รีวิวเที่ยวเชียงใหม่ กับที่ที่เรายังไม่เคยไปมาก่อน
ไม่ว่าจะรอบที่เท่าไหร่ แต่มากี่ครั้งก็ยังชอบเหมือนเดิม
Day1
"Back to Travel ... ได้เวลาเที่ยวแล้ว!"
เช้าวันที่ฝนตกพรำเบาๆ และเกือบทำให้เกือบไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน
เป็นความรู้สึกร้อนใจที่เช้ามืดวันนี้ เรายืนรอรถแท็กซี่ที่แทบไม่มีผ่านมาเลย บางคันก็ไม่จอดรับ ยืนรอจนสุดท้ายก็มีรถจอดรับและรีบขับไปส่งเราที่สนามบิน
หลังจากเช็คอินเสร็จก็รีบรุดมาที่เกททันที เพราะอีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว หลังจากเครื่องLandingไปไม่นาน เราก็ผล็อยหลับไปด้วยความง่วง เพราะต้องตื่นแต่เช้า
ดูถุงใต้ตาเราสิ คล้ำและลึกไม่ไหวแล้ววว ขอตัวนอนนนน
หลับไปได้สักพักก็ตื่นขึ้นเพราะแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา เป็นภาพยามเช้าที่สวยงามมากจริงๆ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมออะไรแบบนี้สินะ และหลังจากนั้นก็หลับต่อ 555555
ราวๆ สัก 07.30 น. เสียงประกาศบนเครื่องดังว่า ตอนนี้ถึงเชียงใหม่แล้ว และกำลังจะลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ตอนนั้นงัวเงียและรู้สึกเวียนหัวมาก พอลงจากเครื่องมาเดินเซ เวียนหัวแทบล้ม ดีที่พี่ๆแอร์กราวด์ช่วยเดินมาส่งจนสุดทาง
หลังจากนั้นก็รอเพื่อนมารับ และไปหาของกินก่อนเข้าสู่ทริปของเราแบบจริงจัง!!
แค่เริ่มต้นมาก็ไม่ค่อยราบรื่นซะแล้ว ทริปนี้จะไปรอดไหมนะ ><
ที่แรกที่เราแวะมา เป็น
คาเฟ่ Nature Talk ออกนอกตัวเมืองไปแถวละแวกแม่ริม ครั้งแรกที่เห็น ก็เห็นจากในรีวิวว่าเป็นสถาปัตยกรรมธรรมชาติสุดอาร์ต บ้านสีขาวหลังใหญ่ ดีไซน์แปลกตา พอมาถึง โอ้โห! มันน่ารักจริงๆ ด้านล่างเป็นคาเฟ่ ด้านบนเป็นที่พัก รอบๆ บริเวณมีจุดถ่ายรูปที่ถ่ายตรงไหน มุมไหนก็สวยยยย
แต่วันนี้ฟ้าค่อนข้างขมุกขมัว เมฆครึ้มดำมาตั้งแต่เช้า เลยไม่ค่อยมีแดดจัดสักเท่าไหร่นัก รูปท้องฟ้าวันนี้เลยอาจดูไม่สดใสเท่าที่ควร
มีกิจกรรมปั้นดินด้วยนะ
นี่แฟนเพื่อนเราเอง ถ่ายด้วยกันแรกๆ ก็จะเป็นเกร็งๆ กันอยู่หน่อยๆ
ส่วนนี่เราเอง ไม่ต้องลำบากตั้งกล้องถ่ายเองแล้วนะ มีเพื่อนช่วยถ่ายให้แล้ว เย่!!
เราใช้เวลากับที่นี่ค่อนข้างนาน เพราะมุมถ่ายรูปมันเยอะจริงๆ คือ ลั่นชัตเตอร์ไปเป็นร้อยยยย 555555555 นี่ยังไม่ได้ไปไหนเลย เล่นเอาแบตกล้องเกือบหมด
หลังจากเพลิดเพลินกับการถ่ายรูป และใช้เวลาไปเยอะมากจนเกือบๆ เที่ยง เลยแวะกินมื้อกลางวันกันที่ร้านริมทางร้านหนึ่ง ซึ่งหิวมากเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดเลยย แหะๆ
และไปต่อที่
วัดเด่นสะหลีศรีเมืองแกน หรือ วัดบ้านเด่น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินชื่อวัดนี้ จุดเด่นที่เราเห็นชัดและทำให้รู้สึกแตกต่างจากที่อื่นมากเลยคือ หลังคาที่เป็นสีน้ำเงิน และกุฏิไม้สักทองทรงล้านนาที่สวยงามมาก มีความวิจิตรงดงามตระการตาด้วยศิลปสถาปัตยกรรมไทยล้านนา
แต่พอลองค้นดูข้อมูลกลับพบว่าวัดนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น จีน จนถึงขั้นขนานนามว่าเป็น Blue Temple ราวกับที่เรียกวัดร่องขุ่นว่า White Temple เลยทีเดียว
ใช้เวลากับที่นี่ไปราวชั่วโมง ก็เตรียมตัวไปยังจุดหมายต่อไปของวันนี้ นั่นคือสถานที่นัดพบเพื่อไปยังที่พักของเราในค่ำคืนนี้
วันนี้เราพักกันที่
“ห้วยกุ๊บกั๊บ” เป็นสถานที่ที่กำลังมาแรงและยอดฮิตเลยก็ว่าได้ แต่ที่แห่งนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบายมากนัก เพราะที่นี่นอกจากจะอยู่บนเขาสูงชัน เดินทางลำบากที่ไม่สามารถนำรถขึ้นไปเองได้(นอกจากรถชาวบ้าน) สัญญาณโทรศัพท์มีของค่ายเขียว แต่สัญญาณเน็ตอ่อนแอมากๆ และยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แถมยังมีน้ำใช้อย่างจำกัดอีกด้วย
แต่หากคุณยอมรับเงื่อนไขในข้อเหล่านั้นได้ ที่นี่มันคือที่ที่คุณจะได้พักผ่อน และเสพบรรยากาศวิถีชีวิตในโฮมสเตย์บนดอยได้อย่างแท้จริงเลยล่ะ
ที่พักที่เราและเพื่อนจองไว้ชื่อ
“บ้านซุกกิ๊ก โฮมสเตย์” เราจองผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยทางบ้านพักจะเป็นคนนัดหมายเวลานัดพบเราเอง แต่วันนั้นมีฝนตกด้วยทางขึ้นเลยค่อนข้างลื่น บวกกับความสูงชัน เป็นทุนเดิมแล้ว กว่าจะไปถึงบอกเลยว่าใช้แรงในการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งตัวไปหมดทั้งชีวิตแล้ววว แงงงงง
เข้าใจเลยว่า ไม่สามารถเอารถขึ้นมาเองได้จริงๆ
และไม่กล้าเสี่ยงชีวิตตัวเองละมือจากที่จับแล้วถ่ายรูปทางขึ้นมาให้ทุกคนดูได้ TT
มันมีจังหวะนึงที่ล้อรถลื่นแล้วรู้สึกเลยว่ามันสไลด์ จังหวะนั้นใจหายแว้บบบบบบบบบ แต่ก็รอดและปลอดภัยดี TT
ผมนี่แหละเจ้าถิ่นฮะะ มีไรเคลียร์ได้ฮะะ
บรรยากาศหมู่บ้านก็จะประมาณนี้
พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า
ขอมาทักทาย และฝากเนื้อฝากด้วยด้วยจ้าา
แก... พระอาทิตย์ตกดินวันนี้ สวยมากเว้ยยย
เราไม่ได้มายืนมองพระอาทิตย์ตกดินยามเย็นแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ..
อากาศเริ่มเย็น พระอาทิตย์เริ่มบอกลา
ได้ฟีลดีมากเลยย อากาศเย็นๆ กับวิวสวยๆ
มุมนี้จากมุมยอดฮิตของที่พักเลยยย
นี่คือพี่ๆ ที่เพิ่งรู้จักกันที่โฮมสเตย์นี้แหละ
หน้าตามื้อเย็นที่จัดเตรียมไว้ให้เรา ไม่อิ่มตักเพิ่มได้เลยยย หรือใครอยากหมูกระทะก็มีแจ้งคุณลุงที่ดูแลได้เลย
ส่วนลูกชิ้นทอด ซื้อมาจากร้านค้าในหมู่บ้าน
ราคาที่พักเราอยู่ที่คนละ 800 รวมอาหารเช้า-เย็น และค่ารถรับส่งขึ้นลงดอย แถมบริการเซอร์วิสดีๆ จากเหล่าพนักงานต้อนรับแก๊งแมวเหมียว ที่ทาสแมวต้องใจบางแน่นอน เพราะเจ้านายที่นี่เอาใจและไม่กลัวคนเลย
บ้านพักที่นี่จะเป็นไม้ไผ่ เดินทีเอี๊ยดอ๊าดทั้งบ้าน ได้ยินทั้งหมด เป็นแบบแชร์เฮาส์ แยกห้องนอนประมาณ 3-4 ห้องเท่านั้น
ทำงานดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง เมี๊ยวววว
คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น เราชอบมากๆ เพราะเป็นอากาศที่หาไม่ได้จากในกรุงเทพฯ เราเป็นทัพหน้าลงไปอาบน้ำคนแรก ซึ่งดูจะเป็นที่ฮือฮาสำหรับเพื่อนๆ และผู้เข้าพักคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
แต่การอาบน้ำแล้วมานั่งผิงไฟอุ่นๆ นี่มันโคตรดีย์เลยยยยยยยยยยย
แต่อย่างที่ว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า มีเพียงแสงสว่างเล็กๆ จากโซล่าเซลล์ ให้พอส่องสว่างได้เท่านั้น ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ไม่มีทีวี ไม่มีไฟไว พอกลางคืนมามันเลยจะค่อนข้างเงียบ
หลังอาบน้ำ กิจกรรมที่เราตั้งใจเอามาเล่นกับเพื่อนคือ UNO จ้า ยังไม่ทันเริ่มตาแรก คนที่พักด้วยกันก็สนใจแจมร่วงวงด้วย จนถึงเที่ยงคืนก็แยกย้ายนอน เพราะเป็นกฎของที่นี่คือ ให้ใช้เสียงหรือนั่งสังสรรค์กันได้แค่เที่ยงคืนเท่านั้น
รู้สึกปลื้มปริ่มสำหรับการเผยแพร่ลัทธิUnoมากกกก เพราะตั้งแต่โควิดก็แทบไม่ได้เล่นกับใครที่ไหนเลยย เป็นเศร้า
เป็นวันที่สนุกดีเหมือนกันนะ หลายๆ อย่างอาจจะไม่เป็นไปตามหวัง หรือมีเรื่องราวให้ตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วนั่นแหละคือรสชาติของการเป็นนักท่องเที่ยว ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ จนคนแปลกหน้าได้รู้จัก ได้ทักทาย
รู้สึกโคตรดีเลยที่ตัดสินใจกลับมาเที่ยวเชียงใหม่อีกครั้ง..
พรุ่งนี้ต้องเดินทางต่ออีก.. นอนกันเถอะะ
รีวิวเที่ยวเชียงใหม่ กับที่ที่เรายังไม่เคยไปมาก่อน (ห้วยกุ๊บกั๊บ - ดอยค้ำฟ้า - Hinoki Land)
เป็นความรู้สึกร้อนใจที่เช้ามืดวันนี้ เรายืนรอรถแท็กซี่ที่แทบไม่มีผ่านมาเลย บางคันก็ไม่จอดรับ ยืนรอจนสุดท้ายก็มีรถจอดรับและรีบขับไปส่งเราที่สนามบิน
หลังจากเช็คอินเสร็จก็รีบรุดมาที่เกททันที เพราะอีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว หลังจากเครื่องLandingไปไม่นาน เราก็ผล็อยหลับไปด้วยความง่วง เพราะต้องตื่นแต่เช้า
ราวๆ สัก 07.30 น. เสียงประกาศบนเครื่องดังว่า ตอนนี้ถึงเชียงใหม่แล้ว และกำลังจะลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ตอนนั้นงัวเงียและรู้สึกเวียนหัวมาก พอลงจากเครื่องมาเดินเซ เวียนหัวแทบล้ม ดีที่พี่ๆแอร์กราวด์ช่วยเดินมาส่งจนสุดทาง
หลังจากนั้นก็รอเพื่อนมารับ และไปหาของกินก่อนเข้าสู่ทริปของเราแบบจริงจัง!!
แค่เริ่มต้นมาก็ไม่ค่อยราบรื่นซะแล้ว ทริปนี้จะไปรอดไหมนะ ><
ที่แรกที่เราแวะมา เป็นคาเฟ่ Nature Talk ออกนอกตัวเมืองไปแถวละแวกแม่ริม ครั้งแรกที่เห็น ก็เห็นจากในรีวิวว่าเป็นสถาปัตยกรรมธรรมชาติสุดอาร์ต บ้านสีขาวหลังใหญ่ ดีไซน์แปลกตา พอมาถึง โอ้โห! มันน่ารักจริงๆ ด้านล่างเป็นคาเฟ่ ด้านบนเป็นที่พัก รอบๆ บริเวณมีจุดถ่ายรูปที่ถ่ายตรงไหน มุมไหนก็สวยยยย
หลังจากเพลิดเพลินกับการถ่ายรูป และใช้เวลาไปเยอะมากจนเกือบๆ เที่ยง เลยแวะกินมื้อกลางวันกันที่ร้านริมทางร้านหนึ่ง ซึ่งหิวมากเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดเลยย แหะๆ
และไปต่อที่วัดเด่นสะหลีศรีเมืองแกน หรือ วัดบ้านเด่น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินชื่อวัดนี้ จุดเด่นที่เราเห็นชัดและทำให้รู้สึกแตกต่างจากที่อื่นมากเลยคือ หลังคาที่เป็นสีน้ำเงิน และกุฏิไม้สักทองทรงล้านนาที่สวยงามมาก มีความวิจิตรงดงามตระการตาด้วยศิลปสถาปัตยกรรมไทยล้านนา
แต่พอลองค้นดูข้อมูลกลับพบว่าวัดนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น จีน จนถึงขั้นขนานนามว่าเป็น Blue Temple ราวกับที่เรียกวัดร่องขุ่นว่า White Temple เลยทีเดียว
วันนี้เราพักกันที่ “ห้วยกุ๊บกั๊บ” เป็นสถานที่ที่กำลังมาแรงและยอดฮิตเลยก็ว่าได้ แต่ที่แห่งนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบายมากนัก เพราะที่นี่นอกจากจะอยู่บนเขาสูงชัน เดินทางลำบากที่ไม่สามารถนำรถขึ้นไปเองได้(นอกจากรถชาวบ้าน) สัญญาณโทรศัพท์มีของค่ายเขียว แต่สัญญาณเน็ตอ่อนแอมากๆ และยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แถมยังมีน้ำใช้อย่างจำกัดอีกด้วย
แต่หากคุณยอมรับเงื่อนไขในข้อเหล่านั้นได้ ที่นี่มันคือที่ที่คุณจะได้พักผ่อน และเสพบรรยากาศวิถีชีวิตในโฮมสเตย์บนดอยได้อย่างแท้จริงเลยล่ะ
ที่พักที่เราและเพื่อนจองไว้ชื่อ “บ้านซุกกิ๊ก โฮมสเตย์” เราจองผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยทางบ้านพักจะเป็นคนนัดหมายเวลานัดพบเราเอง แต่วันนั้นมีฝนตกด้วยทางขึ้นเลยค่อนข้างลื่น บวกกับความสูงชัน เป็นทุนเดิมแล้ว กว่าจะไปถึงบอกเลยว่าใช้แรงในการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งตัวไปหมดทั้งชีวิตแล้ววว แงงงงง
เข้าใจเลยว่า ไม่สามารถเอารถขึ้นมาเองได้จริงๆ
และไม่กล้าเสี่ยงชีวิตตัวเองละมือจากที่จับแล้วถ่ายรูปทางขึ้นมาให้ทุกคนดูได้ TT
มันมีจังหวะนึงที่ล้อรถลื่นแล้วรู้สึกเลยว่ามันสไลด์ จังหวะนั้นใจหายแว้บบบบบบบบบ แต่ก็รอดและปลอดภัยดี TT
บ้านพักที่นี่จะเป็นไม้ไผ่ เดินทีเอี๊ยดอ๊าดทั้งบ้าน ได้ยินทั้งหมด เป็นแบบแชร์เฮาส์ แยกห้องนอนประมาณ 3-4 ห้องเท่านั้น
แต่การอาบน้ำแล้วมานั่งผิงไฟอุ่นๆ นี่มันโคตรดีย์เลยยยยยยยยยยย
แต่อย่างที่ว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า มีเพียงแสงสว่างเล็กๆ จากโซล่าเซลล์ ให้พอส่องสว่างได้เท่านั้น ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ไม่มีทีวี ไม่มีไฟไว พอกลางคืนมามันเลยจะค่อนข้างเงียบ
หลังอาบน้ำ กิจกรรมที่เราตั้งใจเอามาเล่นกับเพื่อนคือ UNO จ้า ยังไม่ทันเริ่มตาแรก คนที่พักด้วยกันก็สนใจแจมร่วงวงด้วย จนถึงเที่ยงคืนก็แยกย้ายนอน เพราะเป็นกฎของที่นี่คือ ให้ใช้เสียงหรือนั่งสังสรรค์กันได้แค่เที่ยงคืนเท่านั้น
รู้สึกปลื้มปริ่มสำหรับการเผยแพร่ลัทธิUnoมากกกก เพราะตั้งแต่โควิดก็แทบไม่ได้เล่นกับใครที่ไหนเลยย เป็นเศร้า
เป็นวันที่สนุกดีเหมือนกันนะ หลายๆ อย่างอาจจะไม่เป็นไปตามหวัง หรือมีเรื่องราวให้ตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วนั่นแหละคือรสชาติของการเป็นนักท่องเที่ยว ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ จนคนแปลกหน้าได้รู้จัก ได้ทักทาย
รู้สึกโคตรดีเลยที่ตัดสินใจกลับมาเที่ยวเชียงใหม่อีกครั้ง..
พรุ่งนี้ต้องเดินทางต่ออีก.. นอนกันเถอะะ