โลกของจักวรรดิใหญ่ ไล่กินประเทศเล็กๆ กำลังกลับสู่อารยธรรมมนุษย์ดังเดิม ?

พวกเราส่วนใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ในโลกปัจบันนี้ อาจไม่ทราบว่า 
หากเรามองโลกด้วยสายตาของมนุษย์อมตะ ที่เฝ้ามองหมู่มวลมนุษยชาติ
มาตั้งแต่เริ่มสร้างอารยธรรม เป็นเวลานานกว่า 5 พันปีแล้ว 
จะพบว่า โลกของมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ มีเรื่องหนึ่งที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
นั่นคือ 
“ทำไมถึงไม่ค่อยมีเรื่องราวของจักรวรรดิใหญ่ๆ เที่ยวบุกยึดครองประเทศเล็กๆ แล้วผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตนเลย ?”

เพราะตั้งแต่เริ่มอารยธรรมมนุษย์ 5 พันปีที่ผ่านมา 
ทุกมุมโลก ทุกช่วงเวลา เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ 
พอประเทศหนึ่ง เกิดมีกำลังกล้าแข็งขึ้นมา 
ก็จะโจมตียึดดินแดน ไพร่พล ของประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ
ประเทศที่ประสบความสำเร็จมากกว่าใครในภูมิภาคนั้น
ก็จะกลายสภาพเป็นจักรวรรดิ (Empire) 
จากนั้น ก็จะไล่กลืนกิน ผนวกดินแดนของประเทศเล็กๆ มาเป็นของตนอย่างไม่หยุดหย่อน จนกลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่มหึมา

ซึ่งเรื่องราวของ ปลาใหญ่ไล่กินปลาเล็ก แบบนี้แหละ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เรา เช่นเดียวกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย 

สำหรับยุคปัจจุบัน จริงอยู่ที่ว่า สงคราม การรบพุ่ง ยังคงมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก
มหาอำนาจอย่างอเมริกา รัสเซีย ก็ยังเข้าแทรกแซงการสงครามทั่วโลกอยู่
แต่ส่วนใหญ่ เป็นการรบกันแบบจำกัด แล้วรีบเข้าสู่โต๊ะเจรจา 

ซึ่งสเกลเทียบไม่ได้เลย กับสงครามของจักรวรรดิโบราณ เช่น โรมันบุกยึดคาร์เทจ หรือ เจงกีสข่านบุกยึดประเทศจีน 
ที่เป็นการรบแบบ ยกทัพกันมาหมดหน้าตัก เพื่อกลืนกินประเทศที่เล็กกว่า เข้าเป็นส่วนหนึ่งของตนไปเลย 

ทีนี้ ไอ้เจ้าความผิดปกติเรื่อง การขาดแคลนเรื่องราวของจักวรรดิใหญ่ ไล่กินประเทศเล็กๆ ในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมานี้  มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

เอาตรงๆแล้ว ยังไม่มีใครรู้ ว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร  แต่ก็มีคนคาดเดาปัจจัยต่างๆ แตกต่างกันไป

คนกลุ่มแรกเชื่อว่า เป็นเพราะมนุษย์ในยุคปัจจุบันพัฒนาขึ้นแล้ว ผ่านพ้นยุคสมัยของการสร้างจักวรรดิไปแล้ว 
ดังนั้น เรื่องของจักรวรรดิใหญ่ ที่กรีฑาทัพมามืดฟ้ามัวดิน เพื่อกลืนกินประเทศเล็กๆ  จึงกลายเป็นแค่ เรื่องที่อยู่ในตำราประวัติศาสตร์

ผมเอง เดิมทีก็เชื่อแบบคนกลุ่มแรกนี้
แต่ว่า เหตุการณ์หลายอย่างรอบโลกในช่วงเวลานี้ ทำให้เริ่มไม่ค่อยแน่ใจ 
ทั้งเรื่องของ รัสเซียบุกยึดยูเครน อิสราเอลค่อยๆยึดพื้นที่จากปาเลสไตน์ 
หรือ จีนที่ชูนโยบายจีนเดียว และมีแผนจะผนวกไต้หวัน 

ทำให้นึกไปถึง ความเชื่อของคนกลุ่มที่สอง ที่เชื่อว่า 
การขาดแคลนเรื่องราวของจักวรรดิใหญ่ ไล่กินประเทศเล็กๆ 
ในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่สลักสำคัญอะไรหรอก

แต่เกิดจาก ความบังเอิญแบบสุ่ม (Random effect)

เปรียบเสมือน ท้องทะเล ที่เราเห็นมันมีคลื่นลมอยู่ทั้งวันทั้งคืน
แต่ถ้าเราไปนั่งเฝ้าจับจ้องท้องทะเลทั้งวันจริงๆ 
จะพบว่ามีอยู่บางช่วง ที่ทะเลกลับราบเรียบ สงบ ไร้คลื่นลม
จนเราประหลาดใจ นึกว่า ทะเลมันปฏิวัติตัวเองไม่ให้มีคลื่นไปแล้ว
แต่พอผ่านไป 5-10 นาที ทะเลก็กลับมีคลื่นลมตามเดิม

ดังนั้น สภาวะไร้คลื่นลมชั่วคราวที่เราเห็น ก็ไม่ได้มีอะไรมาก 
เป็นแค่ ความบังเอิญแบบสุ่ม (Random effect) ของท้องทะเล เท่านั้นเอง

ดังนั้น อารยธรรมมนุษย์ ผ่านมายาวนานตั้ง 5 พันปี 
จะมีช่วงเวลาที่ จักวรรดิใหญ่ๆ บังเอิญหยุดไล่ผนวกประเทศเล็กๆ 
เป็นช่วงสั้นๆ 30-40 ปี ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก 
เหมือนทะเลที่บังเอิญไร้คลื่นลมไปสัก 5 นาที
หลังจากนั้น ยุคของจักวรรดิ (Empire) ก็จะค่อยๆ กลับมาสู่อารยธรรมมนุษย์ตามเดิม
ตามธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์โลก นั่นคือ
ปลาใหญ่ ย่อมไล่กินปลาเล็ก 

มาถึงตรงนี้แล้ว คำถามที่อยากถามทุกท่านก็คือ

1) ท่านคิดว่า มีความเป็นไปได้มากแค่ไหนที่ ยุคของจักรวรรดิจะกลับมาสู่โลกของเราอีกครั้ง  และ เพราะเหตุใดจึงคิดเช่นนั้น ? 

2) หากยุคของจักวรรดิ กลับมาสู่โลกของเราจริงๆ ในบริบทของศตวรรษที่ 21 นี้ จะแตกต่างจากโลกยุคโบราณอย่างไร  เหล่าคนเดินถนนอย่างพวกเรา จะต้องปรับตัวอย่างไร จะมีทางพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ไหม ?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่