นับตั้งแต่นาทีที่ 41 เป็นต้นมาทรงบอลดุดันและไหลลื่นของ แมนฯยูฯ หายไปพร้อมๆกับสมาธิที่ทุกคนมองผู้ตัดสินเป็นปฏิปักษ์หรือศัตรูคนที่ 12 ก่อนต้องจอดป้าย 16 ทีมสุดท้าย UCL
ผู้ตัดสิน สลาฟโก้ วินซิช เลือกที่จะ wave play on ในจังหวะที่ อันโธนี่ เอลังก้า ถูก เรนิลโด้ มันดาว่า กระชากถูไถ ส่วนตัวผมคิดว่าควรเป่าตั้งแต่ดึงสเต็ปแรกแล้วเพราะ เอลังก้า สปีดเร็วกว่าแถมตัวนำไปด้วย ในเชิงเทคนิคคือได้เปรียบทุกทาง (ไม่ใช่ออกแนวตีคู่ขนาบข้าง)
ตรงนี้เองครับที่ทำให้นักเตะเจ้าถิ่นเสียสมาธิเพราะคิดว่าจะได้ฟาว์ลโดย คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ไม่ตามบอลและเดินบ่นกับผู้ตัดสินซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ “ตราหมี” ต่อบอลกินแดนเข้ามาเรื่อยๆ
หายนะมันไม่จบแค่นั้นสิครับเพราะเมื่อบอลถูกขึ้นมาง่ายเกินไปทำให้ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ต้องทิ้งตำแหน่งมาตาม อ็องตวน กรีซมันน์ เกือบกลางสนาม (และแน่นอนไม่เจอบอล)
เหตุการณ์ butterfly effect ที่สุดท้ายแล้วทำให้ ยูไนเต็ด ต้องตกรอบคือการที่ ดิโอโก้ ดาโลท์ หุบมาช่วยและมารู้ตัวอีกทีบอลข้ามหัวก่อน เรนาน โลดี้ โขกพังประตูเดียวของเกมนี้ไปอย่างน่าเจ็บแสบ
จุดที่น่าเจ็บใจและเสียดายของ “ปีศาจแดง” คือการออกสต๊าร์ตตั้งแต่วินาทีแรกทำให้ผมมั่นใจว่าเกมนี้เช็กบิล แอต.มาดริด คา โอลแทรฟฟอร์ด แน่นอนเนื่องจากการขึ้นบอล, ความมีชีวิตชีวาและความไวในการเข้าโจมตีมันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและไม่หวั่นกลัวใดๆ
คล้ายๆวันที่เจอ วัตฟอร์ด เกมรุกปูพรมขึ้นเกมกันไวมากเพียงแต่นัดนั้นจบสกอร์ไม่ได้กันเองก่อนนัดต่อมากับ สเปอร์ส ก็ยังเล่นเหมือนเดิมเป๊ะๆแต่คราวนี้ภารกิจ 3 แต้มสำริจผลจากแฮทริคของ โรนัลโด้
และเมื่อจับการเล่นของ “ตราหมี” (ก่อนได้ประตู) มาชำแหละ ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่เพราะใครได้ดูจะเห็นว่าลูกทีมของ "El Cholo" ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ยุคหลังมานี้หมดสภาพจริงๆ
ออกบอลหลวมโครก เสียเรี่ยราดระหว่างทาง ความเขี้ยวในการเก็บบอลไม่เหลือลายและจุดเด่นที่เกมรับบอกเลยว่าอย่างล่ก
เล่นรับรอสวนแต่ยังต่อบอลกันไม่กี่หลาพลาดจึงกลายเป็นบอลแทบจะฝั่งเดียวของ ยูไนเต็ด
ตรงนี้คือความเจ็บปวดของ “เร้ดอาร์มี่” ที่ต้องมาเห็นทีมรักหมดสิทธิ์ลุ้นโทรฟีย์เป็นปีที่ 5 ติดต่อกันหลังครั้งสุดท้ายได้ ยูโรป้า ลีก เมื่อปี 2017
อย่างที่ผมเปรยไว้ตอนต้นคอลัมน์จากการที่ ยูไนเต็ด ต้องเป็นฝ่ายตามหลังกลายเป็นแรงผลัดกันส่งให้ แอต.มาดริด เหมือนได้รับยาช่อง 2 กลับมาเล่นคุมจังหวะเนียนๆบอลเท้าสู่เท้าแน่น “ปั้กๆ”
เดลี่เมล ยังเอ่ยท่อนนึงในรายงานผลการแข่งขันคู่นี้ว่า “ยูไนเต็ด เองก็ไม่ได้เล่นแย่อะไรแต่ แอต.มาดริด ลงไปรับกันหมดและรอสวนกลับจนได้ประตูก่อนรับอย่างเดียวตลอด 49 นาทีที่เหลือ”
แต่อีกปัจจัยที่ทำให้เจ้าถิ่นเล่นไม่เหมือนเดิมคือสมาธิไปมุ่งที่การบ่นผู้ตัดสินในหลายๆจังหวะที่ไม่เป็นใจซึ่งผมดูอยู่ก็ยอมรับว่าหงุดหงิดที่ท่านเปาชาว สโลเวเนีย แกไม่ทันเกมเอาซะเลย
โดยเฉพาะช่วงชี้เป็นชี้ตาย 10 นาทีสุดท้ายจังหวะที่แกไปเป่าหยุดเกมหลัง ดาโล่ท์ ขึ้นโหม่งกับ มาร์กอส ญอเรนเต้ ทั้งๆที่ “ปีศาจแดง” กำลังจะสบโอกาสทำประตูตรงหน้าเขตโทษ
คือปกติถ้าไม่เจ็บศีรษะไม่มีใครเป่าให้นะครับ มันมีโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามจะใช้ช่องนี้นอนในระหว่างที่ทีมตัวเองกำลังเสียเปรียบหน้าเขตโทษตัวเอง
มันไม่เมคเซนส์ด้วยประการทั้งปวงเพราะปล่อยให้ ยูไนเต็ด เล่นต่อ เชื่อว่าเต็มที่ก็ไม่น่าจะเกิน 10 วินาทีการสร้างโอกาสจากจังหวะนี้ก็น่าจะหมดไป มาเป่าหลังจากนั้นก็ยังทัน
ผมลองไปเซิร์ซชื่อผู้ตัดสินวัย 42 ปีผู้นี้ปรากฏว่าเมื่อปี 2020 แกเคยถูกตำรวจใน บอสเนีย จับกุมหลังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและบริการทางเพศด้วย อันนี้ไม่ได้ชี้นำอะไรนะแค่มาชี้เป้าเฉยๆ อุ้ย
การไม่ทันเกมของผู้ตัดสินนัดนี้ยิ่งทำให้ “ตราหมี” งัดลูกตุกติกที่ได้ผลมาตลอด แม้กระทั่งตัวสำรองมายืนเกะกะระหว่างที่ อเล็กซ์ เตลเลส กำลังเอาบอลมาทุ่ม
นี่ยังไม่นับรวมการมายืนเกกะขวางทาง บอลโดนกรรมการแต่ปล่อยให้เล่นต่อ ฯลฯ
เรื่องจุกจิกพวกนี้รบกวนสมาธิของฝั่งเจ้าถิ่นอยู่ตลอดเวลาและหากใครเคยแข่งบอลจะรู้ดีว่าเมื่อรู้สึกว่าผู้ตัดสินเริ่มเป่าค้านสายตา อารมณ์หงุดหงิดจะเข้ามาแทนที่โฟกัสเดิมของคุณ การเล่นจะเปลี่ยนไปการเข้าบอลจะใช้แรงมากกว่าสมอง ท้ายที่สุดเข้าทางฝ่ายตรงข้ามที่ใช้โอกาสตรงนี้ดึงมาเป็นพวกตัวเองทันที
การแก้เกมแบบไม่มีอะไรจะเสียของ เดอะ โปรเฟสเซอร์ ที่ส่งตัวรุกลงมาถึง 4 ตัวแทบไม่ส่งผลใดๆซึ่งต้องยอมรับว่าช่วงเวลานาที 68 เป็นต้นไปฝั่ง “ตราหมี” เริ่มตั้งลำได้แล้วโดยรับทั้งทีมและใช้ความสามารถเฉพาะตัวของ เจา เฟลิกซ์ และ อ็องตวน กรีซมันน์ ในการพัก/ชิ่งกินแดนเผาเวลาบั่นทอนจิตใจเข้าไปอีก
การร่วงตกรอบ UCL ของ “ปีศาจแดง” น่าเสียดายตรงที่ผมคิดว่าลูกทีม ราล์ฟ รังนิค ฟอร์มกำลังเริ่มมาเลยครับ ดูแกร่งขึ้นกว่าเมื่อเดือนก่อนเยอะ (ไม่นับวันที่แพ้ แมนฯซิตี้)
แต่สถิติช่วงหลังในรอบน็อกเอาท์ในรายการ UCL ของ “ปีศาจแดง” ค่อนข้างแย่จริงๆโดย 15 นัดที่ผ่านมาชนะไปแค่ 2 เสมอ 4 และแพ้ถึง 9
ถ้ายกผลงานส่วนตัวของนักเตะ ผมขอชี้ไปที่ เฟร็ด ที่ช่วงหลังหยิบจับอะไรแพงไม่แพ้ราคาน้ำมันช่วงนี้จริงๆครับ การเอาตัวรอดในแดนกลาง พลิกบอล วิขั่นการจ่ายบอล ทุกอย่างเล่นแบบมั่นใจมาก
โดยเฉพาะไฮไลท์งานรื่นเริงประจำปีเป็นช็อตตอกส้นวิ่งอ้อมไปเอาที่เส้นหลังนี่เหลือ-จริงๆครับ ในยูทูปมีคนเอาไปลงแล้ว ลองเซิร์ซ “fred skill at. madrid” ก็เจอเลยครับ
ภาพที่ไม่ค่อยสวยนักของเกมนี้เกิดขึ้นหลังสิ้นเสียงนกหวีดจบเกมคือการปาแก้วน้ำใส่ “เอล โชโล่” ที่แกยังยึดธรรมเนียมปฏิบัติไม่จับมือกับกุนซือฝ่ายตรงข้ามทำให้แกกลายเป็นคนแรกที่วิ่งปรี่เข้าอุโมงค์จึงเป็นที่ระบายอารมณ์ไปเต็มๆ
ครับแม้โอกาสคว้าแชมป์ในปีนี้ของ “ปีศาจแดง” ไม่เหลือซักรายการแล้วแต่เป้าหมายกลับมาเล่น UCL ในซีซั่นหน้าคือสิ่งเดียวที่จะไม่ให้ทุกอย่างเน่าเฟะไปมากกว่านี้
อย่างน้อยๆมันจะช่วยการทำพรีเซนเตชั่นล่อใจนักเตะชื่อดังมาเสริมทัพในซัมเมอร์นี้ง่ายกว่าไปบอกใครต่อใครว่าได้สิทธิ์ไป ยูโรป้า หรือ คอนเฟอเรนซ์ เยอะเลยครับ...
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2126424
ผู้ตัดสินเปลี่ยนเกมทำแข้งผี “จิตหลุด” โดย เบน ฟรีคิก
ผู้ตัดสิน สลาฟโก้ วินซิช เลือกที่จะ wave play on ในจังหวะที่ อันโธนี่ เอลังก้า ถูก เรนิลโด้ มันดาว่า กระชากถูไถ ส่วนตัวผมคิดว่าควรเป่าตั้งแต่ดึงสเต็ปแรกแล้วเพราะ เอลังก้า สปีดเร็วกว่าแถมตัวนำไปด้วย ในเชิงเทคนิคคือได้เปรียบทุกทาง (ไม่ใช่ออกแนวตีคู่ขนาบข้าง)
ตรงนี้เองครับที่ทำให้นักเตะเจ้าถิ่นเสียสมาธิเพราะคิดว่าจะได้ฟาว์ลโดย คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ไม่ตามบอลและเดินบ่นกับผู้ตัดสินซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ “ตราหมี” ต่อบอลกินแดนเข้ามาเรื่อยๆ
หายนะมันไม่จบแค่นั้นสิครับเพราะเมื่อบอลถูกขึ้นมาง่ายเกินไปทำให้ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ต้องทิ้งตำแหน่งมาตาม อ็องตวน กรีซมันน์ เกือบกลางสนาม (และแน่นอนไม่เจอบอล)
เหตุการณ์ butterfly effect ที่สุดท้ายแล้วทำให้ ยูไนเต็ด ต้องตกรอบคือการที่ ดิโอโก้ ดาโลท์ หุบมาช่วยและมารู้ตัวอีกทีบอลข้ามหัวก่อน เรนาน โลดี้ โขกพังประตูเดียวของเกมนี้ไปอย่างน่าเจ็บแสบ
จุดที่น่าเจ็บใจและเสียดายของ “ปีศาจแดง” คือการออกสต๊าร์ตตั้งแต่วินาทีแรกทำให้ผมมั่นใจว่าเกมนี้เช็กบิล แอต.มาดริด คา โอลแทรฟฟอร์ด แน่นอนเนื่องจากการขึ้นบอล, ความมีชีวิตชีวาและความไวในการเข้าโจมตีมันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและไม่หวั่นกลัวใดๆ
คล้ายๆวันที่เจอ วัตฟอร์ด เกมรุกปูพรมขึ้นเกมกันไวมากเพียงแต่นัดนั้นจบสกอร์ไม่ได้กันเองก่อนนัดต่อมากับ สเปอร์ส ก็ยังเล่นเหมือนเดิมเป๊ะๆแต่คราวนี้ภารกิจ 3 แต้มสำริจผลจากแฮทริคของ โรนัลโด้
และเมื่อจับการเล่นของ “ตราหมี” (ก่อนได้ประตู) มาชำแหละ ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่เพราะใครได้ดูจะเห็นว่าลูกทีมของ "El Cholo" ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ยุคหลังมานี้หมดสภาพจริงๆ
ออกบอลหลวมโครก เสียเรี่ยราดระหว่างทาง ความเขี้ยวในการเก็บบอลไม่เหลือลายและจุดเด่นที่เกมรับบอกเลยว่าอย่างล่ก
เล่นรับรอสวนแต่ยังต่อบอลกันไม่กี่หลาพลาดจึงกลายเป็นบอลแทบจะฝั่งเดียวของ ยูไนเต็ด
ตรงนี้คือความเจ็บปวดของ “เร้ดอาร์มี่” ที่ต้องมาเห็นทีมรักหมดสิทธิ์ลุ้นโทรฟีย์เป็นปีที่ 5 ติดต่อกันหลังครั้งสุดท้ายได้ ยูโรป้า ลีก เมื่อปี 2017
อย่างที่ผมเปรยไว้ตอนต้นคอลัมน์จากการที่ ยูไนเต็ด ต้องเป็นฝ่ายตามหลังกลายเป็นแรงผลัดกันส่งให้ แอต.มาดริด เหมือนได้รับยาช่อง 2 กลับมาเล่นคุมจังหวะเนียนๆบอลเท้าสู่เท้าแน่น “ปั้กๆ”
เดลี่เมล ยังเอ่ยท่อนนึงในรายงานผลการแข่งขันคู่นี้ว่า “ยูไนเต็ด เองก็ไม่ได้เล่นแย่อะไรแต่ แอต.มาดริด ลงไปรับกันหมดและรอสวนกลับจนได้ประตูก่อนรับอย่างเดียวตลอด 49 นาทีที่เหลือ”
แต่อีกปัจจัยที่ทำให้เจ้าถิ่นเล่นไม่เหมือนเดิมคือสมาธิไปมุ่งที่การบ่นผู้ตัดสินในหลายๆจังหวะที่ไม่เป็นใจซึ่งผมดูอยู่ก็ยอมรับว่าหงุดหงิดที่ท่านเปาชาว สโลเวเนีย แกไม่ทันเกมเอาซะเลย
โดยเฉพาะช่วงชี้เป็นชี้ตาย 10 นาทีสุดท้ายจังหวะที่แกไปเป่าหยุดเกมหลัง ดาโล่ท์ ขึ้นโหม่งกับ มาร์กอส ญอเรนเต้ ทั้งๆที่ “ปีศาจแดง” กำลังจะสบโอกาสทำประตูตรงหน้าเขตโทษ
คือปกติถ้าไม่เจ็บศีรษะไม่มีใครเป่าให้นะครับ มันมีโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามจะใช้ช่องนี้นอนในระหว่างที่ทีมตัวเองกำลังเสียเปรียบหน้าเขตโทษตัวเอง
มันไม่เมคเซนส์ด้วยประการทั้งปวงเพราะปล่อยให้ ยูไนเต็ด เล่นต่อ เชื่อว่าเต็มที่ก็ไม่น่าจะเกิน 10 วินาทีการสร้างโอกาสจากจังหวะนี้ก็น่าจะหมดไป มาเป่าหลังจากนั้นก็ยังทัน
ผมลองไปเซิร์ซชื่อผู้ตัดสินวัย 42 ปีผู้นี้ปรากฏว่าเมื่อปี 2020 แกเคยถูกตำรวจใน บอสเนีย จับกุมหลังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและบริการทางเพศด้วย อันนี้ไม่ได้ชี้นำอะไรนะแค่มาชี้เป้าเฉยๆ อุ้ย
การไม่ทันเกมของผู้ตัดสินนัดนี้ยิ่งทำให้ “ตราหมี” งัดลูกตุกติกที่ได้ผลมาตลอด แม้กระทั่งตัวสำรองมายืนเกะกะระหว่างที่ อเล็กซ์ เตลเลส กำลังเอาบอลมาทุ่ม
นี่ยังไม่นับรวมการมายืนเกกะขวางทาง บอลโดนกรรมการแต่ปล่อยให้เล่นต่อ ฯลฯ
เรื่องจุกจิกพวกนี้รบกวนสมาธิของฝั่งเจ้าถิ่นอยู่ตลอดเวลาและหากใครเคยแข่งบอลจะรู้ดีว่าเมื่อรู้สึกว่าผู้ตัดสินเริ่มเป่าค้านสายตา อารมณ์หงุดหงิดจะเข้ามาแทนที่โฟกัสเดิมของคุณ การเล่นจะเปลี่ยนไปการเข้าบอลจะใช้แรงมากกว่าสมอง ท้ายที่สุดเข้าทางฝ่ายตรงข้ามที่ใช้โอกาสตรงนี้ดึงมาเป็นพวกตัวเองทันที
การแก้เกมแบบไม่มีอะไรจะเสียของ เดอะ โปรเฟสเซอร์ ที่ส่งตัวรุกลงมาถึง 4 ตัวแทบไม่ส่งผลใดๆซึ่งต้องยอมรับว่าช่วงเวลานาที 68 เป็นต้นไปฝั่ง “ตราหมี” เริ่มตั้งลำได้แล้วโดยรับทั้งทีมและใช้ความสามารถเฉพาะตัวของ เจา เฟลิกซ์ และ อ็องตวน กรีซมันน์ ในการพัก/ชิ่งกินแดนเผาเวลาบั่นทอนจิตใจเข้าไปอีก
การร่วงตกรอบ UCL ของ “ปีศาจแดง” น่าเสียดายตรงที่ผมคิดว่าลูกทีม ราล์ฟ รังนิค ฟอร์มกำลังเริ่มมาเลยครับ ดูแกร่งขึ้นกว่าเมื่อเดือนก่อนเยอะ (ไม่นับวันที่แพ้ แมนฯซิตี้)
แต่สถิติช่วงหลังในรอบน็อกเอาท์ในรายการ UCL ของ “ปีศาจแดง” ค่อนข้างแย่จริงๆโดย 15 นัดที่ผ่านมาชนะไปแค่ 2 เสมอ 4 และแพ้ถึง 9
ถ้ายกผลงานส่วนตัวของนักเตะ ผมขอชี้ไปที่ เฟร็ด ที่ช่วงหลังหยิบจับอะไรแพงไม่แพ้ราคาน้ำมันช่วงนี้จริงๆครับ การเอาตัวรอดในแดนกลาง พลิกบอล วิขั่นการจ่ายบอล ทุกอย่างเล่นแบบมั่นใจมาก
โดยเฉพาะไฮไลท์งานรื่นเริงประจำปีเป็นช็อตตอกส้นวิ่งอ้อมไปเอาที่เส้นหลังนี่เหลือ-จริงๆครับ ในยูทูปมีคนเอาไปลงแล้ว ลองเซิร์ซ “fred skill at. madrid” ก็เจอเลยครับ
ภาพที่ไม่ค่อยสวยนักของเกมนี้เกิดขึ้นหลังสิ้นเสียงนกหวีดจบเกมคือการปาแก้วน้ำใส่ “เอล โชโล่” ที่แกยังยึดธรรมเนียมปฏิบัติไม่จับมือกับกุนซือฝ่ายตรงข้ามทำให้แกกลายเป็นคนแรกที่วิ่งปรี่เข้าอุโมงค์จึงเป็นที่ระบายอารมณ์ไปเต็มๆ
ครับแม้โอกาสคว้าแชมป์ในปีนี้ของ “ปีศาจแดง” ไม่เหลือซักรายการแล้วแต่เป้าหมายกลับมาเล่น UCL ในซีซั่นหน้าคือสิ่งเดียวที่จะไม่ให้ทุกอย่างเน่าเฟะไปมากกว่านี้
อย่างน้อยๆมันจะช่วยการทำพรีเซนเตชั่นล่อใจนักเตะชื่อดังมาเสริมทัพในซัมเมอร์นี้ง่ายกว่าไปบอกใครต่อใครว่าได้สิทธิ์ไป ยูโรป้า หรือ คอนเฟอเรนซ์ เยอะเลยครับ...
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2126424