หุ่นดินเจ็ดป่าช้า





หุ่นดินเจ็ดป่าช้า

ล. วิลิศมาหรา

ในสมัยผมยังเป็นวัยรุ่น พ่อและเครือญาติ ไม่ว่าจะเป็นลุงหรืออาต่างก็มีอาชีพเป็นช่างก่อสร้างกันหมด โดยมีพ่อซึ่งมีความชำนาญกว่าคนอื่นเป็นหัวหน้า พ่อจะเป็นคนรับเหมางานและเป็นช่างไปด้วยในตัว มีพี่น้องและลูกหลาน เป็นลูกมือในการทำงานก่อสร้าง

ผมก็เป็นอีกคนที่ต้องมาช่วยพ่อ หลังจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว ก็ออกมาช่วยพ่อรับจ้างก่อสร้างทั่วไป พ่อเป็นช่างฝีมือดี มักมีคนมาว่าจ้างให้ไปทำงานก่อสร้างอยู่ไม่ขาด ไม่ว่าจะก่อสร้างบ้านหรือรั้วบ้าน พ่อสามารถสร้างได้ประทับใจผู้ว่าจ้างเสมอ และงานที่ต้องใช้ฝีมือขั้นสุดยอดอีกงานหนึ่งก็คือ การก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ภายในวัด ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ วิหาร หรือศาลาวัด เพราะต้องใช้ความสามารถและต้องประณีตงดงามกว่างานทั่วไป ซึ่งพ่อก็ได้รับความไว้วางใจให้ไปก่อสร้างอยู่เสมอ

ครั้งหนึ่งพ่อรับเหมาสร้างกุฏิของวัดที่อยู่ในอำเภอห่างไกลจากอำเภอที่ผมอยู่มากพอสมควร คิดเป็นระยะทางคงร่วมร้อยกว่ากิโลเมตรเลยทีเดียว ดังนั้นทางคณะช่างของเราจึงตกลงกันว่าจะไปพักอยู่ที่วัดเลย ตัดปัญหาเรื่องการเดินทาง และคงต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนานหลายเดือน

เราได้ขนอุปกรณ์การก่อสร้างทั้งหมด พร้อมทั้งอาหารการกินบางอย่าง เช่น ข้าวสารอาหารแห้ง เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวไปด้วย เมื่อถึงวัดก็เข้าไปนมัสการหลวงตาในพระวิหาร เพราะกุฏิหลังเก่าของท่านได้ถูกรื้อไปแล้ว หลังจากที่พ่อได้สนทนาเรื่องงานก่อสร้างกุฏิกับหลวงตาแล้ว ท่านก็นำคณะช่างไปชี้ให้ดูสถานที่ที่จะทำการก่อสร้างกุฏิหลังใหม่ ซึ่งพ่อก็เคยมาดูก่อนแล้ว และวัดขนาดพื้นที่ต่าง ๆ พร้อมทั้งตกลงราคาก่อสร้างไปแล้ว แต่ช่างคนอื่นในคณะยังไม่เคยมาเห็นสถานที่จริง

วัดนี้ดูเป็นวัดที่เก่าแก่ สร้างมาน่าจะเกือบร้อยปี เพราะผมสังเกตเห็นสิ่งก่อสร้างภายในวัดมันดูเก่าและทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะกำแพงวัดที่ยังคงเป็นลักษณะงานฝีมือของช่างยุคโบราณอยู่ กำแพงจึงค่อนข้างเตี้ยและหนา ตรงที่ปูนกะเทาะออกเห็นเป็นอิฐดินเผาสมัยเก่า สีปูนที่ฉาบก็ดูหม่นหมอง มีแต่คราบด่างดำและมีตะใคร่น้ำจับเต็มไปหมด รายล้อมรอบบริเวณวัดมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นครึ้ม นอกวัดก็มีต้นตาลขึ้นรอบทุกทิศอีก ถ้าเป็นบรรยากาศตอนกลางคืนคงวังเวงน่ากลัวดีพิลึก

หลังจากหลวงตาพาช่างดูสถานที่เสร็จ ก็ได้พูดถึงที่พักขึ้นว่า 

“มีศาลาว่างอยู่ตรงโน้น พากันไปพักได้ มากันหลายคนคงจะมีที่นอนพอ ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือก็เอาไปเก็บไว้ใกล้กับที่จะก่อสร้างนะโยม”

“ครับ หลวงตา” พ่อรับคำ ผมกับพ่อมองตามมือชี้ของหลวงตา ก็เห็นว่ามีศาลาว่าง ๆ อยู่ทางทิศใต้ของวัด

พ่อจึงบอกให้ผมและช่างคนอื่นช่วยกันขนของลงจากรถ วันนั้นกว่าขนของเสร็จ และจัดของให้เข้าที่เข้าทางจนเรียบร้อยทั้งหมด ก็ตกเข้าตอนเย็น ผมจัดที่นอนของตัวเองอยู่ด้านในสุดของศาลา ใกล้กับแท่นพระประธาน และอยู่ค่อนข้างห่างออกมาจากคนอื่น เพราะผมไม่ชอบนอนใกล้คนอื่น รำคาญเสียงคนนอนกรนเสียงดัง เมื่อเก็บของใช้ส่วนตัวเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ก็ไปอาบน้ำในห้องน้ำของวัด เวลาค่ำลง พอทุกคนเสร็จจากการทำภารกิจส่วนตัว จึงนำห่อข้าวที่ห่อมาจากบ้านออกมากินด้วยกัน หลังจากนั้นก็นั่งคุยกันสักพักหนึ่ง จึงค่อยแยกย้ายกันไปนอนในที่ของใครของมัน

ก่อนนอนผมไม่ลืมไหว้พระสวดมนต์ หลังจากนั้นก็นอนหลับตาฟังเสียงแมลงกลางคืนกรีดปีกร้องกันดังเซ็งแซ่ บางครั้งได้ยินเสียงนกเค้าแมวร้องเป็นระยะ บรรยากาศรอบตัวมืดสนิทและดูวังเวงบอกไม่ถูก หลายคนคงหลับไปแล้วเพราะได้ยินเสียงกรนดังมา จนในที่สุดผมก็เคลิ้มหลับไปอีกคน

ผมมาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเด็กวิ่งไปมา พร้อมเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจและสนุกสนานมาก มีเสียงผู้ชายดุดังขึ้นว่า “กลับมา เอ็งจะวิ่งหนีไปไหน”

แล้วก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งไล่กวดกันอยู่ในบริเวณศาลานั้นเอง ผมเผยอเปลือกตาขึ้นมอง ในความมืดสลัว ผมเห็นเงาตะคุ่มของผู้ใหญ่คนหนึ่ง กำลังวิ่งไล่เด็กอยู่ตรงหน้าผมนี่เอง เงาทั้งคู่วิ่งไปมา ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในเงามืดที่สายตาของผมไม่สามารถมองเห็นอีก ผมนึกเอะใจว่าผู้ใหญ่กับเด็กที่ไหนจะเข้ามาวิ่งไล่กันในศาลาวัด โดยเฉพาะในยามค่ำคืนแบบนี้ ทั้งที่ก็มีคนนอนเรียงรายกันอยู่ในศาลาตั้งหลายคน ทำไมถึงไม่นึกเกรงใจคนจะหลับจะนอน

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรต่อไปเรื่องอื่น ผ้าห่มที่ผมห่มอยู่ก็ถูกกระตุกทางปลายเท้าอย่างแรง จนผมสะดุ้ง รีบผงกหัวขึ้นมาดู เห็นเป็นเงาดำ ๆ อยู่ที่ปลายเท้า ผมร้อง เฮ้ย! ออกมา ร้องถามไปว่า “ใครน่ะ”

พลันก็มีเสียงเด็กผู้ชายหัวเราะร่วน ไม่ตอบว่าอะไร แต่เงาดำค่อย ๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาผมเอง สักครู่ก็มีเสียงคนเดินไปมา อยู่ทางโน้นทีทางนี้ที จนผมต้องหันมองเลิกลัก คิดในใจว่าคงโดนเล่นงานเข้าซะแล้ว รีบคว้าผ้าห่มหอบวิ่งไปนอนซุกข้างพ่อทันที พ่อเหมือนตื่นอยู่ก่อนแล้วเลยเอื้อมมือมากอดผมไว้ คืนนั้นผมนอนอยู่กับพ่อทั้งคืน

พอเช้าขึ้นมา ผมถามทุกคนว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า ส่วนผมเห็นทั้งเด็กเห็นทั้งผู้ใหญ่มาวิ่งไล่กันอยู่บนศาลา ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่ในศาลาทั้งคืนเหมือนกัน แต่ไม่ได้ยินเสียงเด็ก และไม่มีใครเห็นอะไรแบบที่ผมเห็น

ผมเก็บความประหลาดใจไว้ พอหลวงตาฉันข้าวเช้าเสร็จ พวกเราจึงพากันไปหาท่าน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ท่านฟัง หลวงตาพอได้ยินก็หัวเราะหึ หึ บอกพวกเราว่า 

“อาตมาก็ลืมไป วันรื้อกุฏิ อาตมาเอาโถใส่หุ่นดินปั้นมาวางไว้ที่ฐานพระพุทธรูป แล้วลืมเก็บไปไว้ในที่ของมัน หุ่นนี้มีคนเอามาฝากไว้ เพราะเขาควบคุมมันไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวอาตมาจะไปเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย คืนต่อไปก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว นอนหลับให้สบาย ไม่มีอะไรมารบกวนอีกแล้วล่ะ”

หลังจากคืนนั้นแล้ว คืนต่อ ๆ มาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย พวกเรานอนหลับกันสบาย จนการก่อสร้างแล้วเสร็จ ผมกับพ่อก็กราบลาหลวงตาเพื่อไปรับงานที่อื่นต่อ

หลายปีผ่านไป จนผมแต่งงานมีครอบครัว และเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างแทนพ่อ ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสผ่านไปทางวัดนั้นอีก จึงได้เข้าไปกราบนมัสการหลวงตา ท่านดูชราภาพลงมาก หลวงตาไต่ถามถึงสารทุกข์สุกดิบของผม และชมว่าผมเป็นคนเก่ง ชี้ให้ผมดูกุฏิที่ผมกับพ่อเคยสร้างไว้ที่นี่ ตอนหนึ่งผมจึงเอ่ยถามท่านถึงเรื่องหุ่นดินปั้นพวกนั้น ว่ามันคืออะไร หลวงตาจึงเล่าให้ฟังว่า มันคือหุ่นดินที่ใช้ดินเจ็ดป่าช้ามาปั้น คนทำมันขึ้นมาเป็นศิษย์รุ่นน้องของท่านเอง แต่เขาไม่สามารถควบคุมมันได้ มันจึงออกมาเพ่นพ่านวุ่นวาย รบกวนทั้งเจ้าของหุ่นและคนอื่น เขาเลยนำมาฝากไว้ที่วัด

แต่ท่านเองก็รำคาญพวกมันเหลือเกิน จึงนำหุ่นดินพวกนั้นไปฝังไว้ที่ป่าช้าไม่ให้กลับมาอีก เพราะมีดวงวิญญาณหลายดวงเกินไป ให้เขาไปอยู่ในที่ของเขา จะได้ไม่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับคนอื่นอีก

หลวงตายังพูดยิ้ม ๆ กับผมอีกว่า “อยากได้ไปเลี้ยงบ้างไหมล่ะ เอาไว้เฝ้าบ้าน”

 ผมรีบสั่นหน้าปฏิเสธ โธ่...เลี้ยงคนก็ว่ายากแล้ว จะให้มาเลี้ยงผีอีก ผมคงไม่มีปัญญาเลี้ยงหรอก ผมกราบลาหลวงตาเพื่อกลับบ้าน แต่ก่อนไปผมหันไปดูทางศาลาที่ตัวเองเคยนอน แล้วมาเจอกับประสบการณ์หลอนที่ผมจะไม่มีวันลืม ว่าครั้งหนึ่งผมได้มาเจอกับอาถรรพ์หุ่นดินปั้นเจ็ดป่าช้าเข้าให้แล้วจริง ๆ

จบ.


ฟังแบบเสียงได้ที่นี่ค่ะ  https://youtu.be/wxLJHcZJKxA
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่