ทะเลาะกับแฟนก่อนแต่งงาน ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ที่คบกันมา 15 ปี

ทะเลาะกับแฟนก่อนแต่งงาน ไม่รู้ต้องทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ที่คบกันมา 15 ปี 

ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า บ้านฝ่าย หญิงและชาย เป็นคนจีนทั้งคู่
ฝ่ายชายอายุ 35 ปี (ปริญญาตรี)  ฝ่ายหญิงอายุ 36 ปี (ปริญญาโท)
เราทั้งสองคนทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนทั้งคู่ 
ทางผมมีรายได้ต่อเดือนมากกว่าฝ่ายหญิง ประมาณ 4 เท่า
บ้านฝ่ายชายมีพ่อ (68 ปี) แม่ (59 ปี) ผม น้องสาว (32 ปี) 1 คน และ น้องชาย (19 ปี) 1 คน
ปัจจุบันพ่อแม่ไม่ได้ทำงานและไม่มีรายได้ ทั้งหมดอาศัยอยู่ด้วยกันครับ
มีน้องสาวทำงานเป็นพนักงานบริษัทแต่รายได้ไม่ได้เยอะมาก พอดูแลตัวเองได้
มีน้องชายกำลังศึกษาใน ระดับมหาวิทยาลัย 
ปัจจุบันผมเป็นเสาหลักในการดูแล ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของที่บ้าน รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่ด้วย 
ผมมีรายได้ในส่วนของการลงทุน อสังหาริมทรัพย์ หุ้น ทองคำ มาช่วยเหลือในส่วนนี้ด้วย 

เล่าให้ฟังก่อนว่า เราคบกันเป็นแฟนตั้งแต่ 2550 ปัจจุบันคบกันมา 15 ปี มีอุปสรรคมาบ้างก็ผ่านกันไปได้
แต่พึ่งได้เข้าไปบ้านฝ่ายหญิงเมื่อปลายปี 2564 ให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงรับรู้ แล้วเมื่อต้นปี 2565 ก็ได้คุยเรื่อง สินสอด เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้มีการวางแผนแต่งงานกัน พิธียกน้ำชาตอนเช้า + จัดงานเลี้ยงมงคลสมรสช่วงเย็น ประมาณต้นปี 2566 (ผมอยากจัดเร็วกว่านี้แต่แฟนไม่ยอม)
ต่อมาเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าคุณแม่ของฝ่ายชาย ตรวจพบเป็น มะเร็งระยะที่ 4 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ตรวจพบเป็นมะเร็งระยะที่ 2 เมื่อต้นปี 2563 แต่ก็ได้ทำการรักษามาตลอด แต่ตอนนี้มะเร็งรุกรามแล้ว  ฝ่ายหญิงทราบเรื่องที่คุณแม่เป็นมะเร็งมาโดยตลอด 

หลังจากที่ได้ทราบข่าวเรื่องคุณแม่ ทางผมจึงได้เข้าไปคุยกับทางแฟน ว่า ขอจัดงานเร็วขึ้นหน่อยได้ไหม โดยที่ขอยกเลิกงานเลี้ยงมงคลสมรสช่วงเย็น ให้เหลือแต่พิธีเช้าซึ่งมีเฉพาะ พ่อแม่ พี่น้องแท้ๆ กับ ญาติสนิทจริงๆเท่านั้น แล้วจดทะเบียนสมรสกัน 
แต่ทางแฟนก็ยืนยันว่ายังไงก็ต้องมีงานเลี้ยงช่วงเย็น แล้วต้องเชิญเพื่อนๆ ร่วมงาน โดยให้เหตุผลว่า สนใจหน้าตาทางสังคมเพื่อนฝูง ไม่อยากให้เกิดคำครหาหรือนินทาใดใดเกิดขึ้น โดยเธอบอกว่าถ้าให้เธอแต่งงานเธอจะเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นตลอดชีวิตคู่

ปล. 
- โดยทางบ้านผมมีความเชื่อเรื่องประเพณี ว่าถ้ามีการจัดงานศพ อย่างน้อยต้องเว้นระยะงานมงคลไปอีก 3 ปี 
- ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่าผมพร้อมที่แต่งงานแล้ว  เลยได้ขอแต่งงานกับแฟนตั้งแต่ปี 2560, 2561, 2562, 2563 แต่เธอก็ปฏิเสธ มาโดยตลอดโดยให้เหตุผล เรื่องหน้าที่การงาน ว่าของเธอยังไม่มั่นคง โดยส่วนตัวผมคิดว่า อยากแต่งงานให้เร็วที่สุดในช่วงเวลานั้น  เนื่องจากผมกังวลเรื่องภาวะของการมีบุตรในกรณีที่แฟนมีอายุเกิน 35 ปี แต่ดูเหมือนแฟนจะไม่มีความกังวลเรื่องดังกล่าวเลย
- ทางผู้หญิงยืนยันว่าถ้าจะแต่งงานยังไงก็ต้องแยกออกมาอยู่ไม่อยู่รวมโดยเด็ดขาด ถ้าอยู่รวมเธอก็เลือกที่จะไม่แต่งงาน เงื่อนไขนี้ผมยอมรับแล้วที่จะแยกออกมาไม่อยู่รวม ก่อนที่จะทราบว่าคุณแม่เป็นมะเร็งระยะที่ 4
- ผมเริ่มมีความรู้สึกว่าผม ควรจะปล่อยเธอไปให้พบกับคนที่เหมาะสมกับเธอ เพราะสถานการณ์ของผม ณ ปัจจุบัน ไม่สามารถให้สิ่งที่เธอต้องการได้แล้วอีกต่อไป  เช่น เรื่องการจัดงานแต่งงาน รวมทั้งให้ผมแยกออกไปอยู่ต่างหาก เพราะตอนนี้ผมคิดว่าผมควรจะอยู่กับคุณแม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- ผมมีความรู้สึกว่า ถ้าผมเลือกที่จะแต่งงานกับแฟนคนปัจจุบัน ผมจะไม่สามารถดูแลที่บ้านได้ดีเหมือนเดิม คุณพ่อคุณแม่ ก็อายุมากขึ้นทุกวัน อีกทั้งน้องชาย ก็ยังเรียนไม่จบ ส่วนน้องสาวอีกคนก็คิดว่าไม่ได้แต่งงานครับเพราะปัจจุบันยังไม่มีแฟนเลยครับ
- ที่ผมประสบความสำเร็จมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะมีทางคุณพ่อคุณแม่ สนับสนุนมาโดยตลอด ถ้าไม่มีท่านทั้งสองผมคงเดินมาได้ไม่ไกลเท่าทุกวันนี้ 

คำถามคือ
จากสถานการณ์ ปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับผม ณ ตอนนี้ อยากปรึกษาเพื่อนๆ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงว่า ควรหาทางออกอย่างไรดี ขอความรบกวนด้วยครับ

แก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลอยู่ใน comment ที่ 12 นะครับ
- เรื่องแยกบ้าน
- เรื่องลูกในอนาคต
- ค่าใช้จ่ายในการตัดงานแต่งงานสมรส
- เรื่องความเชื่อตามประเพณี
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 68
อัฟเดทสถานะการณ์นะครับ
  
ผมกับแฟนได้คุยแบบเปิดใจแล้วนะครับ
ผมเองก็มีส่วนผิดที่เร่งรีบในการจัดงานให้เร็วที่สุดโดยไม่ได้คิดถึงใจฝ่ายผู้หญิงเลย ว่าพ่อแม่เค้าจะรู้สึกยังไงบ้าง
ส่วนฝ่ายผู้หญิงทางพ่อแม่เค้าก็เข้าใจ โดยมีคำแนะนำให้มีการเตรียมงาน แต่งงานมงคลสมรสเหมือนเดิม โดยปรึกษากันแล้วว่า จะรีบเตรียมงานแต่งให้เร็วที่สุด คาดว่าใช้เวลาประมาณ สามเดือนหลังจากนี้ ในการเตรียมงาน โดยเลื่อนขึ้นมาให้เร็วขึ้น
ส่วนถ้าคุณแม่ผมยังพอมีบุญอยู่บ้างก็อยากให้ท่านร่วมงานเห็นงานแต่งงานของลูกชาย แต่ถ้าโชคร้ายทางผมกับแฟนก็ทำใจแล้วครับว่าคงเลื่อนไปอีกสามปี แล้วค่อยจัดงานแต่งงาน
  
ขอบคุณทุกคนมากครับสำหรับความคิดเห็นแล้วข้อเสนอแนะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ขอตอบในฐานะคนที่เข้าใจผู้หญิงแบบแฟน จขกท นะคะ

ไม่ใช่เธอไม่รักคุณ
แต่เธอจะไม่รักใคร จนก้าวข้ามเส้น ที่เธอขีดเอาไว้ ว่าเธอรับได้แค่ไหน
เพราะ เธอรู้ดีว่า ถ้ามันเกินที่เธอจะรับ เธอจะไม่มีความสุข และ ย่อมจะเป็นเหตุให้ชีวิตคู่ในอนาคตไม่มีความสุข
(ถือว่า เธอฉลาดเลือก ฉลาดวางแผนให้ตนเอง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์)

เรื่องแต่งงาน เธอยังรักชีวิตอิสระ จึงผัดผ่อนมาเรื่อย (แม้คุณจะขอเธอแต่งงานทุกปี)
หรือ อีกนัยหนึ่งคือ คุณยังมีนิสัยบางอย่าง หรือ ภาระบางอย่าง ที่เธอตะขิดตะขวง
ทำให้ยังไม่แน่ใจ ว่า คุณจะคือ คนที่เธออยากจะแต่งงานด้วยแน่ๆไหม

หลังจาก ดูใจกันมานานถึง 15 ปี  เธอตอบตกลงแล้ว
ว่าอยากใช้ชีวิตอยู่กับคุณ ซึ่งเธอ “พร้อมแต่ง” ต้นปีหน้า
พิธีการต่างๆก็คุยกันไว้หมดแล้ว หลังแต่งงาน ต้องแยกมาอยู่ต่างหาก ก็ตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว

เมื่อคุณมีเหตุ มีปัจจัย จำเป็นที่ต้องยกเลิกแผนเดิม
อยากแต่งเร็วขึ้น / ไม่อยากจัดงานเลี้ยงช่วงเย็น / ไม่อยากแยกบ้านแล้ว เพราะเป็นห่วงพ่อแม่ และน้องๆ

เธอไม่โอเค เธอก็ไม่ผิด
ผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตนเอง  คิดว่าตัวเองมีดี ดูแลตัวเองได้  มีความสุขด้วยตัวเองได้
เธอจะไม่รู้สึก ว่าการแต่งงานแบบสุกเอาเผากิน คือเรื่องที่เธอต้องยอมรับ

อายุ 36 ปี ผ่านการไปงานแต่งงานเพื่อนฝูงมาจนเกินจะนับ
เธอย่อมวาดฝันถึงงานตัวเองไว้ งานที่จะมีเพียง “ครั้งเดียว” ในชีวิต

เธอรู้ตัวดี ว่าหากยอมคุณเรื่องนี้ มันจะกลายเป็นปมในชีวิตคู่ของคุณและเธอ
และเธอจะเอามาเป็นประเด็นให้พาลหงุดหงิดเสมอ  ... ซึ่งนี่ไม่ใช่ ก้าวแรก ที่เธออยากจะเริ่มกับคุณในฐานะคู่ชีวิต

หากวันแต่งงาน ซึ่งเป็นวันที่เธอคิดว่า  ควรจะเป็นวันสำคัญที่สุด พิเศษที่สุดสำหรับเธอ
คุณให้เธอตามฝันไม่ได้
สายตา ที่เธอจะมองคุณแบบหวานซึ้ง ความภาคภูมิใจที่มีคุณ ความรักและให้เกียรติคุณมันก็จะลดน้อยลงไป
(เธอไม่รู้หรอกว่า อารมณ์นี้มันจะอยู่นานไหม แต่เธอก็ไม่อยากเสี่ยง ให้มีปัญหา เพราะเป็นเรื่องที่สามารถจะควบคุมได้แต่แรก)

แนะนำว่า ...

หากคุณ รักเธอจริงๆ ชีวิตนี้ ไม่คิดว่าจะมีใครแทนที่เธอได้ ในฐานะภรรยา
ให้ทำตามกำหนดการเดิม ทำตามแผนเดิม หากมีเหตุจำเป็นจะต้องเลื่อนงานแต่งไปอีกสามปี ก็เลื่อนไป
จัดงานให้เธอ สมเกียรติเธอ ตามที่คุณเคยรับปากไว้  แต่งแล้วก็แยกครอบครัวออกมาอยู่ต่างหาก
(อยู่ใกล้ๆกันกับบ้านเดิมก็ได้ จะได้กลับไปดูแลพวกท่านได้ง่ายๆ)
เรื่องมีลูก หากดูแลครรภ์ดีๆ อายุ 39 ก็ยังมีได้แบบปลอดภัยค่ะ

หรือ หากคุณตระหนักแล้วว่า คุณไม่อาจตามใจเธอได้ “อย่าฝืนนะคะ”

จบกันวันนี้ ด้วยความเข้าใจกัน

ความเป็นที่รัก เป็นคนรู้จัก รู้ใจกันมาตั้ง 15 ปี อย่าให้มันสูญเปล่า
เปลี่ยนมาเป็นสถานะเพื่อนผู้หวังดีต่อกัน แล้วให้โอกาสกันและกัน ได้มีชีวิตที่เป็นไปดังใจหวัง

คุณเพิ่งอายุ 35 ปี
โอกาสที่จะเจอผู้หญิง ...
ที่ไม่แคร์เรื่องพิธีแต่งงาน เพียงจดทะเบียนสมรส ก็พอ
ไม่รังเกียจที่จะไปอยู่รวมกับครอบครัวสามี มีน้ำใจ ช่วยดูแล พ่อแม่คุณอย่างดี ... ยังมีอยู่นะคะ

ค่อยๆหา ค่อยๆดูใจกันไป

บ่อยครั้ง ที่การเลือกคู่ชีวิต ไม่ได้เลือกจาก ความรัก เป็นตัวนำเสมอไป
บางที ความเหมาะสม นั่นแหละ คือ สิ่งที่ต้องนำมาวินิจฉัย คำนึงถึงและให้ความสำคัญก่อนคำว่าสิเน่หาด้วยซ้ำ
ชีวิตคู่ จะดำเนินไปได้ ด้วยความเรียบง่าย_ผาสุกค่ะ

ความคิดเห็นที่ 15
ประเด็นหลักๆนะคะ ไม่ต้องยืดยาว
แม่คุณป่วย แล้วเกี่ยวอะไรกับการไม่จัดพิธีเย็นคะ
อันนี้ไม่เข้าใจจริงๆ
บอกว่าไม่มีปัญหาการเงิน
แล้วเท่าที่อ่าน ผญก็ไม่ได้ไม่พอใจเรื่องเลื่อนวันแต่ง
แต่ไม่พอใจที่ ไม่จัดพิธีเย็น
คุณต้องตอบตัวเองก่อนว่ายกเลิกพิธีเย็นทำไม
เราอ่านแล้วยังไม่เข้าใจเลย

อ่านซ้ำอีกรอบ
ถ้าคุณจะยกเลิก เพราะอยู่ในอารมณ์เศร้า
ไม่มีอารมณ์มาจัดงานมงคล
เราว่าอันนี้ก็เห็นแก่ตัวเองไปหน่อยค่ะ
คุณเศร้า คุณไม่มีอารมณ์
แล้วแฟนคุณจะไม่เศร้าหรอถ้าไม่มีงานแต่ง

สิ่งที่คุณควรทำคือพูดประเด็นหลักๆกับแฟนคุณ
ฉันเศร้า ฉันรู้สึกหน่วงๆ หดหู่
เธอเป็นคนจัดแจงเรื่องงานเป็นหลักได้ไหม 70%
จบแล้วค่ะ ถ้าแฟนคุณโวยวายว่าไม่ได้!!
เศร้าก็ต้องมาจัดแจงด้วยกันเท่านั้น!!!
แบบนี้ค่อยมาตั้งกระทู้อีกรอบค่ะ
ความคิดเห็นที่ 16
มาให้กำลังใจค่ะ การดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่ป่วย ต้องใช้กำลังใจสูงมากๆ ใช้พลังงานทุกด้าน ทุกสิ่ง เราเข้าใจมากๆค่ะ ทำให้ดีที่สุด วันหน้าอีก 10 20 ผี เมื่อคุณมองย้อนกลับมา คุณจะไม่มีอะไรที่เสียดายที่ยังไม่ได้ทำ

มุมเรา ถ้าเราเป็นคุณ เราก็จะตัดสินใจแบบคุณ เราขอเลือกครอบครัวก่อน หากว่าแฟนจะพร้อมอยู่เคียงข้าง เข้าใจ ประนีประนอมก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่หากว่าไม่ ตักสินใจไปตอนนี้ก็ถือว่ายิ่งดี เป็นโบนัสแทรคก็ว่าได้

เรารู้คนเราไม่เหมือนกัน คิดแทนกัน ตัดสินแทนก็ไม่เหมาะ เราเชื่อว่าแฟนคุณคงมีเหตุผลของตัวเอง และประเมินความเสี่ยงทุกด้าน ชั่งน้ำหนักไว้ดีแล้ว เลือกเองที่จะเอาความต้องการของตัวเองมาไว้นำหน้า ถือว่าคุณโชคดีมาก ที่ได้วัดใจกันตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงาน

ในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ ปัจจัยแวดล้อมที่ว่านี้ ดูแลพ่อแม่เราให้ดีที่สุดก่อนค่ะ ช่วงนี้อาจจะต้องเหนื่อยมาก ล้ามาก ดูแลตัวเองให้ดี ดูแลครอบครัวเรา วันนึงสิ่งนี้จะทำให้คุณมีครอบครัวของตัวเองที่ดีได้ในอนาคต เราฟันธงเลยว่าคุณจะได้คนที่คู่ควรมายืนเคียงข้างค่ะ
ความคิดเห็นที่ 23
ปล่อยผญไป

ในเมื่อเขาไม่มั่นใจในตัวเราขนาดที่ว่าจัดงานเข้า + ทะเบียนสมรส แล้วยังขอจัดงานเย็น ด้วยกลัวว่าไม่ได้เชิญแขก  กลัวหน้าตาทางสังคม

ถ้าเป็นเรื่องจริง ฝ่ายหญิงไม่มีแม้แต่ความเอื้ออารีย์ต่อครอบครัวฝ่ายชายเลย ความรัก ความเมตตาต่อกันค่อนข้างต่ำ

ปัญหา คือ จขกทจะขอเลิกกับผญยาก มาถึงขั้นตรียมแต่งแล้ว

เดี๋ยวจะมีกระทู้ผญมาถามว่า เตรียมแต่งแล้ว แต่ผชไม่ยอมแต่งเพราะแม่เขาป่วย ผช เขารักเราไม่มากพอใช่ไหม
ความคิดเห็นที่ 11
แปลกเรื่องแรกเลยคือ คบตั้งแต่ปี 50 แต่เพิ่งไปบ้านฝ่ายหญิงให้รับรู้ ปี 64 นานมากถึง 14 ปี  
แสดงว่าช่วงที่ผ่านมานั้น ฝ่ายหญิงคบคุณแค่เติมเต็มแค่ไม่ให้เหงานะ ยังไม่ได้คิดจริงจังถึงสร้างครอบครัวด้วยกัน

อาจเพราะยังไม่ใช่ หรือยังไม่อยากแต่ง อันนี้ตอบไม่ได้ และยิ่งมาบอกว่าเคยขอแต่งตั้งแต่ 60 61 62 63 แล้วปฎิเสธยิ่งชัดเจนมาก
ผิดวิสัยของผู้หญิงโดยทั่วๆไปส่วนใหญ่ครับ เหตุผลเพราะตัวเองไม่มั่นคง แต่ฝ่ายชายมั่นคง รายได้เยอะกว่าหลายเท่า ยิ่งต้องรีบคว้าไว้ถ้าผู้ชายคนนั้นใช่แล้ว เรื่องระยะเวลาการจัดงาน หรือเชิญแขกเชิญเพื่อน มันจัดการได้อยู่แล้วถ้าคิดจะทำและอยากแต่ง แต่เพราะเธอยังไม่อยากแต่งนั่นแหละ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่