เรื่องเล่าที่ 12 : เงา : ระดับความหลอน 3.5 กะโหลก
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ขอแทนชื่อผู้เล่าว่า ผักกาด
เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยที่ผักกาดยังเป็นนักศึกษาปีสาม ที่คณะของผักกาด ค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องกิจกรรมมหาลัย หากนักศึกษาคนใดไม่มาเข้าร่วมกิจกรรมของมอและของคณะให้ครบตามจำนวน จะต้องไปแก้กิจกรรมที่ขาดด้วยการไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งการแก้กิจกรรมมีผลต่อการจบการศึกษา ดังนั้นหากใครติดแก้กิจกรรมแล้วไม่แก้ ก็จะไม่ผ่านหลักสูตร และจะกลายเป็นเรียนไม่จบทันทีจนกว่าจะแก้กิจกรรมจนผ่านได้
ในช่วงสองปีแรกนั้นผักกาดค่อนข้างขยันเข้าร่วมกิจกรรมของมอและคณะมาก แต่พอขึ้นปีสาม ด้วยภาระงานที่ต้องทำ บวกกับผักกาดต้องทำพาร์ทไทม์ ทำให้ในช่วงปีสามนั้นผักกาดขาดกิจกรรมของมอและของคณะจนทำให้ไม่ผ่านกิจกรรม ยังดีที่ขจี เพื่อนในคณะของผักกาดเองก็ไม่ผ่านกิจกรรมและได้ไปแก้กิจกรรมรอบเดียวกัน
ไม่รู้ว่าอาจารย์ที่เป็นคนคุมกิจกรรมต้องการทำให้นักศึกษาเข็ดหลาบหรือยังไง ปกติการไปปฏิบัติธรรมที่ผักกาดรู้มาอย่างมากก็แค่สี่วันสามคืนเท่านั้น แต่อาจารย์กลับกำหนดให้ไปปฏิบัติธรรมถึงเจ็ดวันหกคืน!!!! ซึ่งวัดที่เลือกไปปฏิบัติธรรมนั้นตั้งอยู่บนเขา ห่างไกลจากตัวเมืองกว่าห้าสิบกิโลเมตร แค่บอกว่าตั้งอยู่บนเขา ผักกาดก็รู้ได้ทันทีว่าต้องลำบากมากแน่ๆ โดยช่วงเวลาที่อาจารย์กำหนดให้ไปปฏิบัติธรรมนั้นคือช่วงเวลาหลังสอบไฟนอลเสร็จเพียงหนึ่งวัน
แรกเริ่มของการเดินทาง นักศึกษาหลายๆ คนอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้กับการเดินทาง แม้จะรู้ว่าปลายทางเป็นเพียงวัดที่ตั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดารก็ตาม หลังใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมง รถก็จอดอยู่หน้าปากทางขึ้นเขา เส้นทางต่อไปค่อนข้างชันและชื้น ทำให้รถเมย์ที่บรรจุนักศึกษามานั้นไม่สามารถขึ้นไปได้ พวกนักศึกษาต้องเดินถือสัมภาระขึ้นไปกันเอง
ระยะทางประมาณห้ากิโลเมตร ผักกาดและขจีเดินๆ พักๆ อยู่หลายรอบ จนผักกาดและขจีเดินอยู่รั้งท้ายสุด และเพราะไหนๆ ก็กลายเป็นคนสุดท้ายที่จะไปถึง ผักกาดเลยชวนขจีให้ผ่อนความเร็วลงอีกหน่อย
บนเขาความกดอากาศค่อนข้างต่ำ ขจีเดินไปหอบไปจนสุดท้ายทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างทนไม่ไหว เดินต่ออีกหน่อยก็จะถึงตัววัดกันแล้วบวกกับอาจารย์เองก็ไม่ได้ฟิคเวลาเอาไว้ด้วยว่าต้องขึ้นไปถึงบนเขาภายในกี่นาที ผักกาดเลยตัดสินใจว่าพักสักแปปให้ขจีหายเหนื่อยแล้วค่อยเดินกันต่อ พอขจีหายเหนื่อยและกำลังจะเดินกันต่อ ผักกาดเหมือนได้ยินเสียงคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ๆ ถนนเส้นที่ผักกาดและขจีเดินอยู่นั้นเป็นถนนปูนซีเมนต์เก่าๆ ซึ่งตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้รกๆ
ก่อนเดินทางมาที่นี่ อาจารย์ได้แจ้งรายละเอียดถึงข้าวของที่ต้องเตรียมมาด้วยว่า วัดที่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมนั้น เพราะตั้งอยู่ในที่ห่างไกลและทุรกันดารเลยไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ในละแวกใกล้ๆ นี้เลย เพราะงั้นเสียงที่ผักกาดได้ยินคงไม่ใช่เสียงเดินของชาวบ้านแน่นอน
เสียงดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ขจีที่เหมือนจะได้ยินเหมือนกันก็จับแขนของผักกาดแน่น เสียงดังสวบสาบสักพัก ก่อนร่างของแม่ชีสวมชุดขาวจะเดินออกมาจากพงหญ้ารกอย่างช้าๆ ในมือของแม่ชีถือไม้กวาดทางมะพร้าวไว้อยู่ ผักกาดแอบถอนหายใจและคิดว่าคงเป็นแม่ชีที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่เหมือนกัน แม่ชีหันมามองผักกาดและขจีก่อนจะส่งยิ้มหวานมาให้ ผักกาดเลยรีบยกมือไหว้แม่ชีทันที
“พวกหนูมาปฏิบัติธรรมที่นี่หรอลูก” แม่ชีถามก่อนจะค่อยๆ เดินมา
ผักกาดตอบรับแม่ชีไปทันทีว่า “ค่ะ”
แต่ไม่รอให้แม่ชีเดินมาถึง ขจีก็รีบลุกขึ้นยืนและเร่งเร้าให้ผักกาดรีบเดินขึ้นเขาต่อ “รีบไปเหอะ เดี๋ยวโดนอาจารย์บ่น” ผักกาดที่โดนขจีลากแขนให้เดินต่อก็รีบหันไปทางแม่ชีก่อนจะก้มหัวลงให้แทนคำบอกลา แม่ชีหยุดชะงักและมองไปที่ขจีเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้กับผักกาดและค่อยๆ ยกไม้กวาดทางมะพร้าวในมือกวาดใบไม้ดัง แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก
“รีบอะไรขนาดนี้เนี่ย กลัวอาจารย์กับคนอื่นๆ หายรึไง”ผักกาดเริ่มเจ็บแขนตรงที่ขจีจับ เลยถามขจีอย่างสงสัย จังหวะที่หันหน้าไปทางขจี เหมือนมีลมเย็นๆ พัดมาจากข้างหลัง อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงบนเขา อากาศที่นี่เลยค่อนข้างเย็นกว่าปกติอยู่แล้ว พอมีลมเย็นพัดมาโดนอีก ผักกาดเลยรู้สึกทั้งเย็นยะเยือกทั้งขนลุกในเวลาเดียวกัน ผัดกาดห่อไหล่สั่นเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับไปดูตามทิศที่ลมพัดมา
แต่...
ตรงที่แม่ชีเคยยืนอยู่กลับว่างเปล่า... เสียงกวาดพื้นก็เงียบไปแล้ว ด้วยความสงสัย ผักกาดเลยมองไปรอบๆ เพื่อหาร่างของแม่ชี เพราะยังไงในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีแม่ชีก็ไม่น่าจะเดินไปไกลจนลับตาได้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ผักกาดก็ไม่เจอร่องรอยของแม่ชีอีกเลย
ฝ่ามือของขจีชื้นเหงื่อมากจนผักกาดรู้สึกชื้นที่แขนตาม แม้ว่าจะมีเหงื่อออกเยอะ แต่ฝ่ามือของขจีกลับเย็นเฉียบ ก่อนผักกาดจะนึกขึ้นได้ว่า ขจีเคยบอกว่า ตัวเองมีเซ้นส์...
คิดถึงตรงนี้ ผักกาดก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัว ก่อนจะรีบหันไปจ้องขจีที่ในตอนแรกยังเหนื่อยจะเป็นจะตายแต่ตอนนี้กลับมีเรี่ยวแรงเดินสับขาหน้าเครียดขึ้นเขาอย่างไม่ลดละ
“นี่...” เหมือนเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผักกาดเลยฉุกแขนขจีให้ผ่อนสีเท้าลงเพราะกะจะถาม แต่ขจีรีบแทรกมาก่อนเหมือนรู้ว่าผักกาดจะพูดอะไร “อย่าเพิ่งถาม รีบเดินขึ้นไปรวมกับคนอื่นๆ ก่อน”
เพราะรีบเดินกันเร็วมาก ภายในห้านาทีผักกาดและขจีก็เดินมาถึงบนเขา พออาจารย์เห็นว่านักศึกษาขึ้นกันมาครบแล้ว ก็เรียกให้มารวมตัวกัน ก่อนที่เจ้าอาวาสวัดจะเดินมาอธิบายกำหนดการในแต่ละวันว่าต้องทำอะไรบ้าง บอกเสร็จก็เดินนำไปยังที่พักที่จัดเตรียมไว้ให้พวกนักศึกษาพักระหว่างที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่
เพราะมีอะไรให้ทำเยอะ ผักกาดเลยลืมเรื่องแม่ชีที่เจอไปเลย หลังนำของสัมภาระไปเก็บและเปลี่ยนไปนุ่งขาวห่มขาวเรียบร้อย อาจารย์ก็แจ้งว่าจะกลับแล้ว และจะมารับพวกนักศึกษาอีกทีในวันที่ปฏิบัติธรรมกันเสร็จ
แรกๆ พวกนักศึกษาก็ไม่พอใจ เพราะเหมือนว่าอาจารย์เอาพวกตนมาลอยแพกลางป่ากลางเขา แต่เพราะไม่สามารถแย้งอะไรได้ เลยต้องยอมรับไปตามสภาพ ซึ่งก่อนอาจารย์จะกลับนั้น ได้ฝากให้พระอาจารย์อานัท ผู้ซึ่งรับผิดชอบนำปฏิบัติธรรมดูแลนักศึกษาให้แทน หากใครไม่ยอมปฏิบัติตามที่พระอาจารย์สั่ง ก็ให้ตัดสิทธิ์แก้กิจกรรมไม่ผ่านได้เลยทันที เพราะอยู่ในวัดในเจ้า พวกนักศึกษาเลยไม่กล้าพูดอะไรมาก
บ้านพักแยกชายหญิง โดยของผู้ชายนั้นอยู่ห่างไปอีกสองร้อยเมตร ใกล้กับกุฏิของพระอาจารย์อานัท บ้านพักหลังที่ผักกาดและขจีอยู่นั้นเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ข้างในเป็นเพียงที่กว้างโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีห้องน้ำภายในตัว มีแค่เพียงพัดลมติดเพดานให้เท่านั้น แม่ครัวที่ทางอาจารย์จ้างมาเป็นคนทำกับข้าวให้กินเรียกให้นักศึกษาหญิงไปรับฟูกนอนที่แค่เอาส่องกับไฟในห้องก็มองทะลุได้และหมอนที่มีความหนาไม่ต่างกันกับฟูก เพื่อจับจองที่นอนในช่วงปฏิบัติธรรม
หลังจากที่ผักกาดและขจีเลือกที่นอน จัดของและเปลี่ยนชุดเสร็จ ก็รีบเดินออกมาสำรวจรอบๆ บ้านพักก่อนจะเริ่มปฏิบัติธรรม บ้านพักอยู่ห่างจากเขตปฏิบัติธรรมไปประมาณหกร้อยเมตรได้ รอบข้างเป็นป่ารกชื้นที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงรายเต็มไปหมด ยังดีที่ทางเดินบริเวณที่พักปูอิฐบล็อกเอาไว้ ห้องน้ำแยกออกมาเป็นห้องๆ อยู่ใกล้กับที่พักเลย มีประมาณสิบห้องได้ สภาพภายนอกของที่พักและห้องน้ำนับว่ายังอยู่ในสภาพดี ไม่ได้ดูเก่าทรุดโทรมจนไม่น่าใช้
เสียงระฆังดังขึ้น พระอาจารย์อานัทก็เรียกให้นักศึกษามารวมตัวและเริ่มปฏิบัติธรรมกัน เพราะว่าอยู่บนเขา สัญญาณไม่ค่อยมี การจะโทรหาใครหรือแม้แต่การเล่นโซเชียลมีเดียเลยเป็นเรื่องยาก แต่ยังดีที่บนเขาน้ำและไฟยังใช้ได้เป็นปกติ หลังปฏิบัติธรรมวันแรกเสร็จ ทั้งผักกาดและขจีต่างก็เหนื่อยอ่อน เพราะไม่เคยปฏิบัติธรรมกันมาก่อน พอได้มาลองทำแบบนี้บวกกับช่วงเช้าที่ต้องเดินเท้าขึ้นเขากว่าห้ากิโลเมตร ทำให้พอหัวถึงหมอน ทั้งคู่ก็หลับสนิทในทันที
เต๊ง เต๊ง เต๊ง
เสียงระฆังเคาะบอกเวลาดังขึ้น ผักกาดจำได้ว่าระฆังแรกจะเริ่มตีตอนตีสาม ตีสี่และสิ้นสุดที่ตีห้า คิดว่าในตอนนี้คงจะเพิ่งตีสาม ผักกาดต้องตื่นไปทำวัดเช้าตอนตีห้า เพราะงั้นจึงรีบหลับตานอนต่อ แต่เพราะยังไม่ชินกับที่นอน เลยทำให้กึ่งหลับกึ่งตื่น
หลังเสียงระฆังตีบอกเวลาตอนตีสี่ดังขึ้น ผักกาดเหมือนได้ยินเสียงไม้กวาดทางมะพร้าวดังขึ้นมาใกล้ๆ กับที่พัก แรกๆ เหมือนเสียงดังมาจากที่ไกลๆ แต่สักพักก็เริ่มได้ยินเสียงใกล้เข้ามา และใกล้เข้ามาจนผักกาดรู้สึกเหมือนเสียงนั้นจะดังอยู่รอบๆที่พัก ตอนนั้นผักกาดไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงแค่ว่าคงเป็นเณรสักคนมากวาดใบไม้ทำความสะอาดก่อนทำวัดเช้า
คืนสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม เหล่านักศึกษาต่างก็พากันคึกครื้น เพราะพรุ่งนี้ก็จะได้กลับบ้านกันแล้ว คืนนั้นผักกาดฝันแปลกๆ ในฝันผักกาดยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านพัก มันเป็นฝันที่ผักกาดรู้สึกว่ามันเหมือนจริงมากเกินไป มากจนผักกาดรู้สึกกลัวขึ้นมา ขณะมองไปรอบๆ บ้านพัก ผักกาดเห็นเพื่อนๆ คนอื่นกำลังนอนหลับกันอย่างสบาย
ผักกาดที่ไม่รู้ว่าตัวเองมายืนทำอะไรอยู่หน้าประตูเลยตั้งใจเดินกลับไปยังที่นอนของตัวเองโดยอาศัยแสงไฟจากด้านนอกที่ส่องเข้ามาพอให้เห็นทางแบบเลือนๆ ตอนที่ผักกาดกำลังจะหันหลังเดิน
จู่ๆ ประตูบ้านพักก็โดนเขย่าเสียงดังจนผักกาดตกใจสะดุ้งสุดตัว ประตูถูกเขย่าจากด้านนอกแรงๆ อยู่สองสามที คล้ายกับมีอะไรพยายามจะเปิดเข้ามา แต่เปิดเข้ามาไม่ได้
ผักกาดได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ตาก็จ้องไปที่ประตู ยืนรอจนประตูหยุดสั่น ก็ค่อยๆ เดินกลับไปที่นอนตัวเองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผักกาดกลับได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง! เสียงผู้หญิงที่ฟังดูนุ่มสบายหูร้องเรียกว่า ผักกาด ผักกาด เปิดประตูให้หน่อย ผักกาดรู้สึกคุ้นกับเสียงเรียกนี้มาก คิดว่าคงเป็นคนรู้จักที่ออกไปเข้าห้องน้ำแล้วเข้ามาข้างในไม่ได้ เลยเดินไปปลดกลอนประตูออกให้อย่างไม่คิดอะไร
บานประตูเปิดออก แต่ไม่มีใครยืนอยู่ข้างนอกเลยสักคน ผักกาดเลยมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นเป็นเงาคนสีขาวๆ กำลังเดินมาทางบ้านพัก ผักกาดนิ่งมองอยู่สักพัก ก่อนจะสังเกตเห็นว่าคนที่กำลังเดินมานั้นคล้ายกับแม่ชีที่ผักกาดเจอวันแรก ผักกาดตกใจรีบวิ่งเข้าไปในบ้านพักและรีบปิดประตูลงกลอนและพุ่งตัวไปยังที่นอนทันที ตอนที่กำลังจะล้มตัวลงนอนนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นข้างหูว่า ‘ผักกาด!!’
ผักกาดตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีพร้อมกับเสียงระฆังที่ดังขึ้นมา ผักกาดมองไปรอบๆ เห็นคนอื่นๆ ยังคงนอนหลับสนิทกันอยู่ไม่เว้นแม้แต่ขจีที่นอนอยู่ข้างๆ กัน ผักกาดหยิบมือถือมาเปิดดูเวลา เห็นว่าเวลาตอนนี้คือตีสามห้าสิบเก้านาทีก็รีบหันไปจ้องที่ประตูบ้านพักอีกครั้ง ประตูนิ่งสนิทไม่ได้ถูกเขย่าเสียงดังเหมือนในฝัน
หลังปลอบใจตัวเองว่าแค่ฝันร้าย เสียงระฆังตอนตีสี่ก็ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงของไม้กวาดทางมะพร้าว แต่ในรอบนี้ เสียงไม้กวาดไม่ได้ดังมาจากที่ไกลๆ แต่เริ่มดังมาจากใกล้ๆ รอบๆ บ้านพักแทน ผักกาดลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นไปแอบดูผ่านรูบานเกล็ดเพราะสงสัยมานานแล้วว่าเณรคนไหนกันที่ขยันมากวาดลานบ้านพักในเวลานี้ทุกวัน
แต่ไม่รู้ว่าเพราะแสงไฟมีน้อยเกินไปหรือไม่ ผักกาดได้ยินแค่เสียงเท่านั้น แต่ไม่เห็นว่าใครกำลังกวาดลานบ้านพักอยู่ ทั้งๆ ที่เสียงนั้นดังเข้ามาใกล้มากแล้วแท้ๆ ผักกาดส่องอยู่นานก็ไม่เห็น เลยกลับไปยังที่นอนของตัวเอง ก่อนจะล้มตัวลงนอน
อาจเพราะเพิ่งฝันร้ายมา ผักกาดเลยนอนไม่หลับ ทำได้แค่นอนมองเพดานบ้านพักนิ่งๆ ในหัวได้แต่คิดเรื่อยเปื่อยไปมา ตอนที่เปลี่ยนไปนอนตะแคงเพราะเริ่มปวดหลัง ผักกาดสังเกตเห็นว่า เงาตรงประตูดูแปลกตาไป มันดูมืดผิดปกติจากเงาจุดเดียวกัน
ไม่รู้ว่าเสียงกวาดลานบ้านพักเงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผักกาดจ้องไปที่เงาตรงประตูสักพักก่อนจะเบิกตาตกใจแต่ไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมา เพราะจู่ๆ เงามืดที่ประตูก็ค่อยๆ ขยับ เคลื่อนตัวตามผนังบ้านพักจนขยายใหญ่ขึ้นมา เงานั้นคล้ายกับเงาสะท้อนของคนที่กำลังเดินมา
แต่ว่าใครกันหล่ะที่เดินมา....?
นิยายชุด : ผลัดกันเล่า by motamad
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ขอแทนชื่อผู้เล่าว่า ผักกาด
เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยที่ผักกาดยังเป็นนักศึกษาปีสาม ที่คณะของผักกาด ค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องกิจกรรมมหาลัย หากนักศึกษาคนใดไม่มาเข้าร่วมกิจกรรมของมอและของคณะให้ครบตามจำนวน จะต้องไปแก้กิจกรรมที่ขาดด้วยการไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งการแก้กิจกรรมมีผลต่อการจบการศึกษา ดังนั้นหากใครติดแก้กิจกรรมแล้วไม่แก้ ก็จะไม่ผ่านหลักสูตร และจะกลายเป็นเรียนไม่จบทันทีจนกว่าจะแก้กิจกรรมจนผ่านได้
ในช่วงสองปีแรกนั้นผักกาดค่อนข้างขยันเข้าร่วมกิจกรรมของมอและคณะมาก แต่พอขึ้นปีสาม ด้วยภาระงานที่ต้องทำ บวกกับผักกาดต้องทำพาร์ทไทม์ ทำให้ในช่วงปีสามนั้นผักกาดขาดกิจกรรมของมอและของคณะจนทำให้ไม่ผ่านกิจกรรม ยังดีที่ขจี เพื่อนในคณะของผักกาดเองก็ไม่ผ่านกิจกรรมและได้ไปแก้กิจกรรมรอบเดียวกัน
ไม่รู้ว่าอาจารย์ที่เป็นคนคุมกิจกรรมต้องการทำให้นักศึกษาเข็ดหลาบหรือยังไง ปกติการไปปฏิบัติธรรมที่ผักกาดรู้มาอย่างมากก็แค่สี่วันสามคืนเท่านั้น แต่อาจารย์กลับกำหนดให้ไปปฏิบัติธรรมถึงเจ็ดวันหกคืน!!!! ซึ่งวัดที่เลือกไปปฏิบัติธรรมนั้นตั้งอยู่บนเขา ห่างไกลจากตัวเมืองกว่าห้าสิบกิโลเมตร แค่บอกว่าตั้งอยู่บนเขา ผักกาดก็รู้ได้ทันทีว่าต้องลำบากมากแน่ๆ โดยช่วงเวลาที่อาจารย์กำหนดให้ไปปฏิบัติธรรมนั้นคือช่วงเวลาหลังสอบไฟนอลเสร็จเพียงหนึ่งวัน
แรกเริ่มของการเดินทาง นักศึกษาหลายๆ คนอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้กับการเดินทาง แม้จะรู้ว่าปลายทางเป็นเพียงวัดที่ตั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดารก็ตาม หลังใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมง รถก็จอดอยู่หน้าปากทางขึ้นเขา เส้นทางต่อไปค่อนข้างชันและชื้น ทำให้รถเมย์ที่บรรจุนักศึกษามานั้นไม่สามารถขึ้นไปได้ พวกนักศึกษาต้องเดินถือสัมภาระขึ้นไปกันเอง
ระยะทางประมาณห้ากิโลเมตร ผักกาดและขจีเดินๆ พักๆ อยู่หลายรอบ จนผักกาดและขจีเดินอยู่รั้งท้ายสุด และเพราะไหนๆ ก็กลายเป็นคนสุดท้ายที่จะไปถึง ผักกาดเลยชวนขจีให้ผ่อนความเร็วลงอีกหน่อย
บนเขาความกดอากาศค่อนข้างต่ำ ขจีเดินไปหอบไปจนสุดท้ายทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างทนไม่ไหว เดินต่ออีกหน่อยก็จะถึงตัววัดกันแล้วบวกกับอาจารย์เองก็ไม่ได้ฟิคเวลาเอาไว้ด้วยว่าต้องขึ้นไปถึงบนเขาภายในกี่นาที ผักกาดเลยตัดสินใจว่าพักสักแปปให้ขจีหายเหนื่อยแล้วค่อยเดินกันต่อ พอขจีหายเหนื่อยและกำลังจะเดินกันต่อ ผักกาดเหมือนได้ยินเสียงคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ๆ ถนนเส้นที่ผักกาดและขจีเดินอยู่นั้นเป็นถนนปูนซีเมนต์เก่าๆ ซึ่งตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้รกๆ
ก่อนเดินทางมาที่นี่ อาจารย์ได้แจ้งรายละเอียดถึงข้าวของที่ต้องเตรียมมาด้วยว่า วัดที่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมนั้น เพราะตั้งอยู่ในที่ห่างไกลและทุรกันดารเลยไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ในละแวกใกล้ๆ นี้เลย เพราะงั้นเสียงที่ผักกาดได้ยินคงไม่ใช่เสียงเดินของชาวบ้านแน่นอน
เสียงดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ขจีที่เหมือนจะได้ยินเหมือนกันก็จับแขนของผักกาดแน่น เสียงดังสวบสาบสักพัก ก่อนร่างของแม่ชีสวมชุดขาวจะเดินออกมาจากพงหญ้ารกอย่างช้าๆ ในมือของแม่ชีถือไม้กวาดทางมะพร้าวไว้อยู่ ผักกาดแอบถอนหายใจและคิดว่าคงเป็นแม่ชีที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่เหมือนกัน แม่ชีหันมามองผักกาดและขจีก่อนจะส่งยิ้มหวานมาให้ ผักกาดเลยรีบยกมือไหว้แม่ชีทันที
“พวกหนูมาปฏิบัติธรรมที่นี่หรอลูก” แม่ชีถามก่อนจะค่อยๆ เดินมา
ผักกาดตอบรับแม่ชีไปทันทีว่า “ค่ะ”
แต่ไม่รอให้แม่ชีเดินมาถึง ขจีก็รีบลุกขึ้นยืนและเร่งเร้าให้ผักกาดรีบเดินขึ้นเขาต่อ “รีบไปเหอะ เดี๋ยวโดนอาจารย์บ่น” ผักกาดที่โดนขจีลากแขนให้เดินต่อก็รีบหันไปทางแม่ชีก่อนจะก้มหัวลงให้แทนคำบอกลา แม่ชีหยุดชะงักและมองไปที่ขจีเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้กับผักกาดและค่อยๆ ยกไม้กวาดทางมะพร้าวในมือกวาดใบไม้ดัง แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก
“รีบอะไรขนาดนี้เนี่ย กลัวอาจารย์กับคนอื่นๆ หายรึไง”ผักกาดเริ่มเจ็บแขนตรงที่ขจีจับ เลยถามขจีอย่างสงสัย จังหวะที่หันหน้าไปทางขจี เหมือนมีลมเย็นๆ พัดมาจากข้างหลัง อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงบนเขา อากาศที่นี่เลยค่อนข้างเย็นกว่าปกติอยู่แล้ว พอมีลมเย็นพัดมาโดนอีก ผักกาดเลยรู้สึกทั้งเย็นยะเยือกทั้งขนลุกในเวลาเดียวกัน ผัดกาดห่อไหล่สั่นเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับไปดูตามทิศที่ลมพัดมา
แต่...
ตรงที่แม่ชีเคยยืนอยู่กลับว่างเปล่า... เสียงกวาดพื้นก็เงียบไปแล้ว ด้วยความสงสัย ผักกาดเลยมองไปรอบๆ เพื่อหาร่างของแม่ชี เพราะยังไงในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีแม่ชีก็ไม่น่าจะเดินไปไกลจนลับตาได้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ผักกาดก็ไม่เจอร่องรอยของแม่ชีอีกเลย
ฝ่ามือของขจีชื้นเหงื่อมากจนผักกาดรู้สึกชื้นที่แขนตาม แม้ว่าจะมีเหงื่อออกเยอะ แต่ฝ่ามือของขจีกลับเย็นเฉียบ ก่อนผักกาดจะนึกขึ้นได้ว่า ขจีเคยบอกว่า ตัวเองมีเซ้นส์...
คิดถึงตรงนี้ ผักกาดก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัว ก่อนจะรีบหันไปจ้องขจีที่ในตอนแรกยังเหนื่อยจะเป็นจะตายแต่ตอนนี้กลับมีเรี่ยวแรงเดินสับขาหน้าเครียดขึ้นเขาอย่างไม่ลดละ
“นี่...” เหมือนเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผักกาดเลยฉุกแขนขจีให้ผ่อนสีเท้าลงเพราะกะจะถาม แต่ขจีรีบแทรกมาก่อนเหมือนรู้ว่าผักกาดจะพูดอะไร “อย่าเพิ่งถาม รีบเดินขึ้นไปรวมกับคนอื่นๆ ก่อน”
เพราะรีบเดินกันเร็วมาก ภายในห้านาทีผักกาดและขจีก็เดินมาถึงบนเขา พออาจารย์เห็นว่านักศึกษาขึ้นกันมาครบแล้ว ก็เรียกให้มารวมตัวกัน ก่อนที่เจ้าอาวาสวัดจะเดินมาอธิบายกำหนดการในแต่ละวันว่าต้องทำอะไรบ้าง บอกเสร็จก็เดินนำไปยังที่พักที่จัดเตรียมไว้ให้พวกนักศึกษาพักระหว่างที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่
เพราะมีอะไรให้ทำเยอะ ผักกาดเลยลืมเรื่องแม่ชีที่เจอไปเลย หลังนำของสัมภาระไปเก็บและเปลี่ยนไปนุ่งขาวห่มขาวเรียบร้อย อาจารย์ก็แจ้งว่าจะกลับแล้ว และจะมารับพวกนักศึกษาอีกทีในวันที่ปฏิบัติธรรมกันเสร็จ
แรกๆ พวกนักศึกษาก็ไม่พอใจ เพราะเหมือนว่าอาจารย์เอาพวกตนมาลอยแพกลางป่ากลางเขา แต่เพราะไม่สามารถแย้งอะไรได้ เลยต้องยอมรับไปตามสภาพ ซึ่งก่อนอาจารย์จะกลับนั้น ได้ฝากให้พระอาจารย์อานัท ผู้ซึ่งรับผิดชอบนำปฏิบัติธรรมดูแลนักศึกษาให้แทน หากใครไม่ยอมปฏิบัติตามที่พระอาจารย์สั่ง ก็ให้ตัดสิทธิ์แก้กิจกรรมไม่ผ่านได้เลยทันที เพราะอยู่ในวัดในเจ้า พวกนักศึกษาเลยไม่กล้าพูดอะไรมาก
บ้านพักแยกชายหญิง โดยของผู้ชายนั้นอยู่ห่างไปอีกสองร้อยเมตร ใกล้กับกุฏิของพระอาจารย์อานัท บ้านพักหลังที่ผักกาดและขจีอยู่นั้นเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ข้างในเป็นเพียงที่กว้างโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีห้องน้ำภายในตัว มีแค่เพียงพัดลมติดเพดานให้เท่านั้น แม่ครัวที่ทางอาจารย์จ้างมาเป็นคนทำกับข้าวให้กินเรียกให้นักศึกษาหญิงไปรับฟูกนอนที่แค่เอาส่องกับไฟในห้องก็มองทะลุได้และหมอนที่มีความหนาไม่ต่างกันกับฟูก เพื่อจับจองที่นอนในช่วงปฏิบัติธรรม
หลังจากที่ผักกาดและขจีเลือกที่นอน จัดของและเปลี่ยนชุดเสร็จ ก็รีบเดินออกมาสำรวจรอบๆ บ้านพักก่อนจะเริ่มปฏิบัติธรรม บ้านพักอยู่ห่างจากเขตปฏิบัติธรรมไปประมาณหกร้อยเมตรได้ รอบข้างเป็นป่ารกชื้นที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงรายเต็มไปหมด ยังดีที่ทางเดินบริเวณที่พักปูอิฐบล็อกเอาไว้ ห้องน้ำแยกออกมาเป็นห้องๆ อยู่ใกล้กับที่พักเลย มีประมาณสิบห้องได้ สภาพภายนอกของที่พักและห้องน้ำนับว่ายังอยู่ในสภาพดี ไม่ได้ดูเก่าทรุดโทรมจนไม่น่าใช้
เสียงระฆังดังขึ้น พระอาจารย์อานัทก็เรียกให้นักศึกษามารวมตัวและเริ่มปฏิบัติธรรมกัน เพราะว่าอยู่บนเขา สัญญาณไม่ค่อยมี การจะโทรหาใครหรือแม้แต่การเล่นโซเชียลมีเดียเลยเป็นเรื่องยาก แต่ยังดีที่บนเขาน้ำและไฟยังใช้ได้เป็นปกติ หลังปฏิบัติธรรมวันแรกเสร็จ ทั้งผักกาดและขจีต่างก็เหนื่อยอ่อน เพราะไม่เคยปฏิบัติธรรมกันมาก่อน พอได้มาลองทำแบบนี้บวกกับช่วงเช้าที่ต้องเดินเท้าขึ้นเขากว่าห้ากิโลเมตร ทำให้พอหัวถึงหมอน ทั้งคู่ก็หลับสนิทในทันที
เต๊ง เต๊ง เต๊ง
เสียงระฆังเคาะบอกเวลาดังขึ้น ผักกาดจำได้ว่าระฆังแรกจะเริ่มตีตอนตีสาม ตีสี่และสิ้นสุดที่ตีห้า คิดว่าในตอนนี้คงจะเพิ่งตีสาม ผักกาดต้องตื่นไปทำวัดเช้าตอนตีห้า เพราะงั้นจึงรีบหลับตานอนต่อ แต่เพราะยังไม่ชินกับที่นอน เลยทำให้กึ่งหลับกึ่งตื่น
หลังเสียงระฆังตีบอกเวลาตอนตีสี่ดังขึ้น ผักกาดเหมือนได้ยินเสียงไม้กวาดทางมะพร้าวดังขึ้นมาใกล้ๆ กับที่พัก แรกๆ เหมือนเสียงดังมาจากที่ไกลๆ แต่สักพักก็เริ่มได้ยินเสียงใกล้เข้ามา และใกล้เข้ามาจนผักกาดรู้สึกเหมือนเสียงนั้นจะดังอยู่รอบๆที่พัก ตอนนั้นผักกาดไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงแค่ว่าคงเป็นเณรสักคนมากวาดใบไม้ทำความสะอาดก่อนทำวัดเช้า
คืนสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม เหล่านักศึกษาต่างก็พากันคึกครื้น เพราะพรุ่งนี้ก็จะได้กลับบ้านกันแล้ว คืนนั้นผักกาดฝันแปลกๆ ในฝันผักกาดยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านพัก มันเป็นฝันที่ผักกาดรู้สึกว่ามันเหมือนจริงมากเกินไป มากจนผักกาดรู้สึกกลัวขึ้นมา ขณะมองไปรอบๆ บ้านพัก ผักกาดเห็นเพื่อนๆ คนอื่นกำลังนอนหลับกันอย่างสบาย
ผักกาดที่ไม่รู้ว่าตัวเองมายืนทำอะไรอยู่หน้าประตูเลยตั้งใจเดินกลับไปยังที่นอนของตัวเองโดยอาศัยแสงไฟจากด้านนอกที่ส่องเข้ามาพอให้เห็นทางแบบเลือนๆ ตอนที่ผักกาดกำลังจะหันหลังเดิน
จู่ๆ ประตูบ้านพักก็โดนเขย่าเสียงดังจนผักกาดตกใจสะดุ้งสุดตัว ประตูถูกเขย่าจากด้านนอกแรงๆ อยู่สองสามที คล้ายกับมีอะไรพยายามจะเปิดเข้ามา แต่เปิดเข้ามาไม่ได้
ผักกาดได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ตาก็จ้องไปที่ประตู ยืนรอจนประตูหยุดสั่น ก็ค่อยๆ เดินกลับไปที่นอนตัวเองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผักกาดกลับได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง! เสียงผู้หญิงที่ฟังดูนุ่มสบายหูร้องเรียกว่า ผักกาด ผักกาด เปิดประตูให้หน่อย ผักกาดรู้สึกคุ้นกับเสียงเรียกนี้มาก คิดว่าคงเป็นคนรู้จักที่ออกไปเข้าห้องน้ำแล้วเข้ามาข้างในไม่ได้ เลยเดินไปปลดกลอนประตูออกให้อย่างไม่คิดอะไร
บานประตูเปิดออก แต่ไม่มีใครยืนอยู่ข้างนอกเลยสักคน ผักกาดเลยมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นเป็นเงาคนสีขาวๆ กำลังเดินมาทางบ้านพัก ผักกาดนิ่งมองอยู่สักพัก ก่อนจะสังเกตเห็นว่าคนที่กำลังเดินมานั้นคล้ายกับแม่ชีที่ผักกาดเจอวันแรก ผักกาดตกใจรีบวิ่งเข้าไปในบ้านพักและรีบปิดประตูลงกลอนและพุ่งตัวไปยังที่นอนทันที ตอนที่กำลังจะล้มตัวลงนอนนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นข้างหูว่า ‘ผักกาด!!’
ผักกาดตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีพร้อมกับเสียงระฆังที่ดังขึ้นมา ผักกาดมองไปรอบๆ เห็นคนอื่นๆ ยังคงนอนหลับสนิทกันอยู่ไม่เว้นแม้แต่ขจีที่นอนอยู่ข้างๆ กัน ผักกาดหยิบมือถือมาเปิดดูเวลา เห็นว่าเวลาตอนนี้คือตีสามห้าสิบเก้านาทีก็รีบหันไปจ้องที่ประตูบ้านพักอีกครั้ง ประตูนิ่งสนิทไม่ได้ถูกเขย่าเสียงดังเหมือนในฝัน
หลังปลอบใจตัวเองว่าแค่ฝันร้าย เสียงระฆังตอนตีสี่ก็ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงของไม้กวาดทางมะพร้าว แต่ในรอบนี้ เสียงไม้กวาดไม่ได้ดังมาจากที่ไกลๆ แต่เริ่มดังมาจากใกล้ๆ รอบๆ บ้านพักแทน ผักกาดลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นไปแอบดูผ่านรูบานเกล็ดเพราะสงสัยมานานแล้วว่าเณรคนไหนกันที่ขยันมากวาดลานบ้านพักในเวลานี้ทุกวัน
แต่ไม่รู้ว่าเพราะแสงไฟมีน้อยเกินไปหรือไม่ ผักกาดได้ยินแค่เสียงเท่านั้น แต่ไม่เห็นว่าใครกำลังกวาดลานบ้านพักอยู่ ทั้งๆ ที่เสียงนั้นดังเข้ามาใกล้มากแล้วแท้ๆ ผักกาดส่องอยู่นานก็ไม่เห็น เลยกลับไปยังที่นอนของตัวเอง ก่อนจะล้มตัวลงนอน
อาจเพราะเพิ่งฝันร้ายมา ผักกาดเลยนอนไม่หลับ ทำได้แค่นอนมองเพดานบ้านพักนิ่งๆ ในหัวได้แต่คิดเรื่อยเปื่อยไปมา ตอนที่เปลี่ยนไปนอนตะแคงเพราะเริ่มปวดหลัง ผักกาดสังเกตเห็นว่า เงาตรงประตูดูแปลกตาไป มันดูมืดผิดปกติจากเงาจุดเดียวกัน
ไม่รู้ว่าเสียงกวาดลานบ้านพักเงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผักกาดจ้องไปที่เงาตรงประตูสักพักก่อนจะเบิกตาตกใจแต่ไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมา เพราะจู่ๆ เงามืดที่ประตูก็ค่อยๆ ขยับ เคลื่อนตัวตามผนังบ้านพักจนขยายใหญ่ขึ้นมา เงานั้นคล้ายกับเงาสะท้อนของคนที่กำลังเดินมา
แต่ว่าใครกันหล่ะที่เดินมา....?