สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า นี่คือกระทู้ระบายล้วนๆ เราแค่อยากปลดปล่อยความคิด ความอัดอั้น แรงกดดัน ผ่านการเล่าเรื่องของเราให้กับคนที่ไม่รู้จักกันได้ฟัง และเรื่องของเรา อาจจะดูน้อยนิดมากๆ ถ้าเทียบกับที่หลายๆ คนเคยเจอค่ะ
จากหัวข้อกระทู้ มันคงขัดใจลูกสายกตัญญูทุกคนแน่ๆ แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าขณะที่เรากำลังพิมพ์กระทู้นี้อยู่ เราก็ทำตามภาระหน้าที่ของเราอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนคงสงสัยว่า ก็เลือกเอง แล้วจะมาบ่นทำไม บางทีชีวิตคนเราก็ซับซ้อนนะคะ เราแค่คิดว่าถ้าเราปล่อยหน้าที่นี้ไป เราคงทนไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ เราอยากจะขอระบายความรู้สึกผ่านกระทู้นี้ และเผื่อให้คนที่กำลังจะมีลูก อยากมีลูก หรือมีลูกอยู่แล้ว ตระหนักในเรื่องนี้มากขึ้นเท่านั้นเอง
เราเป็นลูกคนเดียวค่ะ ตั้งแต่เกิดคุณพ่อคุณแม่ พยายามจะทำธุรกิจส่วนตัวมาตลอด ตั้งแต่ใหญ่ จนถึงเล็ก แต่ก็เจ๊งตลอดเช่นกัน เงินทุนที่เคยมีหลายสิบล้าน หายไปตั้งแต่เรายังเล็กๆ แน่นอนว่าทำให้โตขึ้นมาอย่างลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ อย่างเดียวที่มีคือบ้านที่ไม่ต้องผ่อนหรือเช่า
จนถึงช่วงที่คุณพ่อกับคุณแม่เลิกกัน คุณพ่อก็ยังพยายามเปิดร้านทำนู่นนี่ไปเรื่อย ย้ายบ่อย เจ๊งบ่อยเหมือนเดิม คุณแม่รับจ้างอะไรหลายๆ อย่างค่ะ รับทำงานชั่วคราวบ้างอะไรบ้าง เราอยู่กับแม่ค่ะ พ่อส่งเงินให้บ้าง ถ้าแกมี ถ้าไม่มี ก็จะมีญาติๆ ช่วยเหลือให้เงินเราไปโรงเรียนบ้าง ส่วนเงินของแม่ แค่ดูแลในบ้านก็ลำบากสุดๆ แล้วค่ะ เพราะต้องเลี้ยงดูญาติอีกคนนึงด้วย เค้ามาอาศัยอยู่กับเราตั้งแต่เด็กแบบงงๆ มาช่วยงานบ้านบ้าง แต่ทำไปบ่นไปด่าไป เพราะบ้านเราก็ไม่มีปัญญาดูแลแกให้สบายเหมือนที่แกคิดไว้ค่ะ และแกก็ไม่ได้ทำงานหาเงินค่ะ บอกทำไม่ไหว แม่ก็ไม่กล้าบอกให้ไปอยู่ที่อื่น สมัยก่อน ไม่กล้าปะทะ ไม่กล้าว่าตรงๆ แรงๆ แม่จะเลี่ยงตลอด และแกปฏิเสธคนไม่เป็นค่ะ ใจอ่อน ขี้สงสาร เพราะเค้ามาขออยู่ด้วย (พอโตมาเราก็สงสัยนะคะ ว่าบ้านไม่ได้สบายเลย ขัดสนด้วยซ้ำ ทำไมพ่อกับแม่ไม่ใจแข็งตั้งแต่แรก แต่ท่านก็คงมีเหตุผลมั้งคะ) ช่วงเราเด็กๆ น่าจะเป็นช่วงที่ครอบครัวขัดสนมากๆ ค่ะ
สิ่งที่เราไม่ชอบที่สุดคือ ช่วงนั้นแม่จะอารมณ์เสียตลอดเวลา หงุดหงิดจากญาติคนนั้นบ้าง ทะเลาะกับพ่อบ้าง หงุดหงิดใส่เราทั้งที่บางทีเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ ได้แต่แอบร้องไห้ แต่โตมาก็เข้าใจว่าเพราะแม่คงเครียดมากเรื่องเงิน และเราไม่อยากให้แม่เป็นแบบนั้น เพราะจริงๆ แล้วแม่เป็นคนใจดี ใจเย็น เรียบร้อย ใครต่อใครเจอก็มักจะบอกว่าแม่เรานิสัยดีมาก แต่อะไรทำให้แม่เป็นแบบนั้น เรื่องเงินใช่มั้ยคะ เราเก็บเรื่องนี้อยู่ในใจตั้งแต่เด็ก แล้วก็คิดกับตัวเองว่า ถ้าเรียนจบ ทำงานได้ จะไม่ทำให้แม่เป็นแบบนี้เด็ดขาด
แน่นอนว่าสภาพบ้านเป็นแบบนี้ ทั้งพ่อและแม่ไม่มีเงินเก็บค่ะ ไม่มีสมบัติ มีบ้านหลังเดียวที่อยู่อาศัยได้ นอกนั้นจากที่เคยได้มรดกหลายสิบล้าน สูญหมด และทุกคนก็ฝากความหวังไว้ที่เรา ในการจะช่วยเหลือที่บ้านและดูแลแต่ละท่าน ตอนนั้นเราเข้าใจและเต็มใจ จะพยายามเต็มที่
ตอนเรียนจบเราเครียดมากในการหางานทำ งานที่จะได้ต้องเงินดีพอที่จะเลี้ยงได้ทั้งบ้านด้วย ต้องหางานแบบไหน เราจบป.ตรี จากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดค่ะ คณะก็ไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดมากนัก
โชคดีที่งานแรกของเราค่อนข้างได้ผลตอบแทนที่ดีค่ะ เป็นบริษัทใหญ่ ได้มากกว่าที่เราคิดเอาไว้ ถ้าขยันก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นเพิ่มอีก และเราก็ขยันสุดตัวจริงๆ เพื่อให้ได้ค่าคอมมากที่สุดค่ะ
ช่วงนั้นรู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก ที่ทำให้ที่บ้านสบายขึ้นมาได้ ไม่ขัดสนเหมือนเมื่อก่อน แม่ไม่ต้องรับจ้างทำอะไรเลย ให้ดูแลบ้านเฉยๆ (เพราะท่านมีโรคประจำตัวด้วยค่ะ จากความเครียดเมื่อก่อน) แล้วก็ยอมรับเลยว่า เราเรียนรู้ที่จะเก็บเงินช้าไปหน่อย ทำงานอยู่หลายปีเหมือนกันถึงเริ่มเก็บ พอคิดถึงเรื่องเงินหลังเกษียณ ก็รู้สึกว่าต้องมี จะไม่ยอมเป็นแบบพ่อกับแม่เด็ดขาด ก็เลยเข้มงวดกับตัวเองเรื่องการเก็บเงินมากขึ้น แต่เงินที่ให้แม่ไว้ใช้จ่ายในบ้านก็ยังเท่าเดิม โชคดีที่แม่เค้าค่อนข้างประหยัดและไม่เคยเรียกร้องอะไรเพิ่มค่ะ
จุดที่เพิ่มความกดดันให้เรา คือหลังจากทำงานมาซักระยะ พ่อที่เปิดร้านนู่นนี่ตามใจไปเรื่อยๆ เริ่มไปไม่รอด ไม่พอใช้ แกไม่มีทรัพย์สินอะไรติดตัวเลยค่ะ และไลน์มาขอเงินรายเดือนจากเรา (ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ให้พ่อค่ะ) ตอนนั้นเรากลุ้มใจเลยค่ะ เพราะถ้าให้พ่อตามจำนวนที่เค้าขอ คือเท่ากับเงินเก็บเราก็จะแทบไม่มีเหมือนเดิม แต่พ่อใช้คำๆ นึงขึ้นมาว่า “พ่อก็มีแต่หนู ถ้าไม่มีหนูพ่อก็ไม่มีใคร”
ตอนนั้นเราจุกค่ะ ไม่ได้จุกที่ซึ้งหรืออะไร จุกที่เราตระหนักขึ้นมาได้ว่า นี่คือภาระที่แท้จริงที่กำลังจะเข้ามาหาเรา ไม่กี่ปีก่อนเป็นแค่น้ำจิ้ม
สุดท้ายเราก็ให้พ่อนะคะ บอกตามตรงว่าเราสงสารค่ะ แกแก่มากแล้ว คงทำอะไรยากแล้ว และแม้ว่าเราจะพยายามแนะนำแกทำนู่นนี่ แต่แกคือจะรอโชคชะตาพาไปได้ทำงาน/ธุรกิจใหญ่ๆ อย่างเดียว (พ่อเราอีโก้และทิฐิสูงมากๆ ค่ะ)
มันทำให้เราคิดว่า แล้วถ้าแต่ละคนป่วยหนักล่ะ พ่อ แม่ ญาติคนนั้น ป่วยถึงขั้นต้องนอนติดเตียงล่ะ เราจะทำยังไง แล้วถ้าเงินเก็บทั้งหมดของเรา คือต้องมาเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าเสื่อมต่างๆ ในบ้านหมด แล้วตอนเราเกษียณบ้างล่ะ เราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ซึ่งแน่นอนว่า เราจะไม่มีลูกเด็ดขาด เราจะไม่ยอมให้ลูกแบกภาระเลี้ยงดูเราตอนแก่เหมือนที่เราต้องทำเด็ดขาด เราจะไม่มีวันให้เค้าเกิดมาโดยที่เรายังไม่สามารถเก็บเงินในการสนับสนุนโอกาสเค้าให้เติบโตขึ้นมาแกร่งมากพอจะสู้ในโลกของการแข่งขันในอนาคตได้ ซึ่งสถานการณ์เราตอนนี้ทำไม่ได้แน่นอน อย่างมากคือ เก็บเงินสำหรับตอนครอบครัวปัจจุบันที่เราดูแลอยู่แก่ตัวไป และสำหรับเรากินอยู่หลังเกษียณจนตาย แค่นี้ก็เป็นเงินก้อนใหญ่มากๆ สำหรับเราแล้ว (บางทีเราก็คิดอยากให้การการุณยฆาตตัวเองโดยไม่ผิดกฎหมายมาไวๆ จังค่ะ)
ความคิดเราข้างต้น เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยค่ะ โดยเฉพาะคุณแม่ เพราะเค้ามีอาการเครียดจนบางทีเราสงสัยว่าเป็นซึมเศร้า เค้ามักจะรู้สึกตัวเองเป็นภาระ เคยบ่นว่าอยากตายๆ ไปซะอีกด้วย (เราแอบเห็นในบันทึกค่ะ) แม้กระทั่งตอนนี้ก็เป็นอยู่ค่ะ และมีเรื่องอะไรในใจก็จะเก็บไว้ ไม่พูด ไม่ระบายออกมา
ความโชคดีของเราคงเป็น เราพยายามถีบตัวเองและได้รับโอกาสจากบริษัทบ่อยๆ จนตอนนี้ค่าตอบแทนเราค่อนข้างสูงเกินประวัติการศึกษาเราไปมากค่ะ ทำให้เราไม่ได้ลำบากเรื่องเงินเก็บหลังเกษียณที่ตั้งไว้เท่าไหร่นัก (แต่ก็ยังเรียกว่าชีวิตฟุ่มเฟือยเหลือใช้ไม่ได้ค่ะ) แต่เรายังไม่อยากแต่งงานกับแฟน ไม่อยากจัดงาน เพราะสิ้นเปลือง เราไม่พร้อมจะสร้างครอบครัวใหม่ในขณะที่บ้านหลังเดิม (อายุ 30+ ปี) ยังคงต้องเก็บเงินซ่อมแซมอยู่ ถ้าจะต้องผ่อนเรือนหอเพิ่ม ก็ตึงมือเกินไปค่ะ เรารับภาระทั้งสองครอบครัวไม่ไหว แม้ว่าจะมีแฟนช่วยก็ตาม และแน่นอน เรายังคงไม่อยากมีลูก เพราะเหตุผลที่บอกข้างต้น
แต่ช่วงนี้ แม่เราเริ่มพูดเรื่องนี้ อยากให้เราจัดงานแต่ง เล็กๆ ก็ได้ แค่จดทะเบียนไม่พอ เพื่อเห็นแก่หน้าตาแม่ และอยากให้เรามีลูกซัก 2 คน จะได้เป็นเพื่อนกัน
เราปฏิเสธหมดค่ะ แต่ไม่บอกเหตุผล ท่านไม่ได้ถึงขั้นบังคับ แต่ท่านเอาแต่พูดว่า เป็นเพราะเราหัวรั้น เราดื้อ เราไม่เหมือนคนอื่น ไม่มีใครคิดเหมือนเรา (อาจจะเพราะเราใช้วิธีตอบโต้ผิดค่ะตอนนั้น เราบอกแม่ว่า ถ้าอยากให้ชาวบ้านเค้ารู้ว่าแต่งงาน ทำไมไม่ประกาศใน facebook ฟรีด้วย 5555)
เราจุกอีกรอบค่ะ แต่ครั้งนี้จุกมากกว่าเดิม เราเครียดเรื่องนี้มาก มันเกิดมาหลายเดือนแล้ว และมีเกิดเรื่อยๆ แม้ไม่บ่อยนัก แต่นึกถึงทีไร เราต้องแอบร้องไห้ทุกครั้ง เครียดมากกว่าการที่เรายอมรับภาระทั้งหมดของเราซะอีก เรียกได้ว่ามันคือความผิดหวังมั้งคะ คนที่คิดว่าเราทุ่มเทให้ อยู่กับเรามาตลอดชีวิต น่าจะเข้าใจเรามากที่สุด เข้าใจภาระบนบ่าเรา เข้าใจความกดดันและการพยายามขยับฐานะทางบ้านของเรา ควรจะเข้าใจว่าเราไม่พร้อมเหมือนคนวัยเดียวกันคนอื่นๆ ที่มีครอบครัวช่วยซัพพอร์ต แต่กลับตัดสินแค่ว่าเราดื้อรั้น ไม่เห็นแก่หน้าเค้า แล้วเราก็ไม่กล้าอธิบายเหตุผลทั้งหมดของเรา เพราะเรากลัวตัวเองพรั่งพรูออกมา และกลัวเค้าคิดมาก กลัวเค้าเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นภาระ กลัวเค้าเป็นซึมเศร้าและโทษตัวเองเพราะเรื่องนี้ เราเลยเลือกที่จะปฏิเสธแบบคนหัวดื้ออย่างที่แม่เข้าใจมาตลอด
แต่เราอึดอัดมากจริงๆ ค่ะ
ว่ากันตามตรง การจัดงานแต่งเล็กๆ แบบที่คุณแม่หวัง มันก็คงใช้เงินไม่เท่าไหร่ และไม่ใช่ว่าเราไม่อยากมีงานแต่งนะคะ จนทุกวันนี้ เราก็ยังเซฟภาพสวยๆ ของงานแต่ง เซฟภาพชุดเจ้าสาวไว้อยู่เลย เราก็เป็นผู้หญิงคนนึงค่ะ แต่เงินส่วนที่จะฟุ่มเฟือยของเรา มันมีจำกัด และมันยังมีสิ่งที่เราอยากทำ อยากได้ อยากไป มากกว่าเอามาจัดงานค่ะ จริงๆ ตรงนี้เราน่าจะอธิบายให้เค้าฟังใช่มั้ยคะ แต่ตอนนั้นที่เราได้ยินคำว่า “ไม่เห็นแก่หน้าแม่บ้างเลยเหรอ ไม่มีใครเค้าทำเหมือนลูกหรอก” เราพูดอะไรไม่ออกเลยค่ะ ทั้งโมโห ทั้งน้อยใจ ทั้งผิดหวัง ทั้งอยากตัดพ้อว่าแล้วสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดล่ะ เราเต็มที่กับที่บ้านตลอด ที่บ้านคือ priority สำหรับเรา โดยที่ไม่เคยอิดออดใดๆ แค่เราไม่จัดงานแบบคู่อื่น มันทำให้เกียรติของแม่เสียขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วเพราะสาเหตุอะไรล่ะ ที่ทำให้เราต้องลำบากใจกับการเสียเงินจัดงานเลี้ยง?
จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังไม่มีโอกาสได้อธิบาย เพราะพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงมาโดยตลอด
บางทีเราก็สงสัยค่ะ ว่าเราจะต้องเป็นลูกที่เพียบพร้อมขนาดไหนเหรอคะ ถึงจะถูกต้องถูกใจ
ตั้งใจเรียน
ได้งานมั่นคง รายได้ดี
เลี้ยงดูที่บ้านเต็มที่
แต่งงาน จัดงานให้มีหน้ามีตา
มีลูก
ต้องครบหมดทุกข้อเลยใช่มั้ยคะ ถึงจะโอเค ถึงจะเหมือนใครๆ เค้า
เราไม่เคยเห็นจะอยากพูดบ้างเลย ว่าทำไมที่บ้านไม่ให้เงินหนูไปจัดงานล่ะ ทำไมไม่ให้เงินมรดกไว้เลี้ยงหลานล่ะ ทำไมไม่ซื้อรถซื้อคอนโดให้เป็นของขวัญล่ะ ทำไมไม่วางแผนการเงินกันให้ดีๆ แบบครอบครัวอื่นบ้างล่ะ
เราไม่เคยติดใจตัดพ้อเรื่องพวกนี้เลย เพราะเราเข้าใจ และคิดว่าสถานการณ์ชีวิตแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน ซึ่งไม่เป็นไรค่ะ เราสร้างตัวเองใหม่ก็ได้ แต่ขอให้เราได้ตัดสินใจเอง ว่าเราจะใช้เงินส่วนที่เหลือของเรากับอะไรบ้าง อย่าตัดสินเราเพียงเพราะเราคิดไม่เหมือนเค้า
หวังว่าสักวันเราจะกล้าอธิบายให้แม่ฟังแบบนี้ค่ะ
เล่าไปเรื่อยมายาวๆ เลย สุดท้าย เราไม่ใจแข็งพอจะออกจากวงโคจรนี้หรอกค่ะ คงเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ และปลอบใจตัวเองด้วยคำว่า ภูมิใจในตัวเองเหมือนกันนะเนี่ยที่ทำได้ แต่ถ้าให้เลือก ไม่อยากให้มีเด็กคนไหนต้องเจอแบบเราอีกแล้วค่ะ เคยอ่านกระทู้อื่นๆ บางคนเจอหนักกว่าเรามากๆ ด้วยซ้ำ จะบอกว่าเราเข้าใจมากๆ อ่านกี่ทีก็อยากกอดให้กำลังใจทุกคนที่เจอสถานการณ์คล้ายกันมากๆ เลย โดยเฉพาะคนที่โดนหาว่าอกตัญญู ซึ่งมันไม่ใช่เลย และอยากให้คนที่เป็นพ่อแม่ ครอบครัว เข้าใจ เห็นใจ ดูแลจิตใจเด็กเหล่านี้ให้ดีด้วยนะคะ ถ้าช่วยเค้าเรื่องเงินไม่ได้ ช่วยอย่ากดดันเค้าในเรื่องอื่นๆ ให้เค้าได้คิด ได้ตัดสินใจเอง ได้มีชีวิตของตัวเองในแบบอื่นๆ บ้างก็ยังดี
ทุกคนควรมีชีวิตเป็นของตัวเองค่ะ
ขอบคุณที่รับฟัง (อ่าน) กันนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ
(กระทู้ระบายความในใจ) การรับภาระที่ต้องดูแลบุพการี หรือผู้มีบุญคุณ บางครั้งเราแค่อยากได้ความเข้าใจค่ะ
จากหัวข้อกระทู้ มันคงขัดใจลูกสายกตัญญูทุกคนแน่ๆ แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าขณะที่เรากำลังพิมพ์กระทู้นี้อยู่ เราก็ทำตามภาระหน้าที่ของเราอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนคงสงสัยว่า ก็เลือกเอง แล้วจะมาบ่นทำไม บางทีชีวิตคนเราก็ซับซ้อนนะคะ เราแค่คิดว่าถ้าเราปล่อยหน้าที่นี้ไป เราคงทนไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ เราอยากจะขอระบายความรู้สึกผ่านกระทู้นี้ และเผื่อให้คนที่กำลังจะมีลูก อยากมีลูก หรือมีลูกอยู่แล้ว ตระหนักในเรื่องนี้มากขึ้นเท่านั้นเอง
เราเป็นลูกคนเดียวค่ะ ตั้งแต่เกิดคุณพ่อคุณแม่ พยายามจะทำธุรกิจส่วนตัวมาตลอด ตั้งแต่ใหญ่ จนถึงเล็ก แต่ก็เจ๊งตลอดเช่นกัน เงินทุนที่เคยมีหลายสิบล้าน หายไปตั้งแต่เรายังเล็กๆ แน่นอนว่าทำให้โตขึ้นมาอย่างลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ อย่างเดียวที่มีคือบ้านที่ไม่ต้องผ่อนหรือเช่า
จนถึงช่วงที่คุณพ่อกับคุณแม่เลิกกัน คุณพ่อก็ยังพยายามเปิดร้านทำนู่นนี่ไปเรื่อย ย้ายบ่อย เจ๊งบ่อยเหมือนเดิม คุณแม่รับจ้างอะไรหลายๆ อย่างค่ะ รับทำงานชั่วคราวบ้างอะไรบ้าง เราอยู่กับแม่ค่ะ พ่อส่งเงินให้บ้าง ถ้าแกมี ถ้าไม่มี ก็จะมีญาติๆ ช่วยเหลือให้เงินเราไปโรงเรียนบ้าง ส่วนเงินของแม่ แค่ดูแลในบ้านก็ลำบากสุดๆ แล้วค่ะ เพราะต้องเลี้ยงดูญาติอีกคนนึงด้วย เค้ามาอาศัยอยู่กับเราตั้งแต่เด็กแบบงงๆ มาช่วยงานบ้านบ้าง แต่ทำไปบ่นไปด่าไป เพราะบ้านเราก็ไม่มีปัญญาดูแลแกให้สบายเหมือนที่แกคิดไว้ค่ะ และแกก็ไม่ได้ทำงานหาเงินค่ะ บอกทำไม่ไหว แม่ก็ไม่กล้าบอกให้ไปอยู่ที่อื่น สมัยก่อน ไม่กล้าปะทะ ไม่กล้าว่าตรงๆ แรงๆ แม่จะเลี่ยงตลอด และแกปฏิเสธคนไม่เป็นค่ะ ใจอ่อน ขี้สงสาร เพราะเค้ามาขออยู่ด้วย (พอโตมาเราก็สงสัยนะคะ ว่าบ้านไม่ได้สบายเลย ขัดสนด้วยซ้ำ ทำไมพ่อกับแม่ไม่ใจแข็งตั้งแต่แรก แต่ท่านก็คงมีเหตุผลมั้งคะ) ช่วงเราเด็กๆ น่าจะเป็นช่วงที่ครอบครัวขัดสนมากๆ ค่ะ
สิ่งที่เราไม่ชอบที่สุดคือ ช่วงนั้นแม่จะอารมณ์เสียตลอดเวลา หงุดหงิดจากญาติคนนั้นบ้าง ทะเลาะกับพ่อบ้าง หงุดหงิดใส่เราทั้งที่บางทีเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ ได้แต่แอบร้องไห้ แต่โตมาก็เข้าใจว่าเพราะแม่คงเครียดมากเรื่องเงิน และเราไม่อยากให้แม่เป็นแบบนั้น เพราะจริงๆ แล้วแม่เป็นคนใจดี ใจเย็น เรียบร้อย ใครต่อใครเจอก็มักจะบอกว่าแม่เรานิสัยดีมาก แต่อะไรทำให้แม่เป็นแบบนั้น เรื่องเงินใช่มั้ยคะ เราเก็บเรื่องนี้อยู่ในใจตั้งแต่เด็ก แล้วก็คิดกับตัวเองว่า ถ้าเรียนจบ ทำงานได้ จะไม่ทำให้แม่เป็นแบบนี้เด็ดขาด
แน่นอนว่าสภาพบ้านเป็นแบบนี้ ทั้งพ่อและแม่ไม่มีเงินเก็บค่ะ ไม่มีสมบัติ มีบ้านหลังเดียวที่อยู่อาศัยได้ นอกนั้นจากที่เคยได้มรดกหลายสิบล้าน สูญหมด และทุกคนก็ฝากความหวังไว้ที่เรา ในการจะช่วยเหลือที่บ้านและดูแลแต่ละท่าน ตอนนั้นเราเข้าใจและเต็มใจ จะพยายามเต็มที่
ตอนเรียนจบเราเครียดมากในการหางานทำ งานที่จะได้ต้องเงินดีพอที่จะเลี้ยงได้ทั้งบ้านด้วย ต้องหางานแบบไหน เราจบป.ตรี จากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดค่ะ คณะก็ไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดมากนัก
โชคดีที่งานแรกของเราค่อนข้างได้ผลตอบแทนที่ดีค่ะ เป็นบริษัทใหญ่ ได้มากกว่าที่เราคิดเอาไว้ ถ้าขยันก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นเพิ่มอีก และเราก็ขยันสุดตัวจริงๆ เพื่อให้ได้ค่าคอมมากที่สุดค่ะ
ช่วงนั้นรู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก ที่ทำให้ที่บ้านสบายขึ้นมาได้ ไม่ขัดสนเหมือนเมื่อก่อน แม่ไม่ต้องรับจ้างทำอะไรเลย ให้ดูแลบ้านเฉยๆ (เพราะท่านมีโรคประจำตัวด้วยค่ะ จากความเครียดเมื่อก่อน) แล้วก็ยอมรับเลยว่า เราเรียนรู้ที่จะเก็บเงินช้าไปหน่อย ทำงานอยู่หลายปีเหมือนกันถึงเริ่มเก็บ พอคิดถึงเรื่องเงินหลังเกษียณ ก็รู้สึกว่าต้องมี จะไม่ยอมเป็นแบบพ่อกับแม่เด็ดขาด ก็เลยเข้มงวดกับตัวเองเรื่องการเก็บเงินมากขึ้น แต่เงินที่ให้แม่ไว้ใช้จ่ายในบ้านก็ยังเท่าเดิม โชคดีที่แม่เค้าค่อนข้างประหยัดและไม่เคยเรียกร้องอะไรเพิ่มค่ะ
จุดที่เพิ่มความกดดันให้เรา คือหลังจากทำงานมาซักระยะ พ่อที่เปิดร้านนู่นนี่ตามใจไปเรื่อยๆ เริ่มไปไม่รอด ไม่พอใช้ แกไม่มีทรัพย์สินอะไรติดตัวเลยค่ะ และไลน์มาขอเงินรายเดือนจากเรา (ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ให้พ่อค่ะ) ตอนนั้นเรากลุ้มใจเลยค่ะ เพราะถ้าให้พ่อตามจำนวนที่เค้าขอ คือเท่ากับเงินเก็บเราก็จะแทบไม่มีเหมือนเดิม แต่พ่อใช้คำๆ นึงขึ้นมาว่า “พ่อก็มีแต่หนู ถ้าไม่มีหนูพ่อก็ไม่มีใคร”
ตอนนั้นเราจุกค่ะ ไม่ได้จุกที่ซึ้งหรืออะไร จุกที่เราตระหนักขึ้นมาได้ว่า นี่คือภาระที่แท้จริงที่กำลังจะเข้ามาหาเรา ไม่กี่ปีก่อนเป็นแค่น้ำจิ้ม
สุดท้ายเราก็ให้พ่อนะคะ บอกตามตรงว่าเราสงสารค่ะ แกแก่มากแล้ว คงทำอะไรยากแล้ว และแม้ว่าเราจะพยายามแนะนำแกทำนู่นนี่ แต่แกคือจะรอโชคชะตาพาไปได้ทำงาน/ธุรกิจใหญ่ๆ อย่างเดียว (พ่อเราอีโก้และทิฐิสูงมากๆ ค่ะ)
มันทำให้เราคิดว่า แล้วถ้าแต่ละคนป่วยหนักล่ะ พ่อ แม่ ญาติคนนั้น ป่วยถึงขั้นต้องนอนติดเตียงล่ะ เราจะทำยังไง แล้วถ้าเงินเก็บทั้งหมดของเรา คือต้องมาเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าเสื่อมต่างๆ ในบ้านหมด แล้วตอนเราเกษียณบ้างล่ะ เราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ซึ่งแน่นอนว่า เราจะไม่มีลูกเด็ดขาด เราจะไม่ยอมให้ลูกแบกภาระเลี้ยงดูเราตอนแก่เหมือนที่เราต้องทำเด็ดขาด เราจะไม่มีวันให้เค้าเกิดมาโดยที่เรายังไม่สามารถเก็บเงินในการสนับสนุนโอกาสเค้าให้เติบโตขึ้นมาแกร่งมากพอจะสู้ในโลกของการแข่งขันในอนาคตได้ ซึ่งสถานการณ์เราตอนนี้ทำไม่ได้แน่นอน อย่างมากคือ เก็บเงินสำหรับตอนครอบครัวปัจจุบันที่เราดูแลอยู่แก่ตัวไป และสำหรับเรากินอยู่หลังเกษียณจนตาย แค่นี้ก็เป็นเงินก้อนใหญ่มากๆ สำหรับเราแล้ว (บางทีเราก็คิดอยากให้การการุณยฆาตตัวเองโดยไม่ผิดกฎหมายมาไวๆ จังค่ะ)
ความคิดเราข้างต้น เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยค่ะ โดยเฉพาะคุณแม่ เพราะเค้ามีอาการเครียดจนบางทีเราสงสัยว่าเป็นซึมเศร้า เค้ามักจะรู้สึกตัวเองเป็นภาระ เคยบ่นว่าอยากตายๆ ไปซะอีกด้วย (เราแอบเห็นในบันทึกค่ะ) แม้กระทั่งตอนนี้ก็เป็นอยู่ค่ะ และมีเรื่องอะไรในใจก็จะเก็บไว้ ไม่พูด ไม่ระบายออกมา
ความโชคดีของเราคงเป็น เราพยายามถีบตัวเองและได้รับโอกาสจากบริษัทบ่อยๆ จนตอนนี้ค่าตอบแทนเราค่อนข้างสูงเกินประวัติการศึกษาเราไปมากค่ะ ทำให้เราไม่ได้ลำบากเรื่องเงินเก็บหลังเกษียณที่ตั้งไว้เท่าไหร่นัก (แต่ก็ยังเรียกว่าชีวิตฟุ่มเฟือยเหลือใช้ไม่ได้ค่ะ) แต่เรายังไม่อยากแต่งงานกับแฟน ไม่อยากจัดงาน เพราะสิ้นเปลือง เราไม่พร้อมจะสร้างครอบครัวใหม่ในขณะที่บ้านหลังเดิม (อายุ 30+ ปี) ยังคงต้องเก็บเงินซ่อมแซมอยู่ ถ้าจะต้องผ่อนเรือนหอเพิ่ม ก็ตึงมือเกินไปค่ะ เรารับภาระทั้งสองครอบครัวไม่ไหว แม้ว่าจะมีแฟนช่วยก็ตาม และแน่นอน เรายังคงไม่อยากมีลูก เพราะเหตุผลที่บอกข้างต้น
แต่ช่วงนี้ แม่เราเริ่มพูดเรื่องนี้ อยากให้เราจัดงานแต่ง เล็กๆ ก็ได้ แค่จดทะเบียนไม่พอ เพื่อเห็นแก่หน้าตาแม่ และอยากให้เรามีลูกซัก 2 คน จะได้เป็นเพื่อนกัน
เราปฏิเสธหมดค่ะ แต่ไม่บอกเหตุผล ท่านไม่ได้ถึงขั้นบังคับ แต่ท่านเอาแต่พูดว่า เป็นเพราะเราหัวรั้น เราดื้อ เราไม่เหมือนคนอื่น ไม่มีใครคิดเหมือนเรา (อาจจะเพราะเราใช้วิธีตอบโต้ผิดค่ะตอนนั้น เราบอกแม่ว่า ถ้าอยากให้ชาวบ้านเค้ารู้ว่าแต่งงาน ทำไมไม่ประกาศใน facebook ฟรีด้วย 5555)
เราจุกอีกรอบค่ะ แต่ครั้งนี้จุกมากกว่าเดิม เราเครียดเรื่องนี้มาก มันเกิดมาหลายเดือนแล้ว และมีเกิดเรื่อยๆ แม้ไม่บ่อยนัก แต่นึกถึงทีไร เราต้องแอบร้องไห้ทุกครั้ง เครียดมากกว่าการที่เรายอมรับภาระทั้งหมดของเราซะอีก เรียกได้ว่ามันคือความผิดหวังมั้งคะ คนที่คิดว่าเราทุ่มเทให้ อยู่กับเรามาตลอดชีวิต น่าจะเข้าใจเรามากที่สุด เข้าใจภาระบนบ่าเรา เข้าใจความกดดันและการพยายามขยับฐานะทางบ้านของเรา ควรจะเข้าใจว่าเราไม่พร้อมเหมือนคนวัยเดียวกันคนอื่นๆ ที่มีครอบครัวช่วยซัพพอร์ต แต่กลับตัดสินแค่ว่าเราดื้อรั้น ไม่เห็นแก่หน้าเค้า แล้วเราก็ไม่กล้าอธิบายเหตุผลทั้งหมดของเรา เพราะเรากลัวตัวเองพรั่งพรูออกมา และกลัวเค้าคิดมาก กลัวเค้าเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นภาระ กลัวเค้าเป็นซึมเศร้าและโทษตัวเองเพราะเรื่องนี้ เราเลยเลือกที่จะปฏิเสธแบบคนหัวดื้ออย่างที่แม่เข้าใจมาตลอด
แต่เราอึดอัดมากจริงๆ ค่ะ
ว่ากันตามตรง การจัดงานแต่งเล็กๆ แบบที่คุณแม่หวัง มันก็คงใช้เงินไม่เท่าไหร่ และไม่ใช่ว่าเราไม่อยากมีงานแต่งนะคะ จนทุกวันนี้ เราก็ยังเซฟภาพสวยๆ ของงานแต่ง เซฟภาพชุดเจ้าสาวไว้อยู่เลย เราก็เป็นผู้หญิงคนนึงค่ะ แต่เงินส่วนที่จะฟุ่มเฟือยของเรา มันมีจำกัด และมันยังมีสิ่งที่เราอยากทำ อยากได้ อยากไป มากกว่าเอามาจัดงานค่ะ จริงๆ ตรงนี้เราน่าจะอธิบายให้เค้าฟังใช่มั้ยคะ แต่ตอนนั้นที่เราได้ยินคำว่า “ไม่เห็นแก่หน้าแม่บ้างเลยเหรอ ไม่มีใครเค้าทำเหมือนลูกหรอก” เราพูดอะไรไม่ออกเลยค่ะ ทั้งโมโห ทั้งน้อยใจ ทั้งผิดหวัง ทั้งอยากตัดพ้อว่าแล้วสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดล่ะ เราเต็มที่กับที่บ้านตลอด ที่บ้านคือ priority สำหรับเรา โดยที่ไม่เคยอิดออดใดๆ แค่เราไม่จัดงานแบบคู่อื่น มันทำให้เกียรติของแม่เสียขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วเพราะสาเหตุอะไรล่ะ ที่ทำให้เราต้องลำบากใจกับการเสียเงินจัดงานเลี้ยง?
จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังไม่มีโอกาสได้อธิบาย เพราะพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงมาโดยตลอด
บางทีเราก็สงสัยค่ะ ว่าเราจะต้องเป็นลูกที่เพียบพร้อมขนาดไหนเหรอคะ ถึงจะถูกต้องถูกใจ
ตั้งใจเรียน
ได้งานมั่นคง รายได้ดี
เลี้ยงดูที่บ้านเต็มที่
แต่งงาน จัดงานให้มีหน้ามีตา
มีลูก
ต้องครบหมดทุกข้อเลยใช่มั้ยคะ ถึงจะโอเค ถึงจะเหมือนใครๆ เค้า
เราไม่เคยเห็นจะอยากพูดบ้างเลย ว่าทำไมที่บ้านไม่ให้เงินหนูไปจัดงานล่ะ ทำไมไม่ให้เงินมรดกไว้เลี้ยงหลานล่ะ ทำไมไม่ซื้อรถซื้อคอนโดให้เป็นของขวัญล่ะ ทำไมไม่วางแผนการเงินกันให้ดีๆ แบบครอบครัวอื่นบ้างล่ะ
เราไม่เคยติดใจตัดพ้อเรื่องพวกนี้เลย เพราะเราเข้าใจ และคิดว่าสถานการณ์ชีวิตแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน ซึ่งไม่เป็นไรค่ะ เราสร้างตัวเองใหม่ก็ได้ แต่ขอให้เราได้ตัดสินใจเอง ว่าเราจะใช้เงินส่วนที่เหลือของเรากับอะไรบ้าง อย่าตัดสินเราเพียงเพราะเราคิดไม่เหมือนเค้า
หวังว่าสักวันเราจะกล้าอธิบายให้แม่ฟังแบบนี้ค่ะ
เล่าไปเรื่อยมายาวๆ เลย สุดท้าย เราไม่ใจแข็งพอจะออกจากวงโคจรนี้หรอกค่ะ คงเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ และปลอบใจตัวเองด้วยคำว่า ภูมิใจในตัวเองเหมือนกันนะเนี่ยที่ทำได้ แต่ถ้าให้เลือก ไม่อยากให้มีเด็กคนไหนต้องเจอแบบเราอีกแล้วค่ะ เคยอ่านกระทู้อื่นๆ บางคนเจอหนักกว่าเรามากๆ ด้วยซ้ำ จะบอกว่าเราเข้าใจมากๆ อ่านกี่ทีก็อยากกอดให้กำลังใจทุกคนที่เจอสถานการณ์คล้ายกันมากๆ เลย โดยเฉพาะคนที่โดนหาว่าอกตัญญู ซึ่งมันไม่ใช่เลย และอยากให้คนที่เป็นพ่อแม่ ครอบครัว เข้าใจ เห็นใจ ดูแลจิตใจเด็กเหล่านี้ให้ดีด้วยนะคะ ถ้าช่วยเค้าเรื่องเงินไม่ได้ ช่วยอย่ากดดันเค้าในเรื่องอื่นๆ ให้เค้าได้คิด ได้ตัดสินใจเอง ได้มีชีวิตของตัวเองในแบบอื่นๆ บ้างก็ยังดี
ทุกคนควรมีชีวิตเป็นของตัวเองค่ะ
ขอบคุณที่รับฟัง (อ่าน) กันนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ