จับตา โอมิครอน สายพันธุ์ใหม่ "BA.2.2" จากฮ่องกง ทำยอดตายพุ่ง
https://www.thairath.co.th/news/society/2338760
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ไม่ประมาท จับตา
"โอมิครอน" สายพันธุ์ใหม่ "BA.2.2" จากฮ่องกง ทำยอดตายพุ่ง โชคดียังไม่พบในไทย
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 10 มีนาคม 65 เกี่ยวกับโอมิครอน "BA.2.2" (B.1.1.529.2.2) จาก "ฮ่องกง" ที่อาจเป็นภัยร้ายในอนาคต
โดยระบุว่า
การระบาดใหญ่ระลอกล่าสุดของโอมิครอนบนเกาะฮ่องกง ได้ก่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ "BA.2.2" หรือ B.1.1.529.2.2 ที่มีการกลายพันธุ์เด่นตรงหนามแหลมซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโนตำแหน่งที่ 1221 จาก I (Isoleucine) เป็น T (Threonine) หรือ "S:I1221T" และการกลายพันธุ์ตรงยีน "ORf1a: T4087I" โดยพบมีแพร่ระบาดไปยังอังกฤษแล้วเช่นกัน
การระบาดระลอกใหม่นี้ทำให้มีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในฮ่องกงพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในโลก โดยมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยในรอบ 7 วันอยู่ที่ 30 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 0.85 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ดังนั้นท่านที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนควรรีบไปฉีด
ที่น่ากังวลคือ จากการที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จากโอมิครอนในฮ่องกงเพิ่มขึ้นอย่างมาก เฉลี่ยในรอบ 7 วันอยู่ที่ 5,425 คนต่อประชากร 1 ล้านคน เมื่อเทียบกับอันดับสองประเทศลัตเวีย จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ใกล้เคียงกันคือ 5,278 ต่อประชากร 1 ล้านคน ประเทศไทยอยู่ที่ 315 คนต่อประชากร 1 ล้านคน แต่ปรากฏว่าอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 บนเกาะฮ่องกงสูงมาก คือ มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยในรอบ 7 วันอยู่ที่ 30 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ในขณะที่ทั้งลัตเวียและไทย อยู่ที่ 10.7 และ 0.7 ตามลำดับ
กล่าวคือ ที่ฮ่องกงมีอัตราผู้เสียชีวิตสูงกว่าลัตเวียถึง 2 เท่า โดยทั้งลัตเวียและไทยมีการระบาดของสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 ไม่พบ BA.2.2 ทำให้มีแนวโน้มว่าโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ย่อย BA.2.2 อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในฮ่องกงพุ่งขึ้นจนทำสถิติสูงที่สุดในโลก
ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ฮ่องกงและทั่วโลกกำลังประมวลผลรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของ BA.2.2 กับข้อมูลทางคลินิกเพื่อตอบปัญหาสำคัญ 6 ประการ
1. BA.2.2 กลายพันธุ์ไปมากกว่า BA.2 หรือไม่ และตำแหน่งใดบ้างโดยเฉพาะในส่วนยีนที่ควบคุมโครงสร้างของหนาม (spike) ที่เปลือกของอนุภาคไวรัส
ในเบื้องต้นทราบแล้ว BA.2.2 มีการกลายพันธุ์ไป 2 ตำแหน่งที่ไม่พบในสายพันธุ์หลักและสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ คือ "S:I1221T" และ "ORf1a: T4087I"
2. BA.2.2 แพร่ระบาด (transmissibility) รวดเร็วกว่า BA.2 หรือไม่
3. BA.2.2 ก่อให้เกิดอาการของโรคโควิดได้รุนแรง (severity) กว่า BA.2 หรือสายพันธุ์ที่น่ากังวลใจ (variants of concern) อื่นๆ เช่น อัลฟา เบตา แกมมา เดลตา หรือไม่
4. BA.2.2 สามารถด้อยประสิทธิภาพของวัคซีนลงมากกว่า BA.2 หรือไม่
5. ยารักษาโมโนโคลนอลแอนติบอดีตัวล่าสุด “โซโทรวิแมบ” (Sotrovimab) ที่ใช้ต่อต้านโอมิครอน ยังสามารถจับกับ BA.2.2 ได้อยู่หรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ของระบบทางเดินหายใจ
6. ใช่หรือไม่ ที่ BA.2.2 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในฮ่องกงสูงที่สุดในโลก
ปัจจุบันยังไม่พบ BA.2.2 ในประเทศไทย แต่เพื่อไม่ประมาททางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯได้เริ่มพัฒนาชุดตรวจ BA.2.2 แล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จนำออกใช้ตรวจกรอง BA.2.2 ได้ภายในอีก 2 สัปดาห์ด้วยเทคโนโลยี "MassArray Genotyping" ซึ่งใช้เวลาในการตรวจรู้ผลบรรดาสายพันธุ์ที่น่ากังวล (variants of concern: VOC) รวมทั้ง BA.2.2 ในการตรวจเพียงครั้งเดียว (single reaction) ใช้เวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมงในการออกผล.
https://www.facebook.com/CMGrama/posts/4883454121762329
ก.พลังงานย้ำชัด 1 เม.ย.นี้ ขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม กก.ละ 1 บาท วอน ปชช.ลดใช้พลังงานลง 10%
https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/282460
กระทรวงพลังงานย้ำชัด 1 เมษายนนี้ จำเป็นต้องขึ้นราคาก๊าซหุงต้มกก.ละ 1 บาท จากถัง 15 กก. ราคา 318 บาท ขึ้นเป็น 333 บาท ขณะที่ค่าเอฟที ปรับขึ้ น 16 สต./หน่วย เริ่ม 1 พ.ค. ส่วนดีเซลตรึงต่อ 30 บาทตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาล พร้อมวอนประชาชนลดใช้พลังงานลง 10% ช่วยชาติ
นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน ชี้แจงสถานการณ์ราคาพลังงานที่มีความผันผวนในระดับสูง รวมถึงมาตรการของรัฐในการดูแลค่าครองชีพด้านพลังงานของประชาชน โดยยอมรับว่าสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 14 ปี
แม้วันนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบ จะลงมาเหลือ 115.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เบรนท์ ลดลงเป็นวันที่ 2 เหลือ 109.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ก็ถือว่ายังผันผวนในระดับสูงและต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแบบวันต่อวัน พร้อมคาดการณ์หากสถานการณ์ตึงเครียดยืดเยื้อ อาจทำให้เดือนเมษายนนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบอาจพุ่งเกิน 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซล 150 – 170 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
สำหรับมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน กระทรวงพลังงานยืนยันว่า จะยังตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อเนื่องที่ระดับ 30 บาทต่อลิตรต่อไป ภายใต้วงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ขยายวงเงินให้กองทุนน้ำมันสามารถกู้เพิ่ม จาก 30,000 ล้านบาท เป็น 40,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เงินกองทุนน้ำมันชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแล้ว 23,986 ล้านบาท หรือ เฉลี่ย 14 บาทต่อลิตร โดยฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ ล่าสุดเหลือเงิน 7,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับที่ได้รับขยายวงเงินมาอีก 10,000 ล้านบาท เท่ากับยังมีวงเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลได้อีก 17,000 ล้านบาท คาดว่าจะประคองราคาได้จนถึง พ.ค. นี้
ทั้งนี้หากสถานการณ์ยืดเยื้อ และราคาน้ำม้นโลกยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และ สภาพัฒน์ จะมีการพิจารณาหามาตรการเพิ่มเติมเข้ามาเสริม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือ และติดตามสถานการณ์รายวัน ส่วนผู้มีรายได้น้อย กลุ่มมอเตอร์ไซค์ที่ใช้เบนซิน ยังคงอยู่ระหว่างหาแนวทางช่วยเหลือ โดยบอกว่าต้องใช้เวลาอีกระยะ
สำหรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) จะยังตรึงราคา 318 บาทต่อกก. ไปจนถึง 31 มี.ค. 65 ตามมาตรการเดิม แต่ หลังจากนั้น 1 เมษายน จำเป็นต้องมีการปรับขึ้นราคาเป็นขั้นบันได โดยก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี.) ขนาดถัง 15 กก. จะปรับขึ้นราคาจาก 318 บาท เป็น 333 บาท หรือเฉลี่ยขึ้นกก.ละ 1 บาท หลังจากที่ตรึงราคามาเป็นเวลานานจากช่วงปี 63 ที่เริ่มมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ราคาก๊าซแอลพีจีตลาดโลกเฉลี่ย 400 เหรียญต่อตัน
ขณะนี้เพิ่มมาอยู่ที่ 968 เหรียญต่อตัน ทำให้มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุน และไม่ให้เกิดส่วนต่างจนทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าส่งออกโดยผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย โดยการเติมวงเงินสำหรับซื้อก๊าซหุงต้มของกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเป็น 55 บาท ต่อ 3 เดือน
เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้า ที่จะต้องมีการปรับค่า เอฟที เพิ่มขึ้นตามต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งตามการประกาศของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานหรือ กกพ. จะมีการปรับขึ้นค่าเอฟที 16 สตางค์ต่อหน่วยในงวดเดือน พ.ค. ก็จะดำเนินการตามระดับราคาเดิมที่เคยประกาศแม้ขณะนี้ราคาเชื้อเพลิงจะพุ่งสูงทำให้ต้นทุนค่าไฟเพิ่มขึ้น แต่จะพยายามตรึงราคาไว้ไม่ให้เกินจากกรอบที่ได้เคยประกาศไปก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยลดการใช้พลังงานให้ได้อย่างน้อย 10% ด้วยการลดอุณหภูมิแอร์ ดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ โดยหน่วยงานของกระทรวงพลังงานจะมีกิจกรรมสนับสนุนลดใช้พลังงาน เช่น กลุ่ม ปตท. จะรณรงค์ประหยัดน้ำมัน และให้ สถานบริการตรวจเช็คสภาพรถ FIT Auto ของโออาร์ รับตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้ประชาชนฟรี 35 รายการจนถึงสิ้นเดือนเมษาฯ
ด้านการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จะเปิดโครงการล้างแอร์ฟรี 10,000 สิทธิ์ 5 ภูมิภาค ให้ส่วนลดในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เบอร์ 5 สามดาว หวังลดการใช้ไฟฟ้า 1.3 ล้านหน่วยต่อปี ลดคาร์บอน 1 พันตันต่อปี สร้างการจ้างงานช่างล้างแอร์ กระตุ้นเศรษฐกิจซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 ได้ 20 กว่าล้านบาท
ขณะที่ภาครัฐจะลดการใช้พลังงานลง 20% ด้วยการลดการเดินทาง ออกมาตรการให้เอกชนมาเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าและติดตั้งโซล่าร์เซลล์ให้กับหน่วยงานรัฐ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
ส่วนการสำรองน้ำมัน นางสาว
นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ได้ประสานงานกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมอย่างใกล้ชิด ทุกรายได้แจ้งยืนยันว่ายังคงสามารถจัดหาน้ำมันดิบได้ตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 2 เดือน สำหรับความต้องการใช้น้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 123.25 ล้านลิตร/วัน และน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยอยู่ที่ 119.88 ล้านลิตร/วัน
ปัจจุบันมีปริมาณน้ำมันดิบคงเหลือ (รวมที่อยู่ระหว่างการขนส่ง) อยู่ที่ 5,686.44 ล้านลิตร และมีปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลืออยู่ที่ 1,703.61 ล้านลิตร ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำมันของประเทศได้ถึง 61 วัน นอกจากนี้ บมจ.ปตท. ยังมีมาตรการเตรียมพร้อมจัดหาน้ำมันดิบเพิ่มเติมอีก 635.94 ล้านลิตร (4 ล้านบาร์เรล) จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองเป็น 66 วัน ส่งผลให้ประเทศมีน้ำมันใช้เพียงพอไม่ขาดแคลน
นอกจากนี้ยังประสานผู้ค้าน้ำมันเตรียมประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย น้ำมันดิบเป็นร้อยละ 5 และน้ำมันสำเร็จรูปเป็นร้อยละ 2 ตามลำดับ จากปัจจุบันอัตราสำรองน้ำมันดิบร้อยละ 4 และน้ำมันสำเร็จรูปร้อยละ 1 ซึ่งจะช่วยให้มีปริมาณน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้นอีก 7 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถรักษาเสถียรภาพพลังงานได้โดยไม่กระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน
สภาล่างสหรัฐฯ ผ่านงบฯ 4.5 แสนล้านบาทช่วยเหลือ 'ยูเครน'
https://voicetv.co.th/read/RnyUmBHVN
สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ หรือสภาล่าง ได้ลงมติช่วงกลางดึกของวันที่ 9 มี.ค.เพื่อผ่านร่างงบประมาณก้อนใหญ่ในการส่งความช่วยเหลือให้กับประเทศยูเครนเพื่อฟื้นฟูและต่อต้านรัสเซีย
งบประมาณก้อนนี้มีมูลค่ามากถึง
13,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 450,833 ล้านบาท มีกำหนดจะเข้าสู่การลงมติของสมาชิกวุฒิสภาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ก่อนการลงนามโดยประธานาธิบดี
โจ ไบเดน เป็นขั้นตอนสุดท้าย
ในวงเงินช่วยเหลือมากกว่า 450,833 ล้านบาท จะมีการแบ่งไปใช้เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับชาวยูเครน การใช้จ่ายด้านความมั่นคง และการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
คณะกรรมการจัดสรรงบประมาณแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยังระบุด้วยว่า งบประมาณจำนวน 4,000 ล้านดอลลาร์หรือราว 132,000 ล้านบาทจะถูกส่งไปช่วยผู้ลี้ภัยที่ต้องหนีออกนอกยูเครนซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1.5 ล้านคน และพลเมืองยูเครนที่ต้องพลัดถิ่นหนีตายแต่ยังคงอยู่ภายในประเทศ
นอกจากนั้นยังได้มีการเพิ่มอำนาจประธานาธิบดีในการส่งยุทโธปกรณ์ช่วยเหลือยูเครนและชาติพันธมิตรเขึ้นเป็น 3,000 ล้านดอลลาร์หรือราว 99,000 ล้านบาทอีกด้วย
JJNY : จับตา"BA.2.2"จากฮ่องกง│1เม.ย.ขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม│สหรัฐฯผ่านงบฯ4.5แสนล.บ.ช่วยยูเครน│“ชลน่าน”เมิน“ศรีสุวรรณ-สนธิญา”
https://www.thairath.co.th/news/society/2338760
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ไม่ประมาท จับตา "โอมิครอน" สายพันธุ์ใหม่ "BA.2.2" จากฮ่องกง ทำยอดตายพุ่ง โชคดียังไม่พบในไทย
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 10 มีนาคม 65 เกี่ยวกับโอมิครอน "BA.2.2" (B.1.1.529.2.2) จาก "ฮ่องกง" ที่อาจเป็นภัยร้ายในอนาคต
โดยระบุว่า
การระบาดใหญ่ระลอกล่าสุดของโอมิครอนบนเกาะฮ่องกง ได้ก่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ "BA.2.2" หรือ B.1.1.529.2.2 ที่มีการกลายพันธุ์เด่นตรงหนามแหลมซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโนตำแหน่งที่ 1221 จาก I (Isoleucine) เป็น T (Threonine) หรือ "S:I1221T" และการกลายพันธุ์ตรงยีน "ORf1a: T4087I" โดยพบมีแพร่ระบาดไปยังอังกฤษแล้วเช่นกัน
การระบาดระลอกใหม่นี้ทำให้มีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในฮ่องกงพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในโลก โดยมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยในรอบ 7 วันอยู่ที่ 30 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 0.85 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ดังนั้นท่านที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนควรรีบไปฉีด
ที่น่ากังวลคือ จากการที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จากโอมิครอนในฮ่องกงเพิ่มขึ้นอย่างมาก เฉลี่ยในรอบ 7 วันอยู่ที่ 5,425 คนต่อประชากร 1 ล้านคน เมื่อเทียบกับอันดับสองประเทศลัตเวีย จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ใกล้เคียงกันคือ 5,278 ต่อประชากร 1 ล้านคน ประเทศไทยอยู่ที่ 315 คนต่อประชากร 1 ล้านคน แต่ปรากฏว่าอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 บนเกาะฮ่องกงสูงมาก คือ มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยในรอบ 7 วันอยู่ที่ 30 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ในขณะที่ทั้งลัตเวียและไทย อยู่ที่ 10.7 และ 0.7 ตามลำดับ
กล่าวคือ ที่ฮ่องกงมีอัตราผู้เสียชีวิตสูงกว่าลัตเวียถึง 2 เท่า โดยทั้งลัตเวียและไทยมีการระบาดของสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 ไม่พบ BA.2.2 ทำให้มีแนวโน้มว่าโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ย่อย BA.2.2 อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในฮ่องกงพุ่งขึ้นจนทำสถิติสูงที่สุดในโลก
ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ฮ่องกงและทั่วโลกกำลังประมวลผลรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของ BA.2.2 กับข้อมูลทางคลินิกเพื่อตอบปัญหาสำคัญ 6 ประการ
1. BA.2.2 กลายพันธุ์ไปมากกว่า BA.2 หรือไม่ และตำแหน่งใดบ้างโดยเฉพาะในส่วนยีนที่ควบคุมโครงสร้างของหนาม (spike) ที่เปลือกของอนุภาคไวรัส
ในเบื้องต้นทราบแล้ว BA.2.2 มีการกลายพันธุ์ไป 2 ตำแหน่งที่ไม่พบในสายพันธุ์หลักและสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ คือ "S:I1221T" และ "ORf1a: T4087I"
2. BA.2.2 แพร่ระบาด (transmissibility) รวดเร็วกว่า BA.2 หรือไม่
3. BA.2.2 ก่อให้เกิดอาการของโรคโควิดได้รุนแรง (severity) กว่า BA.2 หรือสายพันธุ์ที่น่ากังวลใจ (variants of concern) อื่นๆ เช่น อัลฟา เบตา แกมมา เดลตา หรือไม่
4. BA.2.2 สามารถด้อยประสิทธิภาพของวัคซีนลงมากกว่า BA.2 หรือไม่
5. ยารักษาโมโนโคลนอลแอนติบอดีตัวล่าสุด “โซโทรวิแมบ” (Sotrovimab) ที่ใช้ต่อต้านโอมิครอน ยังสามารถจับกับ BA.2.2 ได้อยู่หรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ของระบบทางเดินหายใจ
6. ใช่หรือไม่ ที่ BA.2.2 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในฮ่องกงสูงที่สุดในโลก
ปัจจุบันยังไม่พบ BA.2.2 ในประเทศไทย แต่เพื่อไม่ประมาททางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯได้เริ่มพัฒนาชุดตรวจ BA.2.2 แล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จนำออกใช้ตรวจกรอง BA.2.2 ได้ภายในอีก 2 สัปดาห์ด้วยเทคโนโลยี "MassArray Genotyping" ซึ่งใช้เวลาในการตรวจรู้ผลบรรดาสายพันธุ์ที่น่ากังวล (variants of concern: VOC) รวมทั้ง BA.2.2 ในการตรวจเพียงครั้งเดียว (single reaction) ใช้เวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมงในการออกผล.
https://www.facebook.com/CMGrama/posts/4883454121762329
ก.พลังงานย้ำชัด 1 เม.ย.นี้ ขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม กก.ละ 1 บาท วอน ปชช.ลดใช้พลังงานลง 10%
https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/282460
กระทรวงพลังงานย้ำชัด 1 เมษายนนี้ จำเป็นต้องขึ้นราคาก๊าซหุงต้มกก.ละ 1 บาท จากถัง 15 กก. ราคา 318 บาท ขึ้นเป็น 333 บาท ขณะที่ค่าเอฟที ปรับขึ้ น 16 สต./หน่วย เริ่ม 1 พ.ค. ส่วนดีเซลตรึงต่อ 30 บาทตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาล พร้อมวอนประชาชนลดใช้พลังงานลง 10% ช่วยชาติ
นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน ชี้แจงสถานการณ์ราคาพลังงานที่มีความผันผวนในระดับสูง รวมถึงมาตรการของรัฐในการดูแลค่าครองชีพด้านพลังงานของประชาชน โดยยอมรับว่าสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 14 ปี
แม้วันนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบ จะลงมาเหลือ 115.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เบรนท์ ลดลงเป็นวันที่ 2 เหลือ 109.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ก็ถือว่ายังผันผวนในระดับสูงและต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแบบวันต่อวัน พร้อมคาดการณ์หากสถานการณ์ตึงเครียดยืดเยื้อ อาจทำให้เดือนเมษายนนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบอาจพุ่งเกิน 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซล 150 – 170 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
สำหรับมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน กระทรวงพลังงานยืนยันว่า จะยังตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อเนื่องที่ระดับ 30 บาทต่อลิตรต่อไป ภายใต้วงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ขยายวงเงินให้กองทุนน้ำมันสามารถกู้เพิ่ม จาก 30,000 ล้านบาท เป็น 40,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เงินกองทุนน้ำมันชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแล้ว 23,986 ล้านบาท หรือ เฉลี่ย 14 บาทต่อลิตร โดยฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ ล่าสุดเหลือเงิน 7,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับที่ได้รับขยายวงเงินมาอีก 10,000 ล้านบาท เท่ากับยังมีวงเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลได้อีก 17,000 ล้านบาท คาดว่าจะประคองราคาได้จนถึง พ.ค. นี้
ทั้งนี้หากสถานการณ์ยืดเยื้อ และราคาน้ำม้นโลกยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และ สภาพัฒน์ จะมีการพิจารณาหามาตรการเพิ่มเติมเข้ามาเสริม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือ และติดตามสถานการณ์รายวัน ส่วนผู้มีรายได้น้อย กลุ่มมอเตอร์ไซค์ที่ใช้เบนซิน ยังคงอยู่ระหว่างหาแนวทางช่วยเหลือ โดยบอกว่าต้องใช้เวลาอีกระยะ
สำหรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) จะยังตรึงราคา 318 บาทต่อกก. ไปจนถึง 31 มี.ค. 65 ตามมาตรการเดิม แต่ หลังจากนั้น 1 เมษายน จำเป็นต้องมีการปรับขึ้นราคาเป็นขั้นบันได โดยก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี.) ขนาดถัง 15 กก. จะปรับขึ้นราคาจาก 318 บาท เป็น 333 บาท หรือเฉลี่ยขึ้นกก.ละ 1 บาท หลังจากที่ตรึงราคามาเป็นเวลานานจากช่วงปี 63 ที่เริ่มมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ราคาก๊าซแอลพีจีตลาดโลกเฉลี่ย 400 เหรียญต่อตัน
ขณะนี้เพิ่มมาอยู่ที่ 968 เหรียญต่อตัน ทำให้มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุน และไม่ให้เกิดส่วนต่างจนทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าส่งออกโดยผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย โดยการเติมวงเงินสำหรับซื้อก๊าซหุงต้มของกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเป็น 55 บาท ต่อ 3 เดือน
เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้า ที่จะต้องมีการปรับค่า เอฟที เพิ่มขึ้นตามต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งตามการประกาศของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานหรือ กกพ. จะมีการปรับขึ้นค่าเอฟที 16 สตางค์ต่อหน่วยในงวดเดือน พ.ค. ก็จะดำเนินการตามระดับราคาเดิมที่เคยประกาศแม้ขณะนี้ราคาเชื้อเพลิงจะพุ่งสูงทำให้ต้นทุนค่าไฟเพิ่มขึ้น แต่จะพยายามตรึงราคาไว้ไม่ให้เกินจากกรอบที่ได้เคยประกาศไปก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยลดการใช้พลังงานให้ได้อย่างน้อย 10% ด้วยการลดอุณหภูมิแอร์ ดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ โดยหน่วยงานของกระทรวงพลังงานจะมีกิจกรรมสนับสนุนลดใช้พลังงาน เช่น กลุ่ม ปตท. จะรณรงค์ประหยัดน้ำมัน และให้ สถานบริการตรวจเช็คสภาพรถ FIT Auto ของโออาร์ รับตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้ประชาชนฟรี 35 รายการจนถึงสิ้นเดือนเมษาฯ
ด้านการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จะเปิดโครงการล้างแอร์ฟรี 10,000 สิทธิ์ 5 ภูมิภาค ให้ส่วนลดในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เบอร์ 5 สามดาว หวังลดการใช้ไฟฟ้า 1.3 ล้านหน่วยต่อปี ลดคาร์บอน 1 พันตันต่อปี สร้างการจ้างงานช่างล้างแอร์ กระตุ้นเศรษฐกิจซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 ได้ 20 กว่าล้านบาท
ขณะที่ภาครัฐจะลดการใช้พลังงานลง 20% ด้วยการลดการเดินทาง ออกมาตรการให้เอกชนมาเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าและติดตั้งโซล่าร์เซลล์ให้กับหน่วยงานรัฐ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
ส่วนการสำรองน้ำมัน นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ได้ประสานงานกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมอย่างใกล้ชิด ทุกรายได้แจ้งยืนยันว่ายังคงสามารถจัดหาน้ำมันดิบได้ตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 2 เดือน สำหรับความต้องการใช้น้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 123.25 ล้านลิตร/วัน และน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยอยู่ที่ 119.88 ล้านลิตร/วัน
ปัจจุบันมีปริมาณน้ำมันดิบคงเหลือ (รวมที่อยู่ระหว่างการขนส่ง) อยู่ที่ 5,686.44 ล้านลิตร และมีปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลืออยู่ที่ 1,703.61 ล้านลิตร ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำมันของประเทศได้ถึง 61 วัน นอกจากนี้ บมจ.ปตท. ยังมีมาตรการเตรียมพร้อมจัดหาน้ำมันดิบเพิ่มเติมอีก 635.94 ล้านลิตร (4 ล้านบาร์เรล) จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองเป็น 66 วัน ส่งผลให้ประเทศมีน้ำมันใช้เพียงพอไม่ขาดแคลน
นอกจากนี้ยังประสานผู้ค้าน้ำมันเตรียมประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย น้ำมันดิบเป็นร้อยละ 5 และน้ำมันสำเร็จรูปเป็นร้อยละ 2 ตามลำดับ จากปัจจุบันอัตราสำรองน้ำมันดิบร้อยละ 4 และน้ำมันสำเร็จรูปร้อยละ 1 ซึ่งจะช่วยให้มีปริมาณน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้นอีก 7 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถรักษาเสถียรภาพพลังงานได้โดยไม่กระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน
สภาล่างสหรัฐฯ ผ่านงบฯ 4.5 แสนล้านบาทช่วยเหลือ 'ยูเครน'
https://voicetv.co.th/read/RnyUmBHVN
สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ หรือสภาล่าง ได้ลงมติช่วงกลางดึกของวันที่ 9 มี.ค.เพื่อผ่านร่างงบประมาณก้อนใหญ่ในการส่งความช่วยเหลือให้กับประเทศยูเครนเพื่อฟื้นฟูและต่อต้านรัสเซีย
งบประมาณก้อนนี้มีมูลค่ามากถึง 13,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 450,833 ล้านบาท มีกำหนดจะเข้าสู่การลงมติของสมาชิกวุฒิสภาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ก่อนการลงนามโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน เป็นขั้นตอนสุดท้าย
ในวงเงินช่วยเหลือมากกว่า 450,833 ล้านบาท จะมีการแบ่งไปใช้เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับชาวยูเครน การใช้จ่ายด้านความมั่นคง และการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
คณะกรรมการจัดสรรงบประมาณแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยังระบุด้วยว่า งบประมาณจำนวน 4,000 ล้านดอลลาร์หรือราว 132,000 ล้านบาทจะถูกส่งไปช่วยผู้ลี้ภัยที่ต้องหนีออกนอกยูเครนซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1.5 ล้านคน และพลเมืองยูเครนที่ต้องพลัดถิ่นหนีตายแต่ยังคงอยู่ภายในประเทศ
นอกจากนั้นยังได้มีการเพิ่มอำนาจประธานาธิบดีในการส่งยุทโธปกรณ์ช่วยเหลือยูเครนและชาติพันธมิตรเขึ้นเป็น 3,000 ล้านดอลลาร์หรือราว 99,000 ล้านบาทอีกด้วย