ฆ่ายกครัวบุญทวี บทเรียนกงกรรมกงเกวียน ศักดิ์ ปากรอ l บันทึกลึกลับ

🛑 ย้อนคดีโหด กับบทเรียนกงกรรมนอกคุก!! 
🛑 คดีฆาตกรรมหมู่ยกครัวครอบครัวบุญทวี 
🛑 การกระทำอันโหดเหี้ยมของคนร้ายช่างเลือดเย็นผิดมนุษย์ แต่เขาก็หนีกงกรรมไปไม่พ้น!! 
🛑 สีหน้าท่าทางที่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจในการฆ่าครั้งนี้
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ในคืนวันที่ 25 เม.ย. 2540 ที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา 
ท่ามกลางบรรยากาศของประเทศที่นอกจากร้อนรุ่มทั้งสภาพอากาศ 
แต่ยังเดือนร้อนจากภาวะล่มสลายทางเศรษฐกิจ!!
แต่นั้นยังไม่แรงเท่ากับ เรื่องราวของครอบครัวบุญทวี ที่ต้องมาเจอปีศาจในร่างคน!!
 
เหตุการณ์เกิดขึ้น หลังจากที่เพื่อนร่วมงานของ นายประภาส บุญทวี 
หัวหน้าสถานีอนามัยบ้านระวะ ได้ไปตามนายประภาสที่บ้าน แต่กลับไม่มีคนมาเปิดประตู
เมื่อเห็นว่าผิดสังเกต จึงเข้าไปดูในตัวบ้าน ก็ต้องผงะ!! เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ 
ภาพอันน่าสยดสยอง และสลดใจเป็นอันมาก 
ศพของครอบครัวบุญทวีถูกแขวนคอกับราวบันได เรียงลงมาถึง 4 ศพ
โดยศพ นายประภาส บุญทวี และลูกชาย 3 คนของเขา 
ส่วนศพของ นางเจียมจิต บุญทวี ภรรยาของประภาส 
ถูกมัดมือมัดเท้าทุบศีรษะและใบหน้าด้วยของแข็งตายอนาถอยู่บนเตียงนอน
 
เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างพยายามตรวจสอบเพื่อเสาะหาความจริง 
แต่แล้วในที่สุดก็พบผู้ร้ายโดย ตำรวจสามารถตามจับโดนแกะรอยจากพระเครื่องที่หายไป!!
หลังเกิดเรื่อง มีเบาะแสจากหลานชายผู้ใหญ่บ้าน ใน อ.ธารโต จ.ยะลา 
ระบุว่า “ศักดิ์ ปากรอ” หรือ นายเรืองศักดิ์ ทองกุล 
และเพื่อนอีกคนนำพระเครื่องรุ่นหนึ่ง มามอบให้แก่ผู้ใหญ่บ้าน หลังจากเกิดคดีฆาตกรรมได้ไม่นาน
 
ปรากฏว่าพระเครื่องเป็นรุ่นเดียวกับที่หายไปจากบ้านพัก
ของ นายประภาส บุญทวี ซึ่งถูกคนร้ายฆ่าแขวนคอไว้กับราวบันไดบ้าน 
พร้อมกับบุตรชายและภรรยา รวม 5 ศพ
 
ตำรวจชุดสืบสวนจากกองปราบปรามที่ได้รับคำสั่งจากอธิบดีกรมตำรวจ
ให้คลี่คลายคดีนี้ให้ได้โดยเร็ว จึงเชื่อว่า “ศักดิ์ ปากรอ” น่าจะมีส่วนรู้เห็น
เกี่ยวกับการตายของครอบครัว “บุญทวี” ในครั้งนี้
 
แต่ทันทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึง อ.ธารโต จ.ยะลา ก้คลาดกันกับ “ศักดิ์ ปากรอ” 
และเพื่อนอีกคน โดยหลานชายผู้ใหญ่บ้านให้ข้อมูลว่า ศักดิ์และเพื่อน 
น่าจะเดินทางไปพักอยู่กับน้าสาวในตัวเมือง จ.สงขลา 
 
 “มันออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า เห็นว่าจะไปหาน้าอีกคนที่อยู่เมืองกาญจน์” 
น้าสาวของศักดิ์ ปากรอ ให้ข้อมูลต่อ พ.ต.ท.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ รองผกก.2 บก.ป. 
(ยศและตำแหน่งขณะนั้น) ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดสืบสวนแกะรอยติดตามหามือฆ่า 5 ศพ 
ครอบครัวบุญทวี ในเวลานั้น 
 
ต่อมา พ.ต.ท.วีระศักดิ์ จึงประสานไปยัง พ.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผบก.ป. (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) 
เพื่อรับไม้ออก ในการติดตามหาตัว “ศักดิ์ ปากรอ” มาดำเนินคดี
จนกระทั่งวันที่ 21 พฤษภาคม 2540 ตำรวจได้มาถึงที่หมาย 
และเร่งเข้าปิดล้อมบ้านพักของน้า “ศักดิ์ ปากรอ” ที่ จ.กาญจนบุรี ทันที
               แต่อีกครั้งที่คลาดกัน!!
เพราะ “ศักดิ์ ปากรอ” ไม่อยู่ที่บ้าน ตำรวจจึงกระจายกำลังออกติดตามไปในละแวกใกล้เคียง 
จนไปพบ “ศักดิ์ ปากรอ” ในขณะที่เขากำลังหาซื้อหนังสือพิมพ์ 
เพื่อติดตามข่าวการแกะรอยหาตัวมือฆ่าครอบครัวบุญทวีอยู่ที่ตลาดไม่ห่างจากบ้านพัก
 
นาทีนั้น ตำรวจเร่งแสดงตัวเข้าจับกุมได้ที่แผงหนังสือพิมพ์แห่งนั้นทันที 
จนสามารถควบคุมตัวไว้ได้ รวมใช้เวลาแกะรอยคนร้ายตั้งแต่วันเกิดเหตุ 25 วันเต็ม!!
 
ในที่สุด ตำรวจเก็บลายพิมพ์นิ้วมือของศักดิ์ ปากรอ ไปตรวจสอบตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ 
เพื่อเทียบกับลายนิ้วมือแฝงที่เก็บได้ในสถานที่เกิดเหตุ 
แต่เนื่องด้วยขณะนั้นเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้ามากนักการตรวจสอบจึงต้องใช้ระยะเวลา
 
ระหว่างนั้นก็ทำการสอบปากคำไปด้วย ซึ่งแน่นอนที่เขาจะปฏิเสธก่อนเป็นเบื้องต้น
ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการตายของหัวหน้าสถานีอนามัยบ้านระวะและครอบครัว
สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้วิธีการทางจิตวิทยา จนคนร้ายยอมเปิดปากในที่สุด
โดยเจ้าตัวเล่าด้วยสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจในการฆ่าครั้งนี้ไว้ว่า
               “ผมนี่แหละเป็นคนทำร่วมกับน้อง ม.5 ชื่อจ้องหรือนายสงกรานต์ แก้วอุบล 
ซึ่งรู้จักระหว่างพักอาศัยอยู่ในหอพักใกล้โรงเรียน ชักชวนให้ไปด้วยโดยไม่บอกว่าจะพาไปไหน 
โดยได้วางแผนก่อเหตุมาสองครั้งแล้ว ครั้งแรกไม่สำเร็จเพราะน้องที่ไปด้วยอีกคนใจไม่ถึง”               
 
ตามคำให้การ ศักดิ์ ปากรอ ยอมรับว่า.. 
เวลาประมาณ 15.00 น. วันที่ 25 เมษายน 2540 ได้เข้าไปในบ้านพักของนายประภาส 
เพื่อหวังชิงทรัพย์ เพราะทราบข่าวว่าผู้ตายเพิ่งขายวัวชน ได้เงินมา 1 ล้านบาท 
ซึ่งในเวลานั้นนายประภาสยังเดินทางมาไม่ถึงบ้าน
ตนและพวกจึงเข้าไปรอในบ้าน ขณะที่ยังไม่มีคนอยู่ จนกระทั่งบุตรชายทั้ง 3 คน 
ของนายประภาสเดินทางมาถึงบ้านก่อน จึงจับมัดมือมัดเท้า 
ต่อมาภรรยาของนายประภาสเดินทางกลับมาถึงก็จับมัดมือมัดเท้า 
จับโยนขึ้นไปไว้บนเตียงนอน แต่ยังไม่ลงมือฆ่าใครในขณะนั้น
และในที่สุด หมอประภาสก็กลับมาถึงบ้าน ศักดิ์และเพื่อนคู่กรรม 
จึงช่วยกันล็อกตัวจับมัดไว้ พร้อมกับเริ่มกระบวนการข่มขู่
เพื่อหวังให้หมอประภาสบอกที่ซ่อนเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งก็ถูกปฏิเสธ 
โดยหมอประภาสบอกเพียงว่าไม่มีเงิน!!!!
 
นายศักดิ์ ให้การต่อตำรวจเล่าถึงนาทีเลือดเย็นครั้งนั้นว่า
               “เขาได้ลงมือทุบเมียหมอ เอาหัวโขกกับเตียงเหล็ก 
เพื่อบังคับให้หมอบอกที่ซ่อนเงินจนเมียหมอตายต่อหน้าต่อตาหมอกับลูกๆ 
ซึ่งหมอได้แต่ตะโกนเหมือนคนบ้าบอกให้ฆ่าเขาแทน 
ตอนนั้นไอ้จ้องมันอยู่ชั้นล่างของบ้านด้วยท่าทางตกใจและตะโกนให้หยุดแต่ผมไม่หยุด”
 
 และเมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จเพราะหมอประภาสบอกเพียงว่าไม่มีเงินจริงๆ 
ศักดิ์จึงใช้เชือกผูกคอลูกชายของหมอประภาสทีละคนโดยเริ่มจากคนเล็กก่อน 
หลังจากผูกคอแล้วได้ถีบตัวเด็กตกจากบันไดเพื่อแขวนคอทีละคน 
ซึ่งระหว่างนั้นหมอประภาสได้ร้องขอให้ฆ่าเขาก่อน
“ไอ้จ้องมันกลัวมาก มันตะโกนบอกให้ผมหยุด ผมไม่หยุด 
ผมบอกหมอให้บอกที่ซ่อนเงินแต่มันไม่บอก ผมก็แขวนคอลูกหมอทีละคนจนหมอสลบไปเลย 
พอฟื้นขึ้นมาผมเลยจับมาแขวนคอเป็นคนสุดท้าย ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไร คนจะตายมันก็ต้องตาย”
คำพูดของผู้ร้ายที่บอกเล่าอย่างหน้าตาเฉย ราวกับไม่สะทกสะท้านในความอำมหิตของตนเอง 
 
หลังการสอบปากคำตำรวจอีกชุดได้ติดตามจับกุมนายสงกรานต์ได้ที่ จ.สงขลา 
ซึ่งยอมรับสารภาพว่า วันเกิดเหตุได้ไปที่บ้านหลังเกิดเหตุกับนายศักดิ์จริง 
โดยไม่รู้มาก่อนว่านายศักดิ์จะไปฆ่าชิงทรัพย์ครอบครัวบุญทวี 
โดยในการชักชวนนั้นนายศักดิ์บอกเพียงว่า หากต้องการเงินใช้ให้ตามไปเท่านั้น
 
ต่อมาเมื่อตำรวจได้ขยายผล ทราบว่า เงินจำนวน 1 ล้านบาท 
ที่นายศักดิ์รับสารภาพว่าต้องการเข้าไปชิงจากหมอประภาสนั้น 
แท้จริงแล้วหมอประภาสยังไม่ได้ขายวัวชนอย่างที่นายศักดิ์เข้าใจ 
จึงยังไม่มีเงินจำนวน 1 ล้านบาท อยู่ในความครอบครองแต่อย่างใด
 
และที่ต้องตกใจคือ เมื่อเจ้าหน้าที่สืบประวัติ ก็พบว่า นายศักดิ์ มีชีวิตที่ผ่านความรุนแรงมาแล้วตั้งแต่วัยเด็ก
โดยตอนที่เขาอายุ 5 ขวบ เคยถูกโจรเข้าปล้นบ้านขณะที่เขาอยู่บ้านตามลำพัง 
และถูกจับมัดด้วยมุ้งขังไว้ในบ้านจนเย็น กระทั่งพ่อแม่กลับจากทำนาจึงแก้มัดให้
ต่อมาเมื่ออายุ 16 ปี มีเรื่องทะเลาะกับคนข้างบ้านเรื่องวัวที่มากินผักที่ปลูกไว้ 
ศักดิ์จึงใช้เชือกผูกคอวัวแล้วชักรอกวัวขึ้นไปแขวนคอบนต้นไม้จนตาย
 
และที่สุด พยานหลักฐานต่างๆ ก็ถูกรวบรวมสรุปลงในสำนวนและนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณา
ในชั้นศาล ซึ่งทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาตรงกันคือให้ประหารชีวิต
แต่เมื่อถึงชั้นศาลฎีกา เห็นว่าคำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี 
จึงให้ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต!!
 
สุดท้ายนายศักดิ์ ถูกส่งเข้าคุมขังในเรือนจำบางขวาง ก่อนจะโอนย้ายไปคุมขังในเรือนจำจังหวัดสงขลา 
โดยได้ติดคุกอยู่จริงๆ เพียง 13 ปีเท่านั้น!! 
และในที่สุดเขาก็ได้รับการปล่อยตัวมาราว 3-4 ปี หลังพ้นโทษก็เปลี่ยนชื่อเป็น นายเนติราษฎร์ นพวงศ์
 
ต่อมาช่วงปี 2558 มีเหตุฆาตกรรมหนึ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถสืบโยงมาจนพบว่า 
หลังอดีตนักโทษใจโหด ศักดิ์ ปากรอ ออกจากเรือนจำได้ไม่นาน 
เปลี่ยนชื่อแล้วไปอยู่ในสังกัดซุ้มมือปืนชื่อดังใน อ.สิงหนคร จ.สงขลา 
รับงานคุ้มกันนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง
 
จากนั้นย้ายภูมิลำเนามาพักอาศัยที่ อ.สะเดา เพื่อติดตามนักการเมืองท้องถิ่นใน อ.สะเดา รายหนึ่ง 
แต่ในที่สุดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2558  เขาต้องมาพบจุดจบ 
ขณะกำลังจะออกจากบ้านพัก ย่านถนนร่วมไทย 2 เขตเทศบาลเมืองสะเดา จ.สงขลา
 
มันก็เหมือนกงกรรม มิอาจหนีวงรอบได้พ้น!!!  
ฉากชีวิตของอดีตฆาตกรฆ่ายกครัว ครอบครัว “บุญทวี” ก็จบลงตรงนั้นด้วยวัยเพียง 39 ปี!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่