คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
มันเป็นเรื่องปกติของการตอบรับจากการเลี้ยงดู และ ประสบกาณ์ที่เขาเจอมานะครับ
คำกล่าวที่ว่า ปลูกอะไร ย่อมออกผลเป็นสิ่งนั้น ก็ยังใช้ได้เรื่อยๆอยู่
นั่นหมายถึงว่า มีพ่อแม่หลายๆคน ปลูก สะเดา แล้วอยากให้ออกผลเป็นมะม่วง
มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
ไม่ใช่แค่อยากได้ผลก็จะได้ผล แต่เราควรดูแล รดน้ำ ใส่ใจมันด้วยนะครับ
ไม่งั้น ปลูกมะม่วงไปแครแกรน แมลงลง ก็อดเช่นกัน
แล้วหากดูแลดีๆ มะม่วงก็จะต่อยอดไปเรื่อยๆ เมล็ดหล่นลงพื้น งอกใหม่ เราก็ได้กินอีก เรื่อยๆ
คำกล่าวที่ว่า ปลูกอะไร ย่อมออกผลเป็นสิ่งนั้น ก็ยังใช้ได้เรื่อยๆอยู่
นั่นหมายถึงว่า มีพ่อแม่หลายๆคน ปลูก สะเดา แล้วอยากให้ออกผลเป็นมะม่วง
มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
ไม่ใช่แค่อยากได้ผลก็จะได้ผล แต่เราควรดูแล รดน้ำ ใส่ใจมันด้วยนะครับ
ไม่งั้น ปลูกมะม่วงไปแครแกรน แมลงลง ก็อดเช่นกัน
แล้วหากดูแลดีๆ มะม่วงก็จะต่อยอดไปเรื่อยๆ เมล็ดหล่นลงพื้น งอกใหม่ เราก็ได้กินอีก เรื่อยๆ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
อยากเท่ อยากแนว ดูอยู่นอกกรอบ หาข้ออ้างไม่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ข้ออ้างพวกนี้จะมาแนวๆเดัยวกันคือ
-ไม่ได้อยากเกิด แต่พ่อแม่เป็นคนอยากให้เกิดมาเอง ตัวเองเกิดมาสนองพ่อแม่แล้ว ต้องเลี้ยงดูตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ถือเป็นบุญคุณกัน
-ทั้งๆที่ความเป็นจริงพ่อแม่ให้เกิดมา แต่มีสิทธิที่จะเลี้ยงแบบส่งๆก็ได้ ไม่ต้องหาของดีๆให้ ไม่ต้องดูแลอย่างดี ไม่ต้องส่งเรียนสูง ไม่ต้องยกทรัพย์สินอะไรให้ก็ได้ แค่เลี้ยงให้โตและส่งเรียนตามกฎหมายกำหนดแล้วปล่อยยังได้ แต่หลายคนไม่ทำเพราะเขารัก บุญคุณจึงอยู่ที่การเลี้ยงดู ไม่ใช่ทำให้เกิดมา
-ไม่ได้อยากเกิด แต่พ่อแม่เป็นคนอยากให้เกิดมาเอง ตัวเองเกิดมาสนองพ่อแม่แล้ว ต้องเลี้ยงดูตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ถือเป็นบุญคุณกัน
-ทั้งๆที่ความเป็นจริงพ่อแม่ให้เกิดมา แต่มีสิทธิที่จะเลี้ยงแบบส่งๆก็ได้ ไม่ต้องหาของดีๆให้ ไม่ต้องดูแลอย่างดี ไม่ต้องส่งเรียนสูง ไม่ต้องยกทรัพย์สินอะไรให้ก็ได้ แค่เลี้ยงให้โตและส่งเรียนตามกฎหมายกำหนดแล้วปล่อยยังได้ แต่หลายคนไม่ทำเพราะเขารัก บุญคุณจึงอยู่ที่การเลี้ยงดู ไม่ใช่ทำให้เกิดมา
แสดงความคิดเห็น
ทำไมเด็กสมัยนี้มักจะตั้งคำถามเกี่ยวกับความกตัญญูในการเลี้ยงดูบุพการี
เราคิดว่าคนที่เข้ามาตั้งกระทู้ นอกจากจะเด็กแล้ว ประสบการณ์น้อย หรือไม่ก็ พ่อ-แม่ ให้ความสำคัญกับลูกมากเกินไปจนกลายเป็น ศูนย์รวมจักรวาล ปัญหานีส่วนตัวคิดว่าจะว่าแต่เด็กไม่ได้ คนไทยหลายเปอร์เซนต์ยังเลี้ยงลูกแบบนี้อยู่ จริงๆ มันคือความรักความผูกพันแหละ แต่เท่าที่เคยอยู่อเมริกามาหลายปี เราพบว่า ครอบครัวเค้าโดยมากเลี้ยงลูกให้พึ่งพาตัวเอง ดังนั้น สังคมของเด็กที่เรียนจบ High School /College มักจะต้องมีงานทำ หรือ บางคนทำงานตั้งแต่ยังไม่จบก็มี อันนี้คือคนส่วนใหญ่ที่ฐานะปานกลาง เด็กก็อยากหางานเพราะเพื่อนๆ ก็ทำงานกันทั้งนั้น ถ้าไม่ทำก็จะถูกบูลลี่หรือมองแปลกๆ อายุ 20 ปี ถ้ายังอาศัยอยู่กับพ่อ-แม่ คือแปลกมากกกกกกกกกกกกกกกกก คนในหมู่บ้านนี่คือ เห็นหน้าปั๊บ นินทาปุ๊บ แบบหนังไทยนั่นแหละ
ทีนี้ภาษีในแต่ละรัฐที่เรียกเก็บไม่เท่ากันนั้น ก็จะมีสวัสดิการให้ไม่เหมือนกันไปด้วย แต่ประชากรส่งภาษีไหวไง เพราะเลี้ยงลูกเต็มที่ก็ 20 ปี พ่อแม่หลายคนอายุยังไม่มาก มีปัญญาส่งภาษีอีกเกือบ 30 ปีหรือมากกว่า เอาค่าภาษีคูณจำนวนปีที่รัฐฯ เอาเงินไปหมุน มันก็แน่นอนว่า รัฐต้องเอาดอกฯ มาเลี้ยงคนของตัวเองผ่าน Social Security
ส่วนคนไทยนั้น........... เลี้ยงลูกอุ้มชูฟูมฝักตั้งแต่เกิดไปยัน 40-50 ปีก็มี ประมาณไม่แต่งฯ พ่อ-แม่ก็เลี้ยงได้ มีให้เห็นอยู่ เด๋วนี้คนไทยแต่งงานช้า บางคน 30 กว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แวว ผู้ชายบางคนเกือบ 40 เพิ่งแต่งภรรยา กว่าจะได้ลูกตัวก็ 40 กว่าเข้าไปแล้ว ยิ่งแก่เรายิ่งมีความรักและผูกพันกับสายเลือดตัวเอง ลูกที่เราเลี้ยงเลยกลายเป็นลูกเทวดา เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อยากได้อะไรก็มีคนหามาให้ จนแทบไม่สนแล้วว่า พ่อ-แม่หาเงินได้เดือนเท่าไหร่ ภาระค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ แล้วต้องมาสนองความต้องการลูกเนี่ยะ กู้หนี้ยืมเงินใครมา เห้อ.............
ถ้าไม่ใช่แบบข้างต้น ก็จะเป็นแบบเลี้ยงลูกมาประหนึ่งคนใช้ เกิดมาก็ต้องทำงานบ้าน โตมาหาตังค์ได้ก็ต้องมาโดนกดดันให้ส่งครอบครัว หรือไม่บางครอบครัวก็ขายลูกแลกเงินกันก็ยังพอเห็น
เอวัง ก็เลยอาจจะทำให้เด็กไทยสมัยนี้มี Question กับการเลี้ยงดู กตัญญู พ่อ-แม่ ก็เป็นได้