Molotov cocktails : อาวุธมือแห่งสงครามที่ไม่ธรรมดา




เกือบ 100 ปีแล้ว นับตั้งแต่บันทึกการใช้งานครั้งแรกในสงครามกลางเมืองสเปนจนถึงความขัดแย้งล่าสุด รวมถึงการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2022 molotov cocktail อาจเป็นอาวุธร้ายแรงที่สุดที่สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็วจากส่วนผสมที่หาได้ง่าย 
 
 
หลังจากวันแรกของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนมีผู้คนหลายร้อยคนเสียชีวิต โดยข่าวกรองระบุว่าการต่อต้านของยูเครนดีกว่าที่คาดไว้มาก อย่างไรก็ตามสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่กองกำลังรัสเซียเข้าใกล้เมืองหลวง กระทรวงกลาโหมของยูเครนบอกให้ประชาชนทำ molotov cocktail และระเบิดเพลิงเพื่อช่วยสู้รบใน Kyiv ขณะเดียวกันตามรายงานของ Agence France-Presse เมื่อวานนี้โรงเบียร์ Pravda brewery ในเมืองลวิฟได้ตัดสินใจผลิต molotov cocktail ท่ามกลางความกลัวว่ารถถังรัสเซียจะเคลื่อนเข้าสู่เมืองทางตะวันตกใกล้ชายแดนโปแลนด์

ทั้งนี้ การใช้ไฟเป็นอาวุธนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์โบราณ และการใช้นี้ยังคงดำเนินต่อไปมาเป็นเวลาหลายปี ในรูปแบบที่อาจจะประณีตมากขึ้นหรือน้อยลง การบรรจุขวดด้วยของเหลวที่ติดไฟได้ง่ายแล้วขว้างศัตรูนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่จริง ขวดไฟ (petrol bombs) ดังกล่าวเคยถูกใช้เป็นอาวุธต่อต้านรถถังอย่างน้อยในสงคราม Abyssinian ครั้งที่สอง (1935 - 1936) และสงครามกลางเมืองสเปน (Spanish Civil War /1936 - 1939) ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ขวดไฟก่อนหน้านี้นั้นง่ายมากเมื่อเปรียบเทียบกับเวอร์ชันที่ผลิตจากโรงงานในฟินแลนด์ที่มีความละเอียดมากขึ้น

กล่าวคือ ในการใช้ขวดไฟใน Abyssinia (จักรวรรดิที่ตั้งอยู่ในเอธิโอเปียและเอริเทรียในปัจจุบัน) พวกเขาเพียงแค่เติมแอลกอฮอล์หรือน้ำมันเบนซินลงในขวดที่ขว้างออกไปก่อนในครั้งแรก จากนั้นก็ขว้างผ้าที่จุดไฟตามออกไป ด้วยวิธีนี้ การขว้างทั้งสองครั้งจึงจำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ขณะที่ ขวดไฟหรือเรียกอีกอย่างว่าระเบิดขวดในสงครามกลางเมืองสเปนนั้นใช้ง่ายกว่า โดยขวดที่ใช้จะมีแอลกอฮอล์หรือน้ำมันอยู่เต็ม แต่จะมีผ้าชิ้นหนึ่งผูกติดกับขวดและถูกจุดไฟก่อนจะโยนไปพร้อมกัน ดังนั้นจึงสามารถโจมตีเป้าหมายได้ในครั้งเดียว


molotov cocktail รุ่นแรกอย่างเป็นทางการถูกเรียกว่ารุ่น "storm match" อย่างไรก็ตาม มันถูกกล่าวถึงในคู่มือบางเล่มเท่านั้น


หน่วยแรกที่ใช้ระเบิดขวดเป็นอาวุธต่อต้านรถถังในสงครามกลางเมืองสเปนคือกองทหารต่างประเทศ Spanish Foreign Legion (หน่วยเฉพาะกิจและกองกำลังตอบโต้อย่างรวดเร็วของกองทัพสเปน) ซึ่งต่อสู้ในด้านชาตินิยมในฤดูใบไม้ร่วงปี 1936 ส่วนอาวุธได้รับชื่อเสียงว่า "molotov cocktail" เป็นเวอร์ชันของฟินแลนด์ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 เมื่อกองทัพฟินแลนด์ได้ตระหนักว่าทหารราบต้องการอาวุธต่อต้านรถถังของตัวเอง ตอนแรกกองทัพตั้งใจจะซื้อปืนไรเฟิลต่อต้านรถถังสำหรับการใช้งานนี้ แต่เนื่องจากการนำเข้าล่าช้าจึงมีการพิจารณาทางเลือกอื่นๆ
 
แม้ว่าก่อนหน้านั้น มีชาวฟินแลนด์บางคนเคยคิดเรื่องระเบิดเบนซินเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว เช่น จ่าสิบเอก Johan Valli จาก PPP 2 (กองพันจักรยาน 2) ที่ทำการทดสอบระเบิดน้ำมันที่เป็นเหมือนอาวุธอยู่แล้วในปี 1932 แต่สุดท้ายกลับเป็นร้อยโท Eero Kuittinen (ต่อมาได้เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเฉพาะ) กับทีมที่เรียบง่ายและไม่เป็นทางการของเขา ซึ่งสามารถให้เครดิตกับการพัฒนา molotov cocktail ของฟินแลนด์ได้อย่างแท้จริง

แม้ไม่มีใครสั่งให้ Kuittinen และทีมของเขาทำงานด้านการพัฒนาดังกล่าวหรือมันอาจเริ่มต้นจากความคิดของพวกเขาเองก็ตาม แต่ในฤดูใบไม้ผลิปี1937 ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อค้าเพื่อนของเขา Väinö Hannula และนาวาตรีอีก 3 คน ร้อยโท Kuittinen ได้เริ่มพัฒนาเวอร์ชันใหม่โดยอิงจากระเบิดขวดตามรายงานที่ใช้ในสงครามกลางเมืองสเปน โดยรุ่นแรกที่พวกเขาทดสอบคือขวดธรรมดาที่บรรจุน้ำมันเบนซินและเศษผ้าฝ้ายที่ผูกติดอยู่ แต่ปัญหาหลักของระเบิดขวดนี้คือ
-  ของเหลว (แค่น้ำมันเบนซิน) ไหลออกง่ายเกินไปและไม่ค่อยติดเป้าหมาย 
-  ไฟที่จุดผ้าฝ้ายทำให้คนขว้างขวดจะถูกมองเห็นได้ง่ายและชัดเจน


จนกระทั่งในช่วงสงครามฤดูหนาว ทหารฟินแลนด์ส่วนใหญ่จึงรู้จักอาวุธใหม่นี้ในชื่อ "polttopullo" (แปลตามตัวอักษรว่า ขวดเผาไหม้)
ด้วยส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ใช้แล้ว น้ำมันก๊าด สุรา และน้ำมันดินในขวดวอดก้าขนาดครึ่งลิตร
 

ดังนั้น พวกเขาจึงผสมน้ำมันสนลงไป (ประมาณ 10 - 20 ซล. ต่อขวดครึ่งลิตรแต่ละขวด) ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีในการแก้ปัญหาแรก ไม่เพียงทำให้ส่วนผสมติดเป้าหมายเท่านั้น แต่ยังสร้างส่วนผสมที่ทำให้เกิดควันได้ค่อนข้างน้อย โบนัสเพิ่มเติมของส่วนผสมนี้คือไฟจะติดทนนานและเผาไหม้ด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ โรงงานผลิตแก้ว Riihimäki ยังมีส่วนร่วมในทีมพัฒนา molotov cocktail ของฟินแลนด์ เนื่องจากได้จัดส่งขวดแก้วหลายประเภทสำหรับทดสอบ molotov cocktail รวมทั้งขวดที่ผลิตขึ้นเพื่อจุดประสงค์โดยเฉพาะก็ได้รับการทดสอบเช่นกัน

แต่ในการทดสอบเหล่านี้ ขวดแก้วปกติขนาด 500 มล. (ครึ่งลิตร) ที่ผลิตในปี 1934 ซึ่งใช้สำหรับบรรจุเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เข้มข้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าดีที่สุด ดังนั้นมันจึงกลายเป็นขวดมาตรฐานที่ใช้ในการผลิต molotov cocktail ของฟินแลนด์จำนวนมาก โดยขวดแก้วจะสูง 26.5 ซม. และมีเส้นผ่าศูนย์ กลาง 6.8 ซม.จุกที่ใช้ปิดผนึกแต่แรกคืออะลูมิเนียม ต่อมาเปลี่ยนเป็นจุกไม้ก๊อก bakelite (พลาสติกยุคแรก) เมื่อขวดถูกผลิตจำนวนมากด้วยเครื่องจักรกึ่งอัตโนมัติและอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ทำให้มันทั้งมีราคาถูกและหาง่าย

molotov cocktail นั้นได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพต่อรถถังโซเวียตในช่วงสงครามฤดูหนาวของฟินแลนด์  มันไม่ใช่อาวุธพิเศษและไม่ได้เปลี่ยนแนวทางการสงคราม แต่อย่างน้อยมันก็สนับสนุนบางสิ่งบางอย่างเพื่อต่อสู้กับรถถังศัตรูในหลาย ๆ สถานการณ์  โดยในอดีต molotov cocktail
ส่วนใหญ่จะใช้กับรถถังที่ถูกโจมตีด้วยอาวุธอื่นแล้ว ซึ่งรถถังที่ติดไฟจะซ่อมได้ยากมากและอาจจะใช้งานไม่ได้อีกต่อไป แต่การใช้ molotov cocktail กับรถถังนั้นทั้งยากและอันตราย ระยะการขว้างก็ต้องเข้าใกล้รถถังศัตรูมาก ดังนั้นอาวุธประเภทนี้จะใช้ได้ง่ายขึ้นในภูมิประเทศที่เปิดโล่งและมีแสงแดด

Molotov cocktail มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถถังโซเวียตยุคแรกที่เติมน้ำมันซึ่งติดไฟได้ง่าย
ไม่เหมือนรถถังสมัยใหม่ส่วนใหญ่ที่ใช้น้ำมันดีเซลซึ่งไม่ติดไฟ 
ในที่สุด เมื่อข้อมูลจากการใช้ molotov cocktail ที่ประสบความสำเร็จของฟินแลนด์ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางโดยสื่อต่างประเทศในช่วงสงครามฤดูหนาว มันได้กลายเป็นอาวุธที่เป็นสัญลักษณ์ของสงครามและเห็นได้ชัดว่ามีอิทธิพลต่อประเทศอื่นๆ บางประเทศ ซึ่งเพิ่ม molotov cocktail ลงในคลังอาวุธต่อต้านรถถังด้วย

สำหรับคำว่า molotov cocktail นักประวัติศาสตร์ไม่แน่ใจว่า คำนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของฟินแลนด์หรือมาจากนักข่าวต่างประเทศจำนวนมากที่ทำงานในฟินแลนด์ในช่วงสงคราม บางแหล่งยังแนะนำว่าชื่อนี้อาจมาจากศาสตราจารย์ Alvar Wilska ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาสิ่งนี้เพิ่มเติมในช่วงสงครามฤดูหนาว แต่ไม่ว่าในกรณีใด บุคคลที่ได้รับการตั้งชื่อตามนั้นคือรัฐมนตรีต่างประเทศโซเวียต Vjatseslav Molotov ซึ่งตามที่นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน William Trotter วลีนี้มาจากภาษาฟินแลนด์คือ "Molotovin koktaili" 

Vjatseslav Molotov เป็นหนึ่งในผู้ลงนามในสนธิสัญญา Molotov-Ribbentrop ที่น่าอับอายในเดือนสิงหาคม 1939 ซึ่งเป็นสนธิสัญญาไม่รุกรานระหว่างสหภาพโซเวียตภายใต้ Joseph Stalin และนาซีเยอรมนีภายใต้ Adolf Hitler แต่มหาอำนาจทั้งสองได้แอบตกลงที่จะแบ่งยุโรปออกเป็นดินแดนแห่งชัยชนะของทั้งโซเวียตและเยอรมัน ในขณะที่ฟินแลนด์ซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดน ต่อต้านการเข้าสู่โซเวียตมานานกว่าศตวรรษ กลับโดนโซเวียตยึดดินแดนไปเมื่อวันที่ 30 พ.ย.1939 ไม่กี่เดือนหลังจากการรุกรานโปแลนด์ของเยอรมนีและโซเวียต

ความขัดแย้งนี้เรียกว่า "สงครามฤดูหนาว" ซึ่ง Molotov ได้นำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในฟินแลนด์ แต่อ้างว่าเครื่องบินไม่ได้ทิ้งระเบิด แต่เป็นเสบียงอาหารเพื่อมนุษยธรรมไปยังเพื่อนบ้านที่อดอยากของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ ชาวฟินน์จึงเรียกประชดระเบิดดังกล่าวว่า "Molotov picnic baskets" และถูกเรียกว่า molotov cocktail ในเวลาต่อมา

ระเบิดขวด หรือ molotov cocktail  เป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรงทางการเมืองในศตวรรษที่ 20 ที่ง่าย ราคาถูก และมีประสิทธิภาพ
ต่อมามันได้กลายเป็นคุณลักษณะหลักของการประท้วง การจลาจล และการกบฏ อาวุธทางเลือกสำหรับมวลชนที่ไม่พอใจ ซึ่งในภาพ
คือวันที่ 26 ก.พ. 2022 กองกำลังป้องกันดินแดน Kyiv ช่วยกันทำ molotov cocktail / Cr.ภาพ: MARCUS YAM / LOS ANGELES TIMES


โรงเบียร์ Pravda Brewery เป็นหนึ่งในโรงเบียร์ชั้นนำของยูเครน (Cr.Getty Images)
ขึ้นชื่อเรื่องเบียร์ที่มีข้อความเกี่ยวกับการเมืองเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ประเทศกำลังประสบมาตั้งแต่ปี 2014
เอเอฟพีรายงานว่า หนึ่งในเครื่องดื่มที่ชื่นชอบของโรงเบียร์นี้เรียกว่า Putin khuylo แปลว่า “ปูตินเป็นหัวหน้า”


 
Cr.https://www.livescience.com/molotov-cocktails-history / Tom Metcalfe /2022
Cr.https://vervetimes.com/how-did-molotov-cocktails-get-their-name/ Addrew Shawn
Cr.https://asiatimes.com/2020/08/famed-molotov-cocktail-has-survived-the-test-of-time/DAVE MAKICHUK
Cr.https://list23.com/714146-how-did-the-molotov-cocktail-change-its-name/ALICIA SMITH 
Cr.https://en.wikipedia.org/wiki/Molotov_cocktail
Cr.https://www.finlandatwar.com/weapons-of-war-molotov-cocktail/ laurancekenneth/2019

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขอนุญาตนำมา)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่