[บทสัมภาษณ์] งานแห่งชีวิต ในโลกละครของ "อำไพพร จิตต์ไม่งง"


ยามบ่ายอันแสนอบอ้าว ตรงตึกสีขาว ๒ ชั้น อันเป็นที่ทำการของบริษัทผลิตละครแห่งหนึ่ง ประตูบานเลื่อนกรอบไม้เปิดออก พร้อมๆ กับการทักทายจากหญิงสาวร่างเล็กและรอยยิ้มจริงใจของเธอ อำไพพร จิตต์ไม่งง ผู้กำกับฯ หญิงแห่งวิก ๓ ที่ประสบความความสำเร็จอย่างงดงามด้วยผลงานละคร อุ้มรัก มาเมื่อปีกลาย และฝากฝีมือการกำกับฯไว้ใน บัวปริ่มน้ำ ที่ลาจอไปไม่นาน

เทปบันทึกเสียงค่อยๆ ดำเนินไปข้างหน้าท่ามกลางสายลมบางเบา เรื่องราวการก้าวเดินในโลกละครของผู้หญิงคนนี้เริ่มต้นที่ตรงไหน ขับเคลื่อนเรื่อยมาอย่างไร ไม่มีใครให้คำตอบได้ดีไปกว่าตัวเธอเอง

• ช่วงนี้กำกับละครเรื่องอะไรอยู่คะ?

ตอนนี้ก็มีละครเรื่อง รักนี้หัวใจเราจองนะคะ ทำกับบริษัทละครไทค่ะ เป็นแนวโรแมนติค ผจญภัยค่ะ

• เป็นผลงานการกำกับฯ ชิ้นที่เท่าไรแล้วคะ?

น่าจะประมาณเรื่องที่ ๗-๘ ได้นะคะ ถ้าจำไม่ผิด เพราะตอนกำกับฯอุ้มรักนั่นก็เป็นเรื่องที่ ๕ แล้วค่ะ

• เริ่มงานกำกับฯ มาตั้งแต่ละครเรื่องไหนคะ?

เริ่มจากตะวันลับฟ้าน่ะค่ะ ก็นานแล้วเหมือนกัน นั่นเป็นเรื่องแรก ทำกับพี่จิ๋ม (มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช) แล้วก็มาสาวฮ็อต หนุ่มเฮ้ว จดหมายถึงดวงดาว ผู้ชายมือสอง ส่วนใหญ่จะทำงานกับพี่จิ๋ม เป็นผู้ช่วย แล้วก็ไม่ได้ทำอยู่ปีหนึ่ง เพราะไปสอนหนังสือ จนมาทำอุ้มรักให้พี่ดา (หทัยรัตน์ อมตวนิช) ก็หายไปเกือบสองปีค่ะ ไปทำอีเวนท์อะไรต่างๆ ในช่วงนั้น

• เรียนจบทางด้านละครมาโดยตรงหรือคะ?

จบอักษร จุฬาฯ เอกวิชาศิลปะการละครค่ะ เรียนละครเวที แต่ถามว่าทำอะไรบ้าง ก็เริ่มตั้งแต่พื้นฐานการแสดง แอ็คติ้ง แล้วเราเน้นทางด้านแอ็คติ้งกับไดเร็คติ้งอยู่แล้ว จริงๆ มันเป็นพื้นฐานของการแสดงทั้งหมดนะคะ แต่เป็นสายของละครเวทีมากกว่า แต่ถามว่าพื้นฐานเดียวกันไหม ถ้าเกี่ยวกับการแสดงตรงนี้ก็คือได้ไปเต็มๆ ค่ะ

• ตอนที่เรียนอยู่จุฬาฯ ก็วางเป้าหมายไว้เลยหรือเปล่าคะว่า เมื่อเรียนจบแล้ว จะออกไปทำงานด้านนี้?

ไม่เลยค่ะ จริงๆ แล้วสมัยเด็กๆ เป็นคนขี้อายมาก แต่มักจะถูกให้เล่นละครเป็นพระเอกตลอดเวลาด้วยความที่ดูเหมือนทอม (หัวเราะ) แต่จริงๆ ไม่ใช่ทอมนะคะ ยืนยัน เขาก็ชอบให้เล่นละครของห้อง เวลาเล่นแล้วสนุก ก็เลยชอบเล่นละคร แล้วคนก็จะแบบ เอ๊ะ ทำไมแอ้วทำได้ เห็นเงียบๆ จนเรียนจบเตรียมอุดมฯ จะเข้ามหาวิทยาลัย ทีนี้จะเอกวิชาอะไรดีล่ะ จนเขาบอกว่ามีเอกนี้ ก็ไปลองเรียนละครดู แล้วก็รู้สึกว่าเป็นวิชาที่สนุกค่ะ

• ก็เลยเปลี่ยนจากคนขี้อายมาเป็นคนที่กล้าแสดงออกมากขึ้นอีก?

ก็ยังเหมือนเดิม เรื่องการแสดงนี่เฉยๆ อยู่แล้ว เพราะจริงๆ แล้วเราสอน แต่พอให้ไปเล่นเราก็เล่น ก็สนุก ครูใหญ่ (อาจารย์สดใส พันธุมโกมล) ยังบอกเลยว่า บางคนเกิดมาเพื่อจะเล่นละคร แต่บางคนเกิดมาเพื่อจะดูเขาเล่น เพราะตอนนั้นลงเรียนไดเร็คติ้งและแอ็คติ้งกับครู ครูก็บอกอย่างนั้น คือบางคนเกิดมาที่จะกำกับฯ เขา เราก็เออ ตัวเองก็ไม่ได้เล่นละครเยอะแยะนะคะ แต่ว่ามันเป็นจุดประกายอย่างหนึ่งว่า เราเป็นคนเฉยๆ แต่ทำไมเวลาเล่นละครแล้วสนุก สมัยเด็กๆ น่ะนะคะ แล้วมาตอนนี้ คือดูเขาเล่น อย่างเวลาที่น้องๆ ในกองถ่ายบอกให้พี่แอ้วเล่น ก็จะไม่เล่นหรอก บอกอารมณ์ดีกว่า

พอจบมาปุ๊บก็ไปเป็นแอ็คติ้งโค้ชด้วย ช่วยสอนด้วย อาจารย์คณิต คุณาวุฒิ เขาเห็นว่าเราเรียนมาทางด้านนี้ บางครั้งก็จะให้ไปสอนการแสดงด้วย แล้วเราก็ไปช่วยพี่นะ (ชนะ คราประยูร) อย่างเด็กที่เข้าวงการใหม่ๆ พี่นะก็จะให้ไปสอน อย่างตอนนั้น พล ตัณฑเสถียร เข้าวงการใหม่ๆ ก็ไปสอนค่ะ

• ช่วงนั้นคิดหรือยังคะว่า พอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปสักพักหนึ่งแล้วจะกำกับฯ เองบ้าง?

ไม่เคยคิดเลยค่ะ จริงๆ นะ เราเป็นคนที่อยู่กับงานตรงที่ทำมากกว่า อย่างตอนนั้นทำงานผู้ช่วยก็สนุกมากหรือเวลาที่ไปสอนหนังสือก็สนุก มีตอนหนึ่ง ก่อนที่จะมากำกับฯ ของช่อง ๓ อาจารย์คณิตให้กำกับฯ มินิซีรี่ย์ รู้สึกเหนื่อยมาก ตอนนั้นอายุ ๒๕ เอง แล้วก็พูดคำเดียวว่า ไม่เอาแล้ว แล้วก็ไม่ทำอีกเลย จนมาเจอพี่จิ๋ม เป็นผู้ช่วย เขาบอกว่าต้องทำแล้ว ยื่นหนังสือให้อ่านแล้วก็บอกว่าแอ้วต้องทำตะวันลับฟ้า เก็บหนังสือมาให้เลยบอกแอ้วทำเถอะ เพราะตอนนั้นงานผู้ช่วยก็คืองานที่สนุก รู้เลยว่าเราไม่ต้องรับผิดชอบมากมายเหมือนผู้กำกับฯแต่เราทำการบ้าน ทำทุกอย่างให้เขา

แต่พอมาเป็นผู้กำกับฯ ต้องทำนั่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาจะนั่ง ขนาดเป็นมินิซีรี่ย์นะ ตัวละครก็ไม่เยอะ เวลาจะเข้าห้องน้ำยังไม่มีเลย ก็เลยเหนื่อยมาก ตัดต่อเอง เขียนบทเอง ทำเองหมดเลย ก็เลยรู้สึกว่าไม่เอาดีกว่า เพราะเราทำหลายอย่างมากช่วงนั้น ทั้งสารคดี รายการอะไร คิดว่าไปทำอย่างอื่นก็ได้ เช่น แอ็คติ้งโค้ชหรือผู้ช่วยที่ไม่ต้องรับผิดชอบมากขนาดนี้ ให้เป็นผู้ช่วยแล้วเราก็ทำงานในส่วนของเรา ให้ผู้กำกับฯเขาไปทำเขา

• แต่ในที่สุด ก็ต้องมานั่งแท่นผู้กำกับฯ อย่างจริงจังหลังจากมินิซีรี่ย์เรื่องนั้นผ่านพ้นไป การทำงานในช่วงแรกๆ เป็นอย่างไรบ้างคะ?

โอ้โฮ ตอนแรกก็เกร็งๆ นิดหน่อย แต่ไม่มากเท่าไรเพราะทำงานผู้ช่วยมา ๘ ปี ตั้งแต่เรียนจบมาปี ๓๑ แล้วของพี่ชนะอีก ๘ ปีที่ช่วยกันมา ก็เยอะมากจนรู้สึกว่าไม่มีอะไรแล้ว เราเรียนรู้จากครูทุกคน คนแรกคือ พี่ยิ่ง-ยิ่งยศ ปัญญา พี่งัด-สุพล วิเชียรฉาย แล้วก็มาถึง พี่นะ-ชนะ คราประยูร เราเรียนรู้จากงานของแกมากมายแล้ว อยู่ในกองจนแทบจะรู้แล้วว่าควรจะทำอะไร อย่างไร เพียงแต่ว่าความรับผิดชอบมันเพิ่มมากขึ้น จากที่เคยเป็นผู้ช่วย ก็ต้องมากขึ้น ถามว่าเหนื่อยไหม ก็เหนื่อย แต่พอได้มาทำเอง มันมีความฝันของตัวเอง จากแต่ก่อนมีความฝัน แต่เป็นฝันที่คนอื่นเขาฝันแล้วเราไปช่วยเขา แต่อันนี้กลับไปอ่านบทแล้วเราก็คิดว่า อยากได้ภาพแบบนี้ อยากได้อารมณ์แบบนี้ อยากได้ความรู้สึกนี้ ก็สนุกตรงนั้น สำหรับเรื่องแรกที่ออกมา ตะวันลับฟ้า คนชอบ ก็รู้สึกดี ก็ตรงกับที่พี่จิ๋มเขาพูดว่าแอ้วเหมาะกับละครรักๆ เป็นละครผู้หญิงๆ

เพราะอะไรคะ?

ไม่รู้นะ เวลาคนถามว่าทำไมชอบทำละครสไตล์นี้ เราก็ว่าเราเป็นผู้หญิงนะ ผู้หญิงจะมีมุมมอง มีความรักอีกแบบหนึ่ง แล้วเราไม่ได้แต่งงาน ไม่เคยรู้รสของความเจ็บปวดมากมาย ถ้าแต่งงานไปจริงๆ ไปอาจจะแบบว่า โอ้โฮ ความรักเป็นอย่างนี้เหรอ แต่ตัวเองก็มีความฝัน เป็นความฝันของผู้หญิงโสดๆ คนหนึ่ง ถามว่าฟังเพลงเศร้าไหม ก็ฟังนะ ฟังแล้วก็เจ็บปวดดี เรามีความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องราวความรักมากมายถึงจะไม่ได้สัมผัสเอง แต่ฟังจากเพลงหรือจากคนอื่นเล่า หรือกำกับฯใคร เขาก็จะใช่ๆ ใช่เลย ที่เหมาะจะกำกับฯละครรักก็คงเป็นเพราะเป็นผู้หญิงมั้ง แล้วเรามีความละเอียดอ่อนค่ะ

เป็นความจริงที่ในความเป็นผู้หญิงมีความละเอียดอ่อน ช่วยให้ทำงานได้รอบคอบขึ้น แล้วถ้ามองในแง่ของความเชื่อมั่นจากผู้ร่วมงานล่ะคะ การเป็นผู้กำกับฯผู้หญิงมีผลบ้างไหม?

สมัยนี้คงไม่มีแล้วล่ะค่ะ คือเราให้เกียรติกัน อย่างพี่ผู้กำกับฯภาพก็เป็นผู้ชาย ทำงานด้วยกัน แล้วเราก็บอกเลยนะ เวลาทำงานกับใคร อย่างทำเรื่องแรกก็บอกเลยว่า หนูทำงานเรื่องแรกนะคะพี่ เผื่อมีอะไรแนะนำ บอกเลยว่าแอ้วไม่ได้เรียนเรื่องภาพนะ เพราะฉะนั้นก็จะไม่รู้เลย เขาก็จะดูแลให้ มันคงเป็นความรู้สึกของตัวเราเองมากกว่าที่จะรู้สึกว่าเขาเป็นอย่างนี้หรือเปล่า อาจจะเป็นเพราะละเอียดอ่อนกับความรู้สึกต่างๆ หรือไปได้ยินอะไรมา แต่เรารู้ว่าต้องรับผิดชอบ แล้วต้องผ่านมันไปให้ได้ เวลาทำอะไรแล้ว

ละครแนวที่คนอื่นว่าเหมาะกับละครที่คุณถนัดคือแนวเดียวกันหรือไม่?

จริงๆ แล้วถ้าทำเรื่องไหนขอให้มีคำว่ารักเถอะ แล้วละครไทยยังไงก็เชื่อว่าเป็นพระเอก นางเอก มีความกุ๊กกิ๊ก มีความรัก แต่ส่วนมากจะดูว่า บทส่งมาแล้วชอบหรือเปล่า เพราะปกติจะทำงานทีละเรื่องไงคะ แล้วก็จะรู้สึกอยู่กับตรงนั้น มันอยู่ที่ว่าเราจับอะไรแล้วเราสนุกกับมันมากกว่า แต่แน่ๆ ถ้าชอบจริงๆ คือ ความรัก ความกุ๊กกิ๊ก ความสะเทือนใจ ยังไงขอให้มีความโรแมนติคอยู่ในเรื่องค่ะ

อย่างเรื่อง อุ้มรัก ในตอนนั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆ เลยนะคะ?

คือตอนนั้นไปทำละครเวทีอยู่เชียงใหม่หลายปีมากค่ะ แล้วก็ไปเจอพี่ดาซึ่งมีโปรเจ็คท์เรื่องนี้และหาผู้กำกับฯ อยู่ เขาก็โทร.หาพี่หนุ่ม (กฤษณ์ ศุกระมงคล) ว่าอยากได้ผู้กำกับฯ ผู้หญิง แต่ก็ไม่รู้ว่าแอ้วทำงานอยู่กับพี่จิ๋มตลอดหรือเปล่า แล้วก็เรียกมาคุยกันว่าอยากทำไหม เราก็บอกเอาสิพี่ ถ้าพี่เห็นว่าหนูเหมาะก็ทำ เพราะเป็นเรื่องผู้หญิงๆ ตอนนั้นพล็อตเรื่องเขามีอยู่แล้ว ไม่ได้ไปเอาของใครมา เป็นของเอกลิขิตอยู่แล้วซึ่งก็ดีนะ เราไม่รู้เลยว่าผู้ชายมีมุมตรงนี้ด้วย คนเขียนบทเป็นผู้ชาย เขาเขียนในความรู้สึกที่เป็นพ่อของลูก คุณเอกก็จะรับฟังเราด้วย รู้สึกดีที่ทำงานกับเขา เขาเป็นผู้ชายที่มีความละเอียดอ่อน แล้วก็ยอมรับ ในขณะที่เราเป็นผู้หญิง มาร่วมงานกันก็สอดรับกันพอดี ลงตัว ทำงานกับพี่ดา เขาก็เป็นผู้หญิงที่มีมุมละเอียดอยู่

• การที่ละครเรื่องนี้มีเสียงตอบรับที่ดี ส่งผลกระทบต่อการทำงานของคุณอย่างไรบ้างคะ?

ส่งผลกระทบในแง่ดีค่ะ ทุกคนที่ร่วมงานกันจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดีมาก อย่างวันนั้นประทับใจมากเลย หลังจากที่ไปออกรายการตีสิบ ตอนเช้าไปถ่ายละคร คนก็มาทักว่าพี่แอ้วเหรอคะ โอ้โฮ จำชื่อเราได้ด้วย (หัวเราะ) ก็มาขอถ่ายรูป แล้วมีคุณยายคนหนึ่งบอกว่า หนู ยายชอบมากเลย หนูเก่งจัง หนูดีจัง เป็นความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้น อิ่มใจค่ะ งานก็เข้ามาเยอะด้วยนะ แต่ตัวเองจะไม่รับซ้อนค่ะ ชอบกำกับฯ ทีละเรื่อง เพราะเราจะหายใจอยู่กับตรงนั้น

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่