ฆ่าลูกบูชาเทพ สละชีวิตให้แม่เถอะลูก!! l บันทึกลึกลับ

🛑 คดีฆ่าปาดคอลูกสาวตัวเอง ผู้เป็นแม่เชื่อเพื่อบูชาพระอินทร์
🛑 คดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นจริงในสังคม เมื่อ ปี 2547 เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ
🛑 เรื่องราวสุดแสนจะพิสดารที่เกิดจากความเชื่อยิ่งกว่าเทพนิยาย
🛑 "ทำหนูทำไม อย่าทำหนูเลย" ก่อนเงียบเสียงไป และเป็นประโยคสุดท้าย 

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ย้อนรอยคดีฆ่าปาดคอลูกสาวตัวเอง  ผู้เป็นแม่เชื่อเพื่อบูชาพระอินทร์   
สาเหตุอะไรทำให้เธอต้องฆ่าลูกของตัวเอง? และวิธีการฆ่าแบบเลือดเย็นเกินมนุษย์ ..!!
คดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นจริงในสังคม เมื่อ ปี 2547 เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ 
ด้วยการฆ่าปาดคอลูกสาววัย 12 ปี เพราะเชื่อว่าจะช่วยขจัดสิ่งชั่วร้าย 
แล้วดวงวิญญาณของเด็กจะไปสวรรค์ และเชื่อว่าการส่งวิญญาณของลูกสาวให้พระอินทร์ดูแล 
ช่วยให้โลกสว่างไสวขึ้น
 
เรื่องราวสุดแสนจะพิสดารที่เกิดจากความเชื่อยิ่งกว่าเทพนิยายนี้  
เกิดขึ้นจริงในโลกปัจจุบัน  ในสังคมไทยที่มีพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ 
ณ. บ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่ง หมู่ 11 ต.แพงพวย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี 
สถานที่เกิดเหตุสยองขวัญและได้กลายเป็นตำนานอันพิลึกพิลั่น  
 
ปัจจุบันยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่ 4 คน ซึ่งมีความเกี่ยวพันฉันญาติกับเจ้าของบ้านเดิม  
สภาพบ้านเรือน ณ.บัดนี้แทบไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเมื่อก่อน 
 ยกเว้นสภาพจิตใจของพวกเขาและเธอที่อยากจะลืมเรื่องร้ายๆ เหล่านี้ไปจากใจ  
ทว่าก็ยากเกินจะทนและไม่ขอพูดถึงเมื่อถูกถามถึงเรื่องราวในอดีต
 
แต่ใช่ว่าเรื่องนี้จะลืมกันได้ง่ายๆ ตรงกันข้าม  ทุกคนยังจดจำได้ดี  
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนบ้านอย่าง "บุญสม พูลสินธุ์" ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11
ที่บ้านของเขาอยู่ถัดออกไปจากบ้านเกิดเหตุ  เพียง 500 เมตร เท่านั้น
และก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน  เขาได้รับคำชักชวนในทำนองเพ้อฝันจากเจ้าของบ้านหลังนี้ด้วย 
 
เรื่องมีอยู่ว่าบ่ายวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ตำรวจ สภ.ดำเนินสะดวก  
ได้รับแจ้งเหตุฆาตกรรมในบ้านหลังนี้  จึงเดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ
เจ้าหน้าที่มูลนิธิสว่างราชบุรีเมื่อทราบเหตุ ก็รีบเข้าไปถึงบ้านที่เกิดเหตุเป็นชุดแรก
ภายในบ้านเห็นผู้หญิง 4 คน กำลังนั่งล้อมวงโดยมีร่างของเด็กผู้หญิงนอนเลือดท่วมอยู่ตรงกลาง
เมื่อทั้ง 4 คนหันมาเห็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเข้ามาในบ้าน ก็เดินมาด่า
และบอกว่าเป็นมารที่เข้ามาทำลายพิธีส่งวิญญาณ ทำให้การทำพิธีไม่สำเร็จ
 
จากนั้นผู้หญิงทั้ง 4 คนได้พากันหนีขึ้นไปอยู่ชั้นบน
เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯจึงได้วิทยุแจ้งไปยังศูนย์วิทยุเพื่อขอกำลังเสริม 
เนื่องจากเห็นว่าผู้หญิงทั้ง 4 คนนั้น มีท่าทางแปลกๆ
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและกำลังเสริมมาถึง ก็ต้องพบกับภาพอันชวนตกตะลึง  
เมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของ ด.ญ.ประภัสสร เจียมเจริญ อายุ 12 ขวบ นอนสิ้นลมหายใจอยู่กลางบ้าน  
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง  และที่บริเวณลำคอถูกของมีคมปาดจนหลอดลมขาด  
คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง  
 
นอกจากนี้กลางบ้านยังมีโต๊ะวางของอยู่  คล้ายกับกำลังทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์  
มีเส้นผมจำนวนหนึ่งแช่น้ำอยู่ในกะละมัง  ที่นอนถูกนำไปเผาทิ้งข้างบ้านและมีดอีโต้เปื้อนเลือดตกอยู่ใกล้ๆ ศพ
 
บริเวณชั้นบนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงสวดมนต์ด้วยภาษาบาลี  
เล็ดลอดออกมาจากประตูห้องนอนห้องหนึ่ง  ด้วยความงุนงงสงสัย  
เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเรียกให้คนข้างในเปิดประตู  แต่ไม่เป็นผล
จึงตัดสินใจพังประตูเข้าไปพบผู้หญิง 4 คนกำลังสวดบริกรรมคาถาด้วยถ้อยคำไม่ได้ศัพท์..!!
 
ทันทีที่เห็นตำรวจทุกคนก็ด่าทอขับไล่ตำรวจ  แล้วคว้ามีดไล่ฟันจนเกิดความโกลาหลขึ้น
เพราะว่าในเวลานั้นไม่ได้มีแต่เฉพาะตำรวจเท่านั้น  แต่ยังมีไทยมุงอีกจำนวนมากที่สนใจใคร่รู้  
ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน  ก็เป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักมักคุ้นกับครอบครัวนี้ทั้งสิ้น  
 
บรรดาไทยมุงอีกจำนวนมากที่ต่างก็รู้จักมักคุ้นกับครอบครัวนี้ 
พากันแตกตื่นวิ่งหนีแตกหนีกระเจิงไปในสวนมะพร้าวคนละทิศละทาง  
บางคนล้มลุกคลุกคลาน  ตกน้ำตกท่าลงไปในคูร่องสวน  ได้แผลเปิดเปิงกันไปพอหอมปากหอมคอ  
หลายคนพยายามเรียกชื่อให้คืนสติ  แต่เหมือนกับยิ่งยั่วยุมากขึ้นๆ 
ตำรวจต้องใช้กำลังเข้าจู่โจมเพื่อล็อคตัวแย่งอาวุธ จนสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ในที่สุด
 
บุคคลทั้งสี่ประกอบด้วย.. 
แม่ของเด็ก นางกาญจนา เจียมเจริญ อายุ 50 ปี 
ยายของเด็ก นางบัว เจียมเจริญ อายุ 68 ปี 
น้าของเด็ก นางอนงค์ เจียมเจริญ อายุ 45 ปี และ 
น้าของเด็ก น.ส.จรินทร์ เจียมเจริญ อายุ 32 ปี ทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน..
 
 
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำการสอบสวนผู้ต้องหา 
โดยนางกาญจนาให้การวกไปวนมาคล้ายกับอาการของคนเสียสติว่า 
ก่อนเกิดเหตุนั้นสั่งให้นางอนงค์น้องสาวไปตัดต้นมะพร้าวในสวนข้างบ้านให้หมด 
จากนั้นก็ฆ่าลูกสาวทิ้งเพื่อทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณไปอยู่กับพระอินทร์  
ซึ่งเป็นคำสั่งของพระอินทร์ ที่ได้ลงมาสั่งการและมิอาจขัดขืนได้ 
เพราะเชื่อว่าลูกสาวนำความชั่วร้ายติดตัวมาจำต้องฆ่าทิ้ง 
ซึ่งจะทำให้โลกสว่างไสวขึ้น และปลดปล่อยชีวิตที่ถูกกดขี่มา 3 ภพ 3 ชาติ 
หากฆ่าแล้วเลือดชั่วจะได้เป็นอิสระ 

หลังจากนั้นนางอนงค์ได้ลงมือฆ่า ด.ญ.ประภัสสรทันที โดยใช้มีดอีโต้ปาดคอดิ้นพราดตายคาที่
แล้วตัดเส้นผมผู้ตายไปแช่น้ำ และนำเสื้อผ้ากับที่นอนไปเผาทิ้งเพื่อทำพิธีส่งวิญญาณ
ระหว่างสอบปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหลักฐานเป็นม้วนเทป ซึ่งนางกาญจนาอัดไว้ช่วงลงมือสังหารลูกสาว
โดยข้อความในเทปตอนหนึ่งนางกาญจนาได้พูดกับลูกสาวว่า "เสียสละชีวิตให้แม่เถอะลูก"
จากนั้นได้มีเสียง ด.ญ. ประภัสสรพูดเหมือนกับร้องขอชีวิตอย่างน่าสงสารว่า.. 
"ทำหนูทำไม อย่าทำหนูเลย" ก่อนเงียบเสียงไป และเป็นประโยคสุดท้ายที่ถูกอัดในเทป
เชื่อว่าพอ ด.ญ.ประภัสสร พูดจบ ก็ถูกเชือดคอหลอดลมขาดทันที !!!
หญิงทั้งสี่คนพี่น้อง มีอาชีพทำสวนผลไม้ มีฐานะปานกลาง มีความเชื่อเรื่องการบูชาพระอินทร์มานานแล้ว 
เคยชวนชาวบ้านละแวกใกล้เคียงให้มาร่วมทำพิธีกรรมต่างๆ นานาหลายครั้ง 
ตัวนางกาญจนาเองมักจะมีการเข้าทรงเหมือนกับคลั่งลัทธิตลอดเวลา
เวลาโกรธหรือไม่พอใจใครก็จะด่ากราดไปทั่ว จนไม่มีใครอยากคบหาหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
 
ผู้ใหญ่ก็เป็นหนึ่งในเพื่อนบ้านที่ได้รับการชักชวนจากกาญจนา
โดยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2547 หรือ 2 วันก่อนเกิดเหตุ  เวลาประมาณตี 3
นางอนงค์ได้มาตามที่บ้านผู้ใหญ่บุญสม  ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 500 เมตร 
ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น  จึงเดินตามไปที่บ้าน  
แต่เมื่อขึ้นไปชั้นบนก็สังเกตเห็นโต๊ะหมู่บูชา  นางอนงค์บอกให้นั่งหลับตาทำสมาธิ  
เพราะตัวเขาเคยทำร้ายพระอินทร์ในชาติภพก่อน  ผู้ใหญ่บุญสมได้แต่นั่งหลับตามั่งลืมตามั่ง 
พอเห็นท่าไม่ดีเลยขอตัวกลับบ้าน..
 
เรื่องน่าจะจบลงแค่นั้น ทว่าคืนต่อมาเวลาประมาณ 4 ทุ่ม 
นางอนงค์ก็ยังกลับมาหาผู้ใหญ่บุญสมอีกครั้ง  ถึงตอนนี้ก็เริ่มรู้แล้วว่า..  
ต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้จึงปฏิเสธไม่ไป  
จนกระทั่งคืนวันที่ 4 ตุลาคมเวลาราวๆ ตี 2
ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงก็ได้ยินเสียงเด็กร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บปวดแล้วก็เงียบหายไป..!
แต่ไม่มีใครคาดคิดไปถึงว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในสังคมชนบทที่สุดแสนสงบเงียบแห่งนี้
ก่อนหน้านี้ครูประจำชั้นพบว่า ด.ญ.ประภัสสร มักหลับในเวลาเรียนเสมอ 
พอสอบถามจึงได้ความว่า ตอนกลางคืนเธอโดนที่บ้านบังคับให้นั่งสมาธิจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
วันที่ 31 กันยายน 2547 นางอนงค์น้าของเด็กเดินทางมารับ ด.ญ.ประภัสสรก่อนเวลาเลิกเรียน
 อ้างกับครูว่าต้องรับกลับบ้านเพื่อไปทำพิธีกรรมบางอย่าง
วันที่ 1 ตุลาคม 2547 ญาติๆ ทางกรุงเทพฯเดินทางมาที่บ้านร่วมทำพิธีสวดมนต์ นั่งสมาธิ 
และนั่งจับมือต่อๆกัน เพื่อให้คนที่เป็นแม่ของเด็กหลุดพ้นจากความชั่วร้าย
เมื่อญาติเดินทางกลับ เหตุร้ายไม่คาดฝันจึงได้เกิดขึ้น...!!!
 
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อนบ้านต่างหวาดระแวงครอบครัวนี้ 
เด็กๆ หลายคนถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้บ้านหลังนี้  ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเราจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันก็ตาม
 
ผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนเชื่อว่า  เรื่องเศร้าสลดเหล่านี้เกิดจากความกดดันในอดีตของแม่เด็ก.. 
บาดแผลในอดีตของนางกาญจนา  คือการถูกคนร้ายข่มขื่น  
และต่อมาเธอให้กำเนิด  ด.ญ.ประภัสสร โดยมีนางอนงค์ผู้เป็นน้าคอยดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี  
แต่แล้วชาวบ้านก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวที่เคยสุขสงบนี้ 
เมื่อทุกคนในบ้านหันเข้าพึ่งพิธีกรรมประหลาด จนไม่มีใครกล้าเข้าไปสุงสิงด้วยเหมือนก่อน
 
ผลการตรวจสภาพจิตของหญิงผู้ลงมือก่อเหตุทั้ง 4 คน 
พบว่าทั้งหมดมีอาการป่วยทางประสาทและเชื่อว่าพวกตนเป็นร่างทรงของพระอินทร์ พระอาทิตย์ และพระจันทร์
 
ปัจจุบันนี้ สี่พี่น้องเข้ารับการรักษาอาการทางประสาทที่ สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ 
(เดิมชื่อโรงพยาบาลนิติจิตเวช) เป็นโรงพยาบาลรักษาคนเป็นโรคประสาทหรือมีอาการทางจิต
ไม่ได้ถูกตัดสินลงโทษจำคุกแต่อย่างใด......
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่