไม่ยอมเข้ารับการรักษา บางรายจงใจแพร่เชื้อ บางรายกินยาบางไม่กินบางจนเกิดเชื้อแบบดื้อยาแล้วไปแพร่ (อันนี้คือเลวมาก) ซึ่งในปัจจุบันเราต้องยอมรับว่า ผู้รับเชื้อ HIV ชั้นเลว มีอยู่เยอะกว่ามาก ดังนั้นผู้ติดเชื้อ HIV ส่วนใหญ่จึงถูกเหมารวมหมด จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะไม่เปิดเผยว่ามีเชื้อ
4. ในอนาคตจะรักษาหายไหม เท่าที่ตามข่าว ปัจจุบันทั่วโลกมีคนหายจาก HIV แล้ว 3 ราย (จากเหตุบังเอิญเนื่องมาจากการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ รายละเอียดลองไปหาอ่านดูนะครับ) และตอนนี้การวิจัยดีขึ้นมากแล้วครับ ผมจึงเชื่อว่าแนวโน้มการรักษา HIV จึงน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ดังนั้นอย่าพึ่งยอมแพ้หรือถอดใจกันนะครับ สู้ๆ ไปด้วยกัน
เท่าที่นึกออกก็น่าจะประมาณนี้ ปัจจุบันค่า CD4 ผมเองค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับคนปกติและค่า VL ก็ต่ำกว่า 20 แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ใช้ชีวิตแทบจะไม่ต่างอะไรก่อนรับเชื้อ จะมีก็แค่เพิ่มยาต้านไปอีกตัว และปรับแผนดูแลตัวเองเพราะไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองดูแย่ลง สุดท้ายผมหวังว่ารายละเอียดที่ผมสรุปมาจะเป็นประโยชน์กับท่านอื่นไม่มากก็น้อย และหากท่านใดอยากปรึกษาก็ทักมาได้ทาง inbox หรือการกระทู้นี้นะครับ (ผมจะตอบเท่าที่ตอบได้) แต่ผมขอสงวนสิทธิในการติดต่อในช่องทางอื่น เพราะผมเองก็ยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวตนครับผม และหากข้อมูลผมผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับผม
ติด HIV แล้วทำอย่างไรดี มีคำตอบให้
รู้ตัวว่าติด ไปที่ไหนดี
ถ้ายังกล้าๆ กลัว แนะนำตามคลินิกเฉพาะด้าน เช่น ใน กทม. ก็คลินิกนิรนาม (จังหวัดอื่นผมไม่มีความรู้) เพราะนอกจากจะให้คำแนะนำที่ดีมากๆ แล้วส่วนใหญ่เขาจะรู้วิธีปฏิบัติต่อเรา ผมเคยทราบบางเคสไป รพ. เจอหมอซักยังกับ ตร. สอบสวนผู้ต้องหา แถมพยาบาลนั่งเต็มห้องก็มี
การเตรียมตัว
สิ่งสำคัญของผู้ติดเชื้อเลยคือ คุณต้องรู้จัก ค่า CD4 และค่า Viral Load (VL) ของตัวเอง เพราะมันจะสัมพันธ์กับการดูแลตัวเองครับ CD4 คือ ค่าปริมาณของเม็ดเลือดขาวในร่างกาย ค่านี้บ่งบอกถึงอัตราการป้องกันการติดโรคต่างๆ โดยปกติคนทั่วไป จะมีค่า CD4 อยู่ที่ราวๆ 500 – 600 หน่วย (หรือมากกว่าแล้วแต่สุขภาพแต่ละคน) แต่สำหรับคนที่ติดเชื้อ ควรจะต้องพยายามอย่าให้ต่ำกว่า 200 หน่วย เพราะ มันเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนค่อนข้างมาก ในส่วนของ VL คือปริมาณของเชื้อ HIV ที่มีอยู่ในเลือดของเรา โดยค่านี้ควรที่จะต้องทำให้ต่ำที่สุดหรือก็คือ น้อยกว่า 20 ซึ่งเราจะเรียกว่าสภาวะ Undetected หรือก็คือตรวจไม่พบเชื้อ ซึ่งไม่สามารถแพร่เชื้อได้นั้นละ (จะขออธิบายเพิ่มต่อไปในหัวข้อ U = U)
อีกค่าที่สำคัญคือ ค่า ตับ ควรที่จะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ เพราะ ยาต้านดีๆ ส่วนใหญ่จะสามารถรับได้นั้น ค่าตับจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติหรือไม่สูงเกินไปที่จะรับ หมอจะเป็นคนพิจารณาเองว่ารับได้หรือไม่ และหากใครมีงบ ลองถามหมอเรื่องของการฉัดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเพิ่มด้วยว่าควรฉีดหรือไม่ จะดีมากครับ
ดังนั้นจึงข้อสรุปง่ายๆ คนติดเชื้อแล้วควรต้องรักษาค่า CD4 ให้มากกว่า 200 และค่า VL ให้น้อยกว่า 20 และค่าตับให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (ควรถามหมอทุกครั้งที่เข้าตรวจ) ส่วนการดูแลตัวเองก็ตามคนปกติทั่วไป ขอแค่ค่า CD4, VL และค่าตับ อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมก็พอครับ
การเตรียมใจ
ขอให้มี สติปัญญา ครับ สติ คือ รู้ตัวว่าติด ยอมรับ แต่ไม่ใช่ยอมแพ้ การติด ไม่ใช่เท่ากับตาย แค่กินยาทุกวัน (ติดเชื้อ = กินยา) เท่านั้นเอง และ ปัญญา คือพยายามติดตามข้อมูลไว้บ้าง เช่นการรักษา ข้อมูลยาต้านที่กิน แนะนำให้หาจากผู้ที่รู้จริงเช่น หมอ เจ้าหน้าที่อนามัยหรือที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่ดูเรื่องนี้เฉพาะ หรืออาจจะถามจากคนที่เข้ารับการรักษาอยู่ก็ได้ครับ และผมไม่อยากแนะนำให้ถามจากคนที่ไม่เป็นเท่าไรเพราะ จากประสบการณ์สิ่งที่ได้รับแนะนำ แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไร (แนะนำในสิ่งที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว) นอกจากแค่การให้กำลังใจ ถ้าแย่เจอคนที่มีอคติจะบันทอนกำลังใจตัวเองป่าวๆ สุดท้ายคือให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ เลิกด้อยค่าตัวเอง ผมมีทริคแนะนำคือ ทำตัวเองให้ดูดีเข้าไว้ หรือถือโอกาสเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเลย มันช่วยได้เยอะ ทุกวันนี้คนส่วนทักผมว่าดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเพราะส่วนนึงคือผมถือโอกาสเปลี่ยนตัวเอง ทุกวันนี้ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองด้อยค่าอะไรเลย
เกี่ยวกับยาต้าน
เมื่อเริ่มรับยาต้าน สิ่งที่ต้องรู้เลยคือ ต้องกินให้ตรงเวลาในทุกๆ วัน ดังนั้นขอให้เลือกเวลาที่กินให้ดีๆ ว่าควรกินเวลาไหนไม่ให้เกิดผลกระทบกับชีวิต ผมแนะนำว่าควรเลือกเวลาก่อนนอนเพราะยาต้านส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ทำให้มึนหัว และเผื่อเราไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานหรือที่บ้านรู้ว่าเรารับการรักษาอยู่ และควรหาความรู้ไว้บ้างว่ายาต้านที่เรากิน ไม่ควรกินคู่กับยาอะไร อย่างเช่นหมอได้แนะนำผมว่าถ้าจะต้องทานยาอะไรและไม่รู้ว่ามันชนกันหรือไม่ ก็ควรห่างจากการกินยาต้าน ไม่น้อยกว่า 2 – 3 ชม. และหากมีอาการแพ้ยาก็ควรรีบแจ้งหมอทันที
การเก็บยา แล้วแต่คนเลย หากไม่อยากให้ใครรู้ก็ใส่ในขวดวิตามินอะไรก็ว่าไป แต่แนะนำว่าควรถ่ายรูปขวดยาจริงเก็บไว้ด้วย เหตุผลจะอธิบายต่อไป
กินยาควรต้องตรงเวลาจริงๆ เลยไหม เลทได้ครับ ไม่เกิน 30 นาที – 1 ชม. ก็โอเค แต่อย่างให้บ่อย เดือนนึงสักครั้ง 2 ครั้ง ไม่เป็นไรครับ
สิ่งที่ไม่ควรทำเลยเกี่ยวกับการกินยาต้าน
1. หายาต้านมากินเอง หากเรายาไม่พอ หรือไม่ได้เตรียมยา ควรที่จะต้องขอจากโรงพยาบาลหรือคลินิคโดยตรง แนะนำว่าควรถ่ายรูปขวดยาเก็บไว้เผื่อกรณีต้องไปขอยาฉุกเฉิน เพราะยาต้านแต่ละตัว สูตรอาจไม่เหมือนกัน กินต่างสูตรกัน เสี่ยงเชื้อดื้อยาเอานะครับ
2. หาพวกสมุนไพรตัวโน้นตัวนี้มากินแทนยาต้านเพราะเชื่อว่าดีกว่ายาต้าน จะบอกว่าดีที่สุดคือยาต้านครับ แต่ถ้าอยากกิน (กินเสริมกับยาต้าน) ควรถามหมอที่รักษาก่อนครับ หรือถ้าจะกินพวกอาหารเสริมจริงๆ ผมแนะนำพวกวิตามินก็น่าจะดีกว่าเช่น วิตามินซี ที่จะช่วยในเรื่องป้องกันโรค เป็นต้น แต่ก็ต้องถามหมอก่อนนะครับ
3. หยุดยาเอง (แม้ว่า VL จะน้อยกว่า 20 แล้วก็ตาม) การกินยาต้านไม่ใช่การรักษาแบบหายขาด แต่เป็นการไปกดเชื้อให้น้อยลง ถ้าหยุดกินยาต้านเชื้อก็จะกลับมาเพิ่มเหมือนเดิม ดังนั้นไม่ควรอย่างยิ่งที่จะหยุดกินยาต้านเอง อีกทั้งการกินๆ หยุด เสี่ยงที่จะทำให้เชื้อดื้อยาอย่างมาก ซึ่งหากเชื้อดื้อยาจะทำให้การรักษายุ่งยากมากขึ้นเยอะ อาจต้องเปลี่ยนยาไปทานตัวที่มีเอฟเฟคที่เยอะขึ้น หรือถ้าแย่สุดคือยาต้านที่มีอยู่ใช้ไม่ได้เลย
U = U คืออะไร
คือ สถาวะที่เชื้อในร่างกายเรามีเชื้อน้อยกว่า 20 หรือก็คือตรวจ (แบบทั่วไป) ไม่พบเชื้อนั้นละ (Undetectable) และเมื่อเชื้อที่ตรวจพบนั้นมีน้อยกว่า 20 ในกระแสเลือด มันจึงไม่เพียงพอที่จะสามารถแพร่ให้คนอื่นได้ (Untransmittable) จึงเป็นที่มาของคำว่า U = U สำหรับคำว่าไม่แพร่เชื้อ ขนาดไหน ก็เท่าที่อ่านจากบทความ สอบถามจากหมอ หรือรู้จากคนใกล้ตัว คือ ต่อให้มีการพลาดหลั่งใน ก็ไม่ติดครับ (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งการป้องกันไปเลยนะเพราะยังมีความเสี่ยงจากกามโรคได้) จึงเป็นเหตุผลที่ว่าคนติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติครับ ผู้ติดเชื้อที่ผมทราบบางคนก็มีลูกกับภริยาด้วยวิธีธรรมชาติได้ปกติ โดยที่ภริยาไม่ติดเชื้อเลย
แต่ขอย้ำนะครับว่าควรที่จะต้องป้องกันทุกกรณี และหากจะสดกับใครก็ควรอยู่ในจุดที่คู่ของคุณควรทราบและป้องกันด้วย (กิน Prep เสริม) และการสดนั้นยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของกามโรคด้วยเช่นกัน
ทำไมคนติดเชื้อควรที่จะต้องทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะ U = U
อย่างแรกเลยคือเพื่อตัวเอง ค่า VL ที่สูง นอกจากจะไปทำลายค่า CD4 และทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดโรคแทรกซ้อนแล้ว VL ยังไปทำลายอัตราการฟื้นฟูค่า CD4 ด้วย เราจึงเห็นว่าทำไมบางคนรักษา HIV แทบจะไม่มีผลกระทบอะไรเลย เพราะเขาเข้ารับการรักษาในขณะที่ค่า VL ยังไม่สูงมากและค่า CD4 ยังไม่ถูกทำลายมาก ต่างจากคนที่เข้ารับการรักษาช้า ค่า VL สูง CD4 ต่ำ จะรักษายากกว่า (เพราะค่า CD4 ขึ้นช้า) ดังนั้นผมจึงอยากแนะนำว่าใครที่คิดว่ามีความเสี่ยงมา อย่าเดาสุ่มหรือถามจากคนอื่น ไปตรวจเถอะ ถ้ารู้ผลแล้วติดจริงก็จะได้รับการรักษาที่เร็วและจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณมากกว่า
ประโยชน์อย่างที่สอง คือ คุณจะไม่ได้พลาดทำบาปกับคนอื่น อย่างน้อยหากเกิดเหตุการผิดพลาด คู่ของคุณก็จะมีความเสี่ยงน้อยมากที่จะติดเชื้อจากตัวคุณ
เพิ่มเติม หมอบางคนจะเอาเกณฑ์ CD4 มาเป็นเกณฑ์ในการให้ยาต้าน ซึ่งปัจจุบันไม่น่าจะถูกต้อง ที่ถูกคือควรที่จะรับยาต้านทันทีที่พบเชื้อ ดังนั้นหากใครเจอหมอไม่ยอมจ่ายยาต้านแนะนำว่าควรถามต่อว่าเพราะอะไร ถ้าอ้างเรื่อง CD4 อย่างเดียว ควรปฏิเสธและยืนยันรับยาต้านเพื่อประโยชน์กับตัวคุณเองและคนอื่น (อันนี้หมอที่รักษาผมโดยตรงบอกมาว่าหมอยุคเก่าๆ มักเข้าใจผิดกันเยอะ)
อื่นๆ
1. ควรต้องบอกคนอื่นไหมว่าเป็น แล้วแต่เลยครับ แต่สำหรับผมไม่บอกเพราะจากประสบการณ์ จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะ ยังไม่มีคนเข้าใจอีกเยอะ และต่อให้เราอธิบายก็ไม่พยายามเข้าใจด้วย ไม่บอกแล้วทำตัวเองให้เป็นปกติดีกว่าครับ ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้บอกใครว่าติด และก็ไม่มีใครสงสัยด้วย ส่วนหนึ่งเพราะผมดูแลตัวเองและใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติเลยไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นด้วยละ
2. จะส่งผลกระทบกับการหางานไหม ในปัจจุบันการของตรวจ HIV กฎหมายกำหนดเลยว่าต้องได้รับอนุญาตจากเรา จากประสบการณ์ บริษัทส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่มีการขอตรวจ หรือแม้แต่ตรวจสุขภาพประจำปี ผมก็ไม่เคยโดนเรียกตรวจนะ ประเด็นเดียวที่อาจจะขอตรวจคือตัวคุณเองทำให้เขาสงสัย เช่น ป่วยบ่อยเกิน สภาพร่างกายบ่งบอกชัดเช่น ตัวคล้ำ ผอมลง อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นแทนที่จะกังวลเรื่องนี้ คุณควรดูแลตัวเองแทน กินยาให้ตรง ออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำให้ร่างกายเป็นอย่างปกติอย่างที่เคยเป็น แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
3. ทำไมคนส่วนใหญ่ยังไม่เปิดใจและยังรังเกียจ ถ้าถามผม เพราะ เราไม่สามารถแยกได้ว่าใครเป็น ผู้รับเชื้อ HIV ชั้นดีหรือชั้นเลว (ขอใช้คำนี้เลยแล้วกัน) ซึ่งจะดูได้ก็ต้องเจาะเลือดดูผลเท่านั้น; HIV ชั้นดี ก็อย่างที่ทราบ กินยาสม่ำเสมอ เข้ารับการตรวจเป็นประจำ จนค่า CD 4 กับ VL อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมอยู่ตลอด ในส่วน HIV ชั้นเลว คือ นอกจากไม่ยอมเข้ารับการรักษา บางรายจงใจแพร่เชื้อ บางรายกินยาบางไม่กินบางจนเกิดเชื้อแบบดื้อยาแล้วไปแพร่ (อันนี้คือเลวมาก) ซึ่งในปัจจุบันเราต้องยอมรับว่า ผู้รับเชื้อ HIV ชั้นเลว มีอยู่เยอะกว่ามาก ดังนั้นผู้ติดเชื้อ HIV ส่วนใหญ่จึงถูกเหมารวมหมด จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะไม่เปิดเผยว่ามีเชื้อ
4. ในอนาคตจะรักษาหายไหม เท่าที่ตามข่าว ปัจจุบันทั่วโลกมีคนหายจาก HIV แล้ว 3 ราย (จากเหตุบังเอิญเนื่องมาจากการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ รายละเอียดลองไปหาอ่านดูนะครับ) และตอนนี้การวิจัยดีขึ้นมากแล้วครับ ผมจึงเชื่อว่าแนวโน้มการรักษา HIV จึงน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ดังนั้นอย่าพึ่งยอมแพ้หรือถอดใจกันนะครับ สู้ๆ ไปด้วยกัน
เท่าที่นึกออกก็น่าจะประมาณนี้ ปัจจุบันค่า CD4 ผมเองค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับคนปกติและค่า VL ก็ต่ำกว่า 20 แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ใช้ชีวิตแทบจะไม่ต่างอะไรก่อนรับเชื้อ จะมีก็แค่เพิ่มยาต้านไปอีกตัว และปรับแผนดูแลตัวเองเพราะไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองดูแย่ลง สุดท้ายผมหวังว่ารายละเอียดที่ผมสรุปมาจะเป็นประโยชน์กับท่านอื่นไม่มากก็น้อย และหากท่านใดอยากปรึกษาก็ทักมาได้ทาง inbox หรือการกระทู้นี้นะครับ (ผมจะตอบเท่าที่ตอบได้) แต่ผมขอสงวนสิทธิในการติดต่อในช่องทางอื่น เพราะผมเองก็ยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวตนครับผม และหากข้อมูลผมผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับผม